วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 796 วางอำนาจ

       หลายคนแสดงสีหน้าทนไม่ได้ และไม่กล้ากลับไปมองพวกนางอีก หลายคนหวาดกลัวตัวสั่น จนเหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง

    แต่ไม่มีใครกล้าอ้อนวอนขอความเห็นใจสักคน

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 795 ลงโทษ

     โดยไม่จําเป็นต้องให้เหลียนเจ๋อมาบ่นกับเหลียนฟางโจว ยามที่ชุนซิ่งไปเก็บดอกไม้ในสวน เพื่อเอามาปักแจกัน นางได้ยินสาวใช้มีอายุสองคนที่กำลังกวาดทางเดินในสวน กำลังกระซิบกระซาบกันโดยบังเอิญ

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 794 ข่าวลือ

         เมื่อเฝ้ามองน้องสาวออกไปนอกห้องแล้ว เหลียนฟางโจวจึงถอนหายใจเบา ๆพร้อมรอยยิ้ม "เจ้าดูแลชิงเอ๋อร์ได้ดีมาก ดูเหมือนนางจะเชื่อฟังเจ้าดีนะ!  ข้ายังกังวลว่าหลังจากที่ข้าออกจากบ้านแล้ว เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ นี้จะมีปัญหา เฮ้อ ข้ากังวลเก้อเสียแล้ว! "

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 793 น้องชายและน้องสาวเข้าเมืองหลวง

       เหลียนฟางโจวยิ้ม "ชุนซิ่งและหงอวี้ไปที่จวงจื่อนอกเมืองหลวงเพื่อจัดการธุระสองเรื่อง ส่วนปี้เถา ข้าส่งนางออกไปซื้อของ! ยามนี้สามีข้าไม่ได้อยู่ที่จวน หากข้าไม่สนใจดูแลจวนให้เขา แล้วใครเล่าจะดูแล พี่สะใภ้ใหญ่วางใจเถอะ  ข้าหาได้บอบบางมากถึงเพียงนั้น และนี่ก็ลงแรงเล็กน้อยเท่านั้นเอง! นอกจากนี้ ไม่ใช่เพราะมีพี่สะใภ้ใหญ่อยู่ด้วยหรอกหรือ ข้าถึงโล่งใจนัก! "

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 792 เปิดกิจการ

       ฉีซื่อราวกับตื่นขึ้นมาจากความฝัน ครั้นแล้วจึงเอ่ยว่า "ฝีปากของเหลียนฟางโจวนั้นเจนจัดยิ่งนัก เพียงข้าเผลอใจลอยแวบเดียว ข้าก็ตกหลุมพรางนางเสียแล้ว! หรือว่า ข้าจะกลับไปแล้วคุยในประเด็นเหล่านี้กับนางต่อดีล่ะเจ้าคะ?"

   

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 791 อยู่เป็นเพื่อน

      "ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ!" เหลียนฟางโจวพยักหน้าให้แม่นางฉินพร้อมรอยยิ้ม "ข้าสบายดี อาฉิน เจ้าคงสบายดีนะ!" 

วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 790 พบกันโดยบังเอิญ

       เหลียนฟางโจวเองก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ยิ่งนักที่ต้องแยกห่างจากคนรัก  ตั้งแต่รู้จักเขามา ดูเหมือนว่านี่เป็นครั้งที่สองที่เธอกับเขาต้องแยกจากกันเป็นเวลานานกระมัง? แล้วเธอจะทําใจให้คุ้นเคยกับเรื่องนี้ได้อย่างไร!

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 789 ขู่ถางสยงให้กลัว

      เหลียนไห่รู้สึกกลัวและยิ้มอย่างขุ่นเคืองใจ "ฟางโจว เจ้ายังคงอารมณ์ร้อนอยู่ดี... ที่นี่คือเมืองหลวง เจ้า เฮ้อ เจ้าเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้เหรอ? ขืนเจ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป เจ้าจะเป็นศัตรูกับคนอื่นไปทั่ว และอนาคตจะลำบากเอานะ! "

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 788 ถางสยงมาหา

      ในวันนี้เหลียนไห่ผู้ซึ่งหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ในที่สุดก็มาเยี่ยมเยียนที่จวนตระกูลหลี่จนได้

    ในตอนนั้น เหลียนฟางโจวเพิ่งรับสำรับมื้อเช้าเสร็จ พร้อมกับหลี่ฟู่ ซึ่งยามนี้อยู่ที่บ้าน และไม่มีงานอะไรเร่งด่วน ชายหนุ่มจึงไปเดินเล่นกับเธอในสวน

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 787 ผลสอบชุนซื่อ

      เมื่อหลีอ๋องได้ยินข่าว เขาก็ส่ายหน้ายิ้มๆในห้องหนังสือ

    เหตุใดตระกูลของพ่อตาข้า ถึงได้พ่ายแพ้รวดเร็วถึงเพียงนี้?

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 786 ชื่อเสียงตระกูลจูของพวกเราไม่อาจถูกทำลายได้

      อย่างไรก็ตาม นายท่านจูและบุตรชายคนโต ไม่เคยนึกไม่ฝันเลยว่าแม่ทัพหลี่ผู้นี้ จะเป็นคนที่กลัวภรรยาจริงๆ! อีกฝ่ายยอมรับเรื่องนี้ต่อหน้าพวกเขาอย่างหน้าชื่นตาบาน แม่ทัพหลี่จึงไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องการแต่งงานนี้ได้ ทุกอย่างเขาล้วนเชื่อฟังภรรยาเท่านั้น!

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 785 บิดาและบุตรชายเข้าร่วมสู้

      ซูซินเอ๋อร์เอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว"ท่าน ท่านปล่อยนะ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!  ท่านพูดบ้าอะไรของท่าน!  พูดบ้าๆอะไรกัน! "

    ซุนหมิงเห็นว่าดวงตาของหญิงสาววาวโรจน์ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อ และทำท่าเขินอายอย่างเห็นได้ชัด เขารู้สึกเบิกบานขึ้นมาทันใด จึงคลี่ยิ้มเยือกเย็น: "ฮูหยิน สิ่งที่ข้าพูดมาคือความจริง ความจริงอันยิ่งใหญ่ เจ้าต้องเชื่อข้านะ!" 

วันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 784 พวกเรามามีชีวิตที่ดีกันเถอะ

         ทันใดนั้น จู่ๆเหลียนฟางโจวก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เธอจึงหันไปมองหลี่ฟู่ แล้วกระแอมเบา ๆ : "หากครั้งนั้นท่านเดินทางกลับไปที่เมืองหลวงอย่างราบรื่น แล้วทางตระกูลจูได้เอ่ยถึงเรื่องแต่งงานกับท่าน   ท่านจะตกลงหรือไม่? ห้ามมาให้เหตุผลแบบขอไปทีกับข้านะ แล้วห้ามพูดโกหกด้วย! "

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 783 นิ่งเฉยเพื่อรอดูสถานการณ์

        ส่วนเหล่าผู้เห็นอกเห็นใจจูอวี๋อิง ก็ถอนหายใจและชื่นชมความรักอันลึกซึ้งของนาง ที่รักมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง และมีแต่จะเพิ่มทวีขึ้นทุกวันๆ โดยกล่าวกันว่า แม่ทัพหลี่ตาบอดและเลอะเลือนไปแล้ว ผู้หญิงที่น่ารักและมีความรักลึกซึ้ง ชื่นชมตัวเขามาหลายปีดีดัก หนำซ้ำยังเป็นคุณหนูตระกูลสูงผู้มีชื่อเสียงอีกด้วย เขาจะทนปฏิเสธสตรีที่มีรักลึกซึ้งและยอมสยบแทบเท้าของเขาได้อย่างไร? หรืออาจเป็นเพราะเขามีสตรีขึ้หึงหวงที่คอยใช้เด็กในครรภ์มาขู่เขาก็เป็นได้  ได้ยินมาว่าฮูหยินจู มารดาของคุณหนูหกจู ได้ไปเยือนจวนแม่ทัพหลี่เป็นการส่วนตัว เพื่อแสดงความปรารถนาดี และยอมอ่อนข้อให้ แต่กับถูกสตรีขี้อิจฉาขับไล่ออกไปอย่างไร้สมบัติผู้ดี...

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 782 โน้มน้าวไม่ขึ้น

    "ข้าขอพูดอะไรบางอย่าง ที่ฮูหยินหลี่อาจไม่ชอบฟัง" ฮูหยินจูพูดต่อเงียบๆ "ท่านแม่ทัพหลี่มีอนาคตที่สดใส  บรรดาฮูหยินและอนุจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ หากเจ้าไม่เชื่อข้า ก็ลองไปสอบถามใครๆในเมืองหลวงก็ได้ว่ามีผู้ใดไม่เป็นแบบนี้บ้าง หากครอบครัวใดมีฮูหยินและอนุจำนวนน้อย เมื่อพูดออกไป ก็จะพาลให้เพื่อนฝูงผู้ร่วมงานหัวเราะเยาะเอา! ในเมื่อเป็นแบบนี้ เหตุใดฮูหยินหลี่ถึงทนอิงเอ๋อร์ของตระกูลข้าไม่ได้  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าจะได้รับความเคารพนับถือ ! ต่อไปภายหน้า ด้วยพวกเจ้าสองคนช่วยกันดูแลจวน แม่ทัพหลี่ก็หมดกังวลในเรื่องอนาคตทางการงานแล้ว! บอกตามตรงนะ ความสัมพันธ์ของคนในเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เจ้าจะเข้าใจเลย  ดังนั้นอิงเอ๋อร์และตระกูลจูของเราจะช่วยเจ้าเอง ทีนี้จวนตระกูลหลี่ก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป! อย่างไรก็ตาม ที่ข้าพูดมานี่ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของแม่ทัพหลีหรอกเหรอ? ฮูหยินหลี่ก็ดูคล้ายสตรีที่มีเหตุผลมีคุณธรรมและใจกว้าง เป็นไปได้หรือที่เจ้ายินดีจะเป็นสตรีขี้หึงและจิตใจชั่วร้าย? และเจ้าก็คงไม่อยากมีชื่อเสียงในเรื่องที่แม่ทัพหลี่กลัวภรรยาด้วยใช่ไหม? แม่ทัพหลี่เป็นแม่ทัพที่โหดเหี้ยมในสนามรบ และถ้าหากเขามีชื่อเสียงแบบนั้นจริงๆ มันจะไม่ทําให้ทุกคนหัวเราะเยาะเขาหรอกเหรอ?  และต่อไปภายภาคหน้า แม่ทัพหลี่จะทำให้สาธารณะชนเชื่อถือได้อย่างไร และหากถึงเวลาที่เขาต้องเข้าสู่สมรภูมิรบ แล้วหากเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับเขา  ฮูหยินหลี่จะไม่รู้สึกผิดและเสียใจไปจนตายรึ? ฮูหยินหลี่..เจ้าจงตรองดูเรื่องนี้ให้ดีเถิด แล้วเจ้าจะรู้ว่าข้าพูดจริงหรือไม่! คําพูดเหล่านี้อาจฟังดูไม่ดี แต่มันก็เป็นความจริง! "

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 781 ฮูหยินจูมาเยือนด้วยตนเอง

       ฮูหยินจูไม่ได้คาดหวังว่าฮูหยินรองและสองลูกสะใภ้ตระกูลหลี่จะสามารถเจรจาได้ทันที หากพวกนางทําได้ บุตรสาวของตน คงไม่ต้องพบกับความอับอายขายหน้าแล้ว!

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 780 ตัวกลางเจรจา

      วันรุ่งขึ้นสิ่วซื่อนั่งรถม้าธรรมดา ไปยังจวนตระกูลหลี่สายรอง ของอารองและอาสะใภ้รองของหลี่ฟู่ นางสนทนาอยู่ที่จวนฝั่งโน้นอยู่เกือบทั้งวัน ก่อนจะออกไปพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า 

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 779 ลองพยายามดู

      ฮูหยินจูรู้สึกสํานึกผิดและเจ็บปวด พลางร้องไห้ "เหตุใดข้าจะไม่โน้มน้าวนางเล่า?  ข้าจะไปรู้ได้ไงว่าเด็กคนนี้จะดื้อดึงถึงเพียงนี้!  นายท่าน หากท่านจะโกรธ ท่านจะดุด่าข้าไม่ว่า แต่ท่านจะไม่ดูดำดูดีลูกสาวของท่านไม่ได้นะ! "

วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 778 ท่าที

          เมื่อเหลียนฟางโจวได้ยินหลี่ฟู่พูดกับตัวเธอแบบนี้ ใจเธอย่อมมีความสุขและผ่อนคลาย หลังเอ่ยปลอบโยนเขาหลายประโยค จึงหัวเราะอีกครั้ง "เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องของสำนึกผิดชอบชั่วดี และต่อให้ตระกูลจูจะเรืองอำนาจบารมีแค่ไหน แต่ข้าคาดว่าคงจะไม่ถึงขั้นแข็งแกร่งนัก ยิ่งกว่านั้น ท่านเป็นแม่ทัพ เป็นขุนนางฝ่ายบู๊  ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเขา และตระกูลของเขาก็ไม่อาจบังคับหรือควบคุมท่านได้ ต่อให้พวกเขาอยากจะทำ! เพียงถ้อยคำของท่านก็สร้างความมั่นใจให้ข้าแล้ว ท่านไม่จําเป็นต้องคิดมากเกินไป! นอกจากนี้ เรื่องนี้ก็ใช่จะไม่มีผลประโยชน์เลย! "

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 777 บอกนางด้วยตัวเอง

      “พอได้แล้ว! “ หลี่ฟู่ขัดจังหวะนางด้วยความโมโห แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา "ข้าจะแสร้งทำเป็นว่าเหตุการณ์คืนนี้ไม่เคยเกิดขึ้น คุณหนูหกจูได้โปรด! เจ้ามาอยู่ในจวนของเราดึกๆดื่นๆเช่นนี้  หากเรื่องแพร่ออกไปมันคงไม่ดี ! "

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 776 ปฏิเสธ

      พี่สาวน้องสาวรึ? ให้เกียรติเธอเป็นพี่สาวเสมอเหรอ? ตระกูลจูจะเป็นผู้หนุนหลังเธอในอนาคตด้วยหรือ?

    ที่พูดมาแบบนี้ ข้าเกรงว่าตัวจูอวี๋อิงเองก็ยังไม่เชื่อสิ่งที่นางพูดมาเลย ต่อให้นางจะสาบานว่านางพูดจริงก็ตาม!

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 775 พี่สาวน้องสาว

      นี่เรียกว่าอะไรกัน? เมื่อหลี่ฟูกลับมา เขาจะกลายเป็นคนมีชื่อเสียง  เขาถึงจะเป็นลูกเขยของตระกูลจู แต่ถ้าหากเขาแขนขาดขาขาด หรือแม้กระทั่งสิ้นชีพ นั่นคือเขาไม่มีโชคได้ลงเอยกับหญิงงาม!

    บ้าไปแล้ว!

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 774 ที่แท้เป็นคุณหนูหกตระกูลจูจริงๆ

       เหลียนฟางโจวจ้องมองจูอวี๋อิง แล้วยิ้มออกมา "เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคุณหนูหกของตระกูลจูจริงๆหรือ?" 

    จูอวี๋อิงแค่นเสียง และเงยหน้าขึ้นมอง "เหลียนฟางโจว ข้ามาหาเจ้า! เพราะข้ามีบางอย่างจะพูดกับเจ้า! "

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 773 เรื่องน่าหัวเราะที่หน้าประตูจวน

       “ฮูหยิน!" ปี้เถ้ารีบวิ่งเข้าไปหาและบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้

     ชุนซิ่งอดจ้องมองอีกฝ่ายสองครั้งไม่ได้ พลางแอบส่ายหน้า และคิดว่าน้องปี้เถาเป็นตาที่เถรตรงจริงๆ และฮูหยินถามอะไร นางก็ไม่หันไปมองรอบๆก่อนแล้วค่อยตอบ ตอนนี้ฮูหยินกําลังตั้งครรภ์แล้ว ทําไมต้องมาเดือดร้อนคุยกับนางเกี่ยวกับเรื่องน่าเบื่อและเรื่องร้ายๆพวกนี้ด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 772 ดูโคมไฟ

    ซูซินเอ๋อร์ค่อยๆติดเชื้อความคึกคักมีชีวิตชีวานี้ทีละน้อย เมื่อเห็นโคมไฟดอกไม้แบบต่างๆที่ส่องประกายแพรวพราวเหล่านั้นอารมณ์ของนางก็เริ่มผ่อนคลายลง

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 771 ดูเหมือนนางจะลืมเปี่ยวเกอไปนานแล้ว

      ในจวนเล็ก ๆในตรอกเทียนเซ่วจิ่ง ทางตอนใต้ของกรุงปักกิ่งเมืองหลวง ซูซินเอ๋อร์และซุนหมิงกำลังรับสำรับมื้อเย็นเร็วขึ้นกว่าปกติ ดังเช่นคนอื่น ๆ เพื่อเตรียมตัวออกไปข้างนอก

บแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 770 มีใจเมตตาปราณีที่สุดจริงเหรอ?

          อย่างไรก็ตาม เมื่อชุนซิ่งคิดในเรื่องนี้ คล้ายว่านางเข้าใจความหมายของเหลียนฟางโจวได้สองถึงสามส่วนแล้ว และก็ค่อยๆดึง ตัวปี้เถามากระซิบ "เอาล่ะ น้องสาว ฮูหยินต้องมีเหตุผลของฮูหยิน จึงต้องพูดแบบนี้!  เราต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ! นั่นคือ ในเรือนถือศีลภาวนานั้น เราต้องจับตามองนางไม่ให้คลาดสายตร! "

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 769 สถานการณ์ลำบากจนต้องจากไป

       เหลียนฟางโจวเลิกคิ้วขึ้นและยิ้มด้วยความสนใจยิ่ง: "ยังมีเรื่องเรื่องนี้ด้วย! ช่างเถอะ เจ้าไม่จําเป็นต้องไปสอบถามในเรื่องนี้ ข้าคิดว่านางคงแค่เบื่อ จึงไปหาพี่สะใภ้เพื่อคุยกันเป็นประจำ! เจ้าก็รู้ ว่านางมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับพี่สะใภ้ "

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 768 ปลดปล่อยความเบื่อหน่าย

     ที่เซียวมู่พูดมา ก็เพียงพอจะทำให้ปี้เถาก็โกรธแล้ว!

    อย่ากินเพื่อเห็นแก่ความผอมเพรียวเหรอ? นางผอมเพรียวเหรอ? นี่เขาต้องการประชดนางหรือต้องการอะไรกันแน่? อ้วนไปนิดมันน่าเกลียดนักเหรอ? อ้วนไปนิดมันน่าเกลียดจะตายหรือไร นี่มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายของเขา ใช่ไหม!

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 767 ผิดปกติทั้งคู่

      ชุนซิ่งยิ้ม "สิ่งที่ฮูหยินกล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ แต่ท่านวางใจเถอะ สิ่งที่ปี้เถารำคาญที่สุดก็คือแม่นางฉินผู้นั้น และจะไม่เอาอย่างนางแน่! พอกลับไปแล้ว บ่าวจะตักเตือนนางสักสองสามคําให้เจ้าค่ะ! "

วันอังคารที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 766 สิ่งที่อยู่ในใจ

        พี่ซุนหมิง! ซินเอ๋อร์!! พวกท่านคิดจะมาหาข้าได้แล้วหรือ!" เมื่อเหลียนฟางโจวเห็นคนทั้งสองกำลังเดินมาถึง เธอก็เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม พร้อมเสียงโอดครวญ จากนั้นจึงกล่าว "สวัสดีปีใหม่จ้ะ!"  ตามด้วยถ้อยคำมงคลอีกสองประโยค

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 765 ใครรังแกเจ้า

       ไม่แปลกใจเลย หลังจากได้ยินคำพูดของชุนซิ่ง เหลียนไห่ก็ปฏิเสธที่จะติดตามนางเข้าเมืองหลวง และยังคงยืนกรานว่าเทียนจินนั้นไม่อึกทึกหนวกหูอย่างในเมืองหลวง และเงียบสงบกว่า เหมาะสมกับการทบทวนตำรามากกว่า

    ยิ่งชุนซิ่งถ่ายทอดคำเชื้อเชิญของเหลียนฟางโจวและหลี่ฟู่ต่างๆนาๆ เหลียนไห่ก็ยิ่งปฏิเสธเสียงแข็งขึ้น

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 764 ซุนหมิงมาเยี่ยม

      เห็นชัดๆว่าเขาทำผิด ทั้งยังตวาดใส่นางอย่างนั้น เหตุใดเขาถึง? ไม่มีถ้อยคำนุ่มนวลแม้เพียงครึ่งคำ ทว่าเขาก็ยังคิดถึงชื่อเสียงของสตรีได้!

    เหตุใดเขาต้องมาข้อรองตนด้วย? ในเมื่อเขากล้าขอ นางก็จะทำให้ตามคำขอ!

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 763 สะกดรอยตาม

     เซียวมู่ได้ยินคำพูดนาง ก็นึกถึงพุ่มดอกไม้บานสะพรั่งในเขตเรือนหลักของเหลียนฟางโจวโดยไม่รู้ตัว และรู้สึกเวทนาโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงนิ่วหน้า “เจ้าอยู่ที่นั่น-โดดเดี่ยวมากหรือ? ใต้พื้นห้องอุ่นไหม? มีถ่านพอหรือไม่?”

    แม่นางฉินชะงักไปนิดหนึ่ง แล้วรีบยิ้ม “พี่ฟู่และพี่สะใภ้ดีต่อข้ายิ่งนัก อยู่ที่นั่นข้าควรจะหนาว แต่ไม่หนาวเลย!”

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 762 วันส่งท้ายปีเก่า

             เพียงพริบตาเดียว ก็ถึงวันส่งท้ายปีเก่า ถึงแม้ว่าจะมีเพียงสองเจ้านาย คือ หลี่ฟู่และเหลียนฟางโจว รวมทั้งไม่มีข้าทาสบริวารมากนัก ทว่าหลี่ฟู่กลัวว่าภรรยาจะเบื่อ เพื่อเป็นการเอาใจภรรยา ประกอบกับเป็นปีใหม่ปีแรกของจวนใหม่นี้ด้วย จวนนี้จึงมีการตกแต่งต้อนรับงานเทศกาลอย่างงดงามอลังการสุดๆ นอกจากจะตกแต่งทุกบริเวณของจวนด้วยโคมไฟสีแดงดวงใหญ่ประดับพู่สีทอง ที่ใต้ชายคาระเบียงทางเดินแล้ว บรรดาดอกไม้บานนาๆพันธุ์นับไม่ถ้วน เช่น ดอกกุหลาบพันปี ดอกชากุหลาบแดง  ดอกหลี ดอกหลีแดง  ดอกกุหลาบ  ดอกเซียนเค่อไหล และอื่นๆ ก็ถูกตัดแต่งและจัดวางเต็มเรือนหลัก และบริเวณรอบๆ และยังมีดอกโบตั๋นจำนวนหนึ่ง ซึ่งถูกกระตุ้นให้บานในห้องเรือนกระจก บรรดาดอกไม้ที่มีค่า เช่น ดอกโบตั๋น  ดอกฉุ่ยเซียน ดอกบัวถ้วย และดอกเผินไจชิวไห่ถัง ก็ถูกเอามาจัดวางตกแต่งอยู่ในบริเวณที่ร่ม

ดอกชากุหลาบ

ดอกบัวถ้วย

ดอกเซียนเค่อไหล

ดอกฉุ่ยเซียน

ดอกเผินไจชิวไห่ถัง

    ในส่วนของคนพักอาศัย โจวซื่อและหลี่อวิ๋นหันกำลังวางแผนจะย้ายออกไปหลังเดือนหนึ่งของปีหน้า ดังนั้นพวกเขาย่อมอยู่ฉลองปีใหม่ที่นี่

    เหลียนฟางโจวเห็นด้วยกับเจตจำนงของสองแม่ลูกแล้ว และทุกๆปีทั้งสองครอบครัวจะยังกลับมาฉลองปีใหม่ด้วยกัน โดยจวนทางฝั่งนี้จะเก็บเขตเรือนซึ่งเป็นที่ๆพวกเขาสองคนพำนักอยู่เอาไว้ และจะสั่งให้บ่าวไพร่คอยทำความสะอาดอยู่เสมอ ยามเมื่อมีเวลาว่าง พวกเขาจะได้มาพักอยู่ด้วยกันสักพัก

    และจะเพิ่มความสะดวก สำหรับหลี่อวิ๋นหัน ในกรณีที่จะขอคำชี้แนะจากหลี่ฟู่เรื่องการเรียนวรยุทธ์อีกด้วย ทั้งสองแม่ลูกต่างขอบคุณสองสามีภรรยายิ่งนัก

    นอกจากนี้ยังมีเซวียอวี้ชิงและเซียวมู่ที่จะมาอยู่ฉลองปีใหม่ที่จวนนี้ด้วยกันเพิ่มอีกสองคน

    พอเป็นแบบนี้ จำนวนคนก็นับว่าไม่น้อยทีเดียว

    พวกเขาทุกคนต่างมีนิสัยเรียบง่ายเป็นกันเอง จึงยิ่งทำให้บรรยากาศของการฉลองวันสิ้นปี ดูครึกครื้น และผ่อนคลายยิ่งขึ้น

    ตกกลางคืน โคมแดงทุกดวงใต้ชายคาระเบียงทางเดินก็ถูกจุดทีละดวง เพียงเท่านั้นจวนทั้งหลัง ก็พลันก็ตกอยู่ในบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์ของเทศกาลปีใหม่ในทันที

    เสียงจุดประทัดดังมาจากข้างนอกเป็นระยะๆ และก็มีการจุดประทัดภายในจวนด้วย

    เพราะพวกเขาทุกคนต่างสนิทสนมคุ้นเคยกันดี จึงไม่มีโต๊ะสี่เหลี่ยม คนทั้งหกนั่งรอบโต๊ะกลม ในห้องมีการจุดเตาไฟสร้างความอบอุ่น บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสและสุราเต็มโต๊ะ บรรยากาศนับว่าเลิศหรูนัก

     ขณะที่กำลังจะเริ่มรับประทานอาหาร เซียวมู่ก็เหลือบมองหลี่ฟู่และเหลียนฟางโจว จู่ๆเขาส่งยิ้มลังเล “ไฉนแม่นางฉินไม่ได้มาด้วยเล่า? วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า จะเชิญแม่นางฉินมาร่วมเฮฮาสังสรรค์ด้วยกันไม่ได้เหรอ?”

    ใบหน้าของหลี่ฟู่แข็งทื่อไปนิดหนึ่ง เขาหันไปมองเหลียนฟางโจว หลังจากถอนหายใจนิดหนึ่ง จึงพยักหน้า “ก็ได้ หงอวี้ เจ้าไปเชิญแม่นางฉินมาสิ!”

     หงอวี้เหลือบมองเหลียนฟางโจวอย่างไว พอเห็นว่านางไม่ปฏิกิริยาอันใด ซ้ำยังมีรอยยิ้มบางเจือบนใบหน้า นางก็ไม่รู้ว่าจะพูดอันใดดี ดังนั้นจึงย่อกาย แล้วหมุนตัวจากไป

    หลังจากนั้นสักพัก หงอวี้ก็กลับมาคนเดียว แล้วกล่าวว่า “นายท่าน ฮูหยิน แม่นางฉินบอกว่าคนนอกเช่นนางกินเจมานานแล้ว ดังนั้นนางจะไม่มาเจ้าค่ะ! เอาไว้เป็นโอกาสหน้า จะมานั่งร่วมรับประทานด้วยเจ้าค่ะ”

   หลี่ฟู่บอกตัวเองไม่ได้ว่า พอฟังแล้ว ตนเองรู้สึกโล่งอก หรือว่าเสียใจกันแน่ จากนั้นจึงพยักหน้าเป็นเชิงว่าเขารับรู้แล้ว แล้วจึงโบกมือให้หงอวี้ไปได้

    แม้เซียวมู่จะรู้สึกเสียใจ ที่แม่นางฉินพูดเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น เซวียอวี้ชิงจึงตะโกนว่ามาดื่มกันเร็วเข้าเถิด ว่าแล้วก็ดึงหลี่อวิ๋นหันมาร่วมดื่มด้วย และบอกว่า เจ้านายใหญ่ที่ทำอะไรไม่เป็น ก็จะดื่มไม่เป็นด้วยนะอวิ๋นหัน ทุกคนจึงหัวเราะกันครืน แล้วก็หมดความสนใจในเรื่องก่อนหน้าไป ก่อนจะลงมือรับประทานอาหารกันอย่างชื่นมื่น

     ในการถือศีลกินเจ ทั้งสองคน คือแม่นางฉิน และติงเซียงต่างกินอาหารเจที่ทางห้องครัวทำมาให้โดยเฉพาะอย่างเย็นชา

      เต้าหู้คลุกน้ำมันงา ฟักตุ๋นซีอิ๊ว เม็ดเยากั่วผัด(เม็ดมะม่วงหิมพานต์ผัด) เต้าหู้ผัดผัก ผัดหมูเจ แตงหอมตุ๋น ฟักตุ๋นเต้าหู้หน่อไม้เห็ดหอม….

    แม้ว่ากับข้าวจะมีหลากหลายอย่าง เมื่อมองแวบแรกจะรู้ได้เลยว่า แม่ครัวให้ความใส่ใจและพิถีพิถันในการประกอบอาหารยิ่งนัก  อีกทั้งอาหารที่ยกมาก็จะอุ่นมาร้อนๆอีกด้วย ยามนี้มีเพียงคนสองคนที่นั่งกินที่โต๊ะกลมพร้อมกับข้าวบนโต๊ะถึง 12 อย่าง ทว่าคนกินรู้สึกเย็นชาและหดหู่ที่สุด

   แม่นางฉินอดนึกในใจไม่ได้ว่า กระทั่งในสองปีที่พี่ฟู่หายตัวไป ไม่ว่านางจะถูกคนในจวนโน้นโขกสับกลั่นแกล้งแค่ไหน ทว่าในช่วงปีใหม่อารมณ์ของนางยังไม่เคยย่ำแย่เท่าตอนนี้เลย

    พอคิดเรื่องนี้อย่างถ้วนถี่ เป็นเพราะเมื่อก่อน อย่างน้อยนางก็ยังมีความหวังในหัวใจ กระมัง? ทว่าตอนนี้ นางไม่มีหนทางจะไปต่อแล้ว!

    เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจ ติงเซียงจึงอดพูดไม่ได้ “เมื่อครู่ตอนหงอวี้มาเชิญ ทำไมไม่ไปเล่าเจ้าคะ? ยามนี้คือช่วงเทศกาลปีใหม่ที่เป็นวันดี ในเมื่อพวกเขามาเชิญ ท่านก็ควรไปสิเจ้าคะ!”

    แม่นางฉินยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าลืมไปแล้วหรือไร? ยามนี้ข้ากำลังถือศีลภาวนาอยู่ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับแม่ชี แล้วมันจะมีอันใดเกี่ยวกับข้าเล่า? ยิ่งไปกว่านั้น—“

    ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่อยากเจอเหลียนฟางโจวและพี่ฟู่ ที่แสดงออกว่ารักกันปานจะกลืนกิน และไม่อยากเห็นท้องของเหลียนฟางโจวซึ่งก็คงนูนออกมาแล้วด้วย

    แม่นางฉินจึงเปลี่ยนเรื่องคุย หญิงสาวยิ้มให้ติงเซียง “เราอยู่ด้วยกันสองคนก็ดีแล้วมิใช่หรือ? ข้าทำให้เจ้าต้องคับข้องใจแล้ว! มาเถอะ กินกันต่อเถอะ! หลังปีใหม่ ข้าจะหาเวลาเหมาะๆ คุยกับพี่ฟู่เรื่องจะหาตระกูลดีๆให้เจ้า!”

    ติงเซียงหน้าแดงระเรื่อ พลางก้มหน้า และโพล่งออกมา “บ่าวไม่ต้องการเจ้าค่ะ! บ่าวจะอยู่กับแม่นางเจ้าค่ะ!”

   สีหน้าเขินอายและเบิกบานใจของอีกฝ่าย เห็นได้อย่างชัดเจนนัก

    แม่นางฉินจึงยิ้มเมื่อเห็นแววตาของอีกฝ่าย “เราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันทีหลังก็แล้วกัน!  และข้าจะไม่ทำให้เจ้าเสียใจแน่!”

     ติงเซียงยังเป็นเพียงเด็กสาว อยู่ในช่วงวัยดุจดอกไม้แรกแย้ม จะมาเต็มใจอยู่หน้ารูปปั้นพระพุทธรูป และถือศีลกินเจหรือ? เป็นเพราะนาง หากนางไม่ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทาง นางคงจะไม่ก้าวมาถึงขั้นนี้

   ทางฟากเรือนหลัก หลังอาหารมื้อเย็น ทุกคนก็นั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกันสักพัก จากนั้นก็มีการมอบซองอั่งเปาให้หลี่อวิ๋นหัน  และให้เขาแยกไปเล่นตามสบาย

    เซวียอวี้ชิงคว้าตัวหลี่ฟู่ไปที่เขตเรือนชั้นนอก เดิมทีเขาเรียกเซียวมู่ให้ไปด้วยกัน แต่เซียวมู่หาข้ออ้างปฏิเสธ เซวียอวี้ชิงจึงมองเขาแปลกๆสองครา และแล้วก็ดึงตัวหลี่ฟู่ไป

    หลี่อวิ๋นหันก็ไปกับเหล่าเด็กผู้ชาย เพื่อไปจุดประทัดกันที่ลานด้านหน้ากัน ขณะที่เหลียนฟางโจวเอนกายพิงตั่งนุ่มในศาลาอุ่น และคุยเล่นสนุกกับชุนซิ่งและคนอื่นๆ พร้อมกินของว่างไปด้วย   หญิงสาวเฝ้าดูโจวซื่อและหมอมอหลายคนเล่นไพ่กัน แสงไฟสว่างเจิดจ้า อากาศอบอุ่นราวฤดูใบไม้ผลิ ห้องทั้งห้องก็ดูครึกครื้นมีชีวิตชีวานัก

    เซียวมู่ปรากฏตัวที่ใต้ชายคาระเบียงทางเดินมาสักพักแล้ว จากนั้นก็เดินออกนอกประตู ก่อนจะเดินมายังทิศทางเรือนถือศีลภาวนาโดยไม่รู้ตัว

    ตั้งแต่เขาเอ่ยถึงแม่นางฉินตอนก่อนรับสำรับมื้อเย็น ปี้เถาก็นิ่งขึงไป และเมื่อนางเห็นเขากำลังจะไปยังทิศทางนั้นจริงๆ นางก็อดกระทืบเท้าไม่ได้ พลางด่าเขาไปสองที ก่อนจะรีบตามไปเงียบๆ

    ก่อนที่เขาจะไปถึงเรือนถือศีลภาวนา เซียวมู่ก็อดตะลึงงันไม่ได้ เมื่อเห็นร่างผอมบางในชุดเสื้อคลุมสีฟ้าเรียบๆ ยืนอยู่ข้างๆต้นชากุหลาบแดง ซึ่งเขาก็เห็นไม่ชัดนักเพราะมืดแล้ว

   ฉวยโอกาสที่เป็นตอนกลางคืน เขาจึงแอบมองนางเงียบๆ ในหัวใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย

    จู่ๆติงเซียงก็หันหน้ามาเห็นเขา จึงตะโกนเรียกเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แม่นางฉินจึงหันมามองเขา ครั้นแล้วก็นิ่งอึ้งไป จากนั้นจึงส่งยิ้ม แล้วเดินตรงมาหาเขา “พี่เซียว!” แล้วนางก็หัวเราะกับตัวเอง “แม้ว่าตอนนี้ข้ากำลังถือศีลภาวนาอยู่ ข้าก็ไม่อยากเปลี่ยนคำเรียกขาน ไม่รู้ว่าท่านจะรังเกียจไหมที่ข้าเรียกท่านว่า พี่เซียว?”

   เซียวมู่รู้สึกหัวใจเต้นตึกตักขึ้นมาฉับพลัน ชายหนุ่มรีบส่ายหน้า พลางโบกมือปฏิเสธ “ไม่เลย ไม่รังเกียจเลย เจ้าเรียกไปเถอะ”

   ในความมืด ปี้เถากำมือแน่น พลางกัดฟันกรอดๆ แล้วแอบสบถออกมา “น่าไม่อาย!”

   “ไฉนเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่เล่า? ในวันที่อากาศเย็นเช่นนี้ เจ้าจะไม่หนาวทรมานหรือ” เซียวมู่มองแม่นางฉินด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

    แม่นางฉินยิ้มด้วยความซาบซึ้ง “ข้าสบายดี ข้าไม่ใช่คุณหนูตระกูลใหญ่เสียหน่อย จะบอบบางได้อย่างไร! ข้ามาเดินเล่นแก้เบื่อน่ะ  เพราะข้าเห็นต้นชากุหลาบแดงพวกนี้บานสะพรั่งนัก จึงเดินมาถึงที่นี่ ฤดูหนาวบรรยากาศน่าหดหู่ ข้าจึงไม่เห็นสีสันสดใสใดๆมานานมากแล้ว ข้าเลยจะมาชมดูสักพักหนึ่งน่ะ! ทว่าไม่คิดเลยว่าจะพบพี่เซียวได้!”




จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 761 ได้ยิน

          ติงเซียงแค่นเสียงด้วยความเกลียดชัง “นางปีศาจจิ้งจอก! เคยชินกับการใช้มารยาจิ้งจอก ช่างน่าไม่อาย! ภรรยาที่ไหนจะพูดกับสามีอย่างที่นางพูดกัน! แม่นางไม่ได้พ่ายแพ้ในเงื้อมมือของคนเช่นนี้หรอก เพราะนางไพร่ชั้นต่ำไม่คู่ควรกับแม่นางอยู่แล้ว…!”

วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2566

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 760 ฉลองปีใหม่

         ท่าทีของฮ่องเต้โหดเหี้ยมดุดันนัก ไม่ต้องพูดถึงขุนนางราชสำนักและเหล่าเชื้อพระวงศ์เลยที่เป็นกังวล ต่อให้พวกเขาตื่นมาในวันหนึ่ง ก็อาจเป็นวันสุดท้ายของตระกูลก็เป็นได้

    กระทั่งคนธรรมดา เมื่อออกไปนอกบ้าน ก็ย่อมต้องระมัดระวังคำพูดและการกระทำ พวกเขาจึงไม่กล้าพูดมากเกินไป

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 759 คลื่นลมลูกใหญ่

    “นับจากวันนี้เป็นต้นไป ยกเว้นคนที่มีหน้าที่ซื้อของกินของใช้ ห้ามทุกคนออกนอกจวน และไม่ให้ใครซึ่งไม่ได้มาจากจวนเราเข้ามาในจวน และญาติสนิทมิตรสหายที่จะมาเยี่ยมหาที่จวน ก็ไม่อนุญาตให้พบปะกันในตอนนี้! ส่วนประตูทางเข้าให้ปิดลั่นดาลไว้ด้วย! ยามออกไปข้างนอกต้องซื่อสัตย์ ห้ามพูดเรื่องในจวน หลังจากซื้อของเสร็จแล้ว ก็ให้ตรงดิ่งกลับจวนเลย ห้ามถามใดๆทั้งสิ้น และห้ามพูดคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องมากเกินไป! นอกจากนี้ การเดินเวรยามในตอนกลางคืน จะต้องเข้มงวดกวดขันยิ่งขึ้น และสั่งการลงไป บอกทุกคนให้ปิดปากให้สนิท และหากได้ยินใครพูดในเรื่องที่ไม่ควรพูด ก็อย่ามาตำหนิที่ข้าหยาบคายก็แล้วกัน! ทุกคนได้ยินชัดแล้วใช่ไหม?”

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 758 ผิดปกติ

      ตั้งแต่ภรรยาตั้งครรภ์ หลี่ฟูก็แทบจะประคองนางไว้กลางฝ่ามือ และปกป้องนางอย่างเป็นห่วง และกระตือรือร้นไม่ยอมห่างนางแม้เพียงครึ่งก้าว

    ต่อให้มีบางอย่างล่าช้าไปสักพัก จนกลับมาไม่ได้ เขาก็จะส่งคนมาแจ้งนางทุกครั้ง บอกว่าเขาอยู่ที่ไหน และจะกลับเมื่อไร และบอกนางให้ระมัดระวังดูแลลูกในท้องและเรื่องอื่นๆ

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 757 เหลียนเจ๋อมาเมืองหลวง

        พี่สาวและน้องชายต่างบอกเล่าถึงความรู้สึกคิดถึงและห่วงหาอาทรของกันและกัน และเหลียนฟางโจวก็อดถามถึงอาหญิงสาม เหลียนเช่อ ชิงเอ๋อร์ พ่อบ้านฉิน ป้าจาง ถางสยง  และเหล่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆทีละคน และก็ย่อมถามถึงกิจการของตระกูลเหลียน รวมถึงเรื่องราวการแต่งงานระหว่างซูซินเอ๋อร์และซุนหมิง พลางทอดถอนใจ

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 756 ความดื้อรั้นของจูอวี๋อิง

       ไม่เพียงแค่เธอที่งดการพบปะสังสรรค์ทั้งหมด ทว่าคนอื่นๆที่ประสงค์จะมาเยี่ยมเยียน ก็ถูกเหลียนฟางโจวปฏิเสธไปชั่วคราว โดยบอกว่าช่วงนี้อาการคลื่นไส้อาเจียนในช่วงเช้ายังรุนแรงอยู่ จึงยังไม่สะดวกที่จะต้อนรับแขก เอาไว้ผ่านไปสักระยะ เธอจะเชิญทุกคนมานั่งสนทนาพูดคุยกัน

     ดังนั้นทุกคนในเมืองหลวงจึงรู้เรื่องนี้

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 755 อยากกินอะไร?

       เหลียนฟางโจวขอให้ปี้เถาไปส่งสองนายบ่าวออกไป ขณะที่เธอยิ้มให้อย่างสุภาพ และเอ่ยกับอีกฝ่ายสองสามคําตามมรรยาท ด้วยอีกฝ่ายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเธอ ก็อุตส่าห์มาเยี่ยมเธอถึงที่


     ความหมายก็คือ ต่อไปก็ไม่จําเป็นต้องเข้ามาเยี่ยมอีกแล้ว




     เมื่อแม่นางฉินได้ยินความหมายเป็นนัยๆนั้น ใบหน้าก็พลันไม่น่าดูไปชั่วอึดใจ หญิงสาวส่งยิ้มจืดเจื่อน แล้วกล่าวอำลากลับไป


     เดิมที เมื่อยังไม่แน่ใจเรื่องการตั้งครรภ์ เหลียนฟางโจวก็กินดื่มนอนหลับได้ตามปกติ และไม่มีปัญหาใดๆเลย


    อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เธอรู้แน่นอนว่าตนเองได้ตั้งครรภ์แล้วในวันนี้ สถานการณ์ก็แตกต่างไปจากตอนก่อนหน้าราวฟ้ากับเหว!


   เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อทั้งสองสามีภรรยากำลังรับสำรับมื้อเช้า ยามหญิงสาวได้กลิ่นโจ๊กไก่และซาลาเปาไส้หมูและเห็ดสับนึ่งลูกเล็กเข้า ทันใดนั้นท้องไส้ก็พลันปั่นป่วน และก่อนที่เธอจะกินเข้าไป ก็พลันก้มหน้าลง พลางเอามือปิดปากจะอาเจียน


   หลี่ฟู่ ชุนซิ่งและคนอื่น ๆ ต่างก็ตื่นตระหนก แล้วรีบร้อนเข้ามาดู


   "เกิดอันใดขึ้น? ไม่อยากอาหารเหรอ? “ หลี่ฟู่ตบหลังหญิงสาวเบา ๆ และเอ่ยด้วยความเป็นห่วง "ข้าไปขอให้ห้องครัวทําอย่างอื่นให้เจ้ากินไหม ?" 


   หลังจากอาการพะอืดพะอมชวนคลื่นเหียนได้หายไป อย่างยากเย็น เหลียนฟางโจวจึงกลับมานั่งตัวตรง พลางส่ายหน้าหายใจหอบ ยามสายตาปะทะกับอาหารบนโต๊ะอีกครา ก็อดรู้สึกถึงความคลื่นเหียนที่ตีตื้นขึ้นมาอีกระลอกหนึ่งไม่ได้


   หญิงสาวรีบลุกขึ้นมาอย่างไว แล้วก้าวถอยไปห่างๆ นางหันมาฝืนยิ้มให้หลี่ฟู่ที่มาพร้อมใบหน้าเป็นกังวล "จู่ๆท้องไส้ข้าก็ปั่นป่วนอย่างหนัก จนไม่อยากกินอะไรเลย!" 


   หลี่ฟู่ขอให้ใครบางคนเทชาร้อนหนึ่งถ้วย แล้วยื่นมาให้หญิงสาว พลางอดโมโหตัวเองไม่ได้ "ทั้งหมดเป็นความคิดของข้า เมื่อวานข้าไม่ควรพูดไปแบบนั้นเลย!" 


   เหลียนฟางโจวชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วนึกถึงคำพูดของเขาเมื่อวานนี้ จึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ "ข้าจะตําหนิท่านในเรื่องนี้ได้อย่างไร? มันน่าจะถึงเวลาของมันแล้วกระมัง? "


   ขณะพูดไปหญิงสาวยังอดกังวลใจไม่ได้ เพราะเธอกินอะไรไม่ลงเลยจริงๆ และไม่มีความอยากอาหารเลยสักนิด แล้วนางจะทําอย่างไรดี!


   เมื่อเห็นว่าหลี่ฟู่ยังอยู่กับเธอ หญิงสาวจึงผลักเขาเบา ๆ ด้วยสีหน้ายิ้มๆ "ข้าสบายดี แค่พักสักหน่อยก็พอ ท่านไปกินต่อเถอะ! มัวแต่อยู่กับข้า ประเดี๋ยวท่านจะหิวเอา! "


   หลี่ฟู่จึงตอบว่า "ประเดี๋ยวข้าจะไปหาเซวียอี้ชิงเอง! เจ้าคงต้องอดทนไปก่อนนะ ! "


   เหลียนฟางโจวครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงอย่างไรนางก็คงหยุดเขาไม่ได้ ดังนั้นหญิงสาวจึงยอมพยักหน้าให้


   หลี่ฟู่รีบกินโจ๊กไม่กี่คำ แล้วเอ่ยถามภรรยา "เจ้าอยากกินพวกของเปรี้ยวบ้างไหม? ข้าจะได้นำกลับมามาตอนขากลับ!"  


   ปากของเหลียนฟางโจวขยับโดยไม่รู้ตัว หญิงสาวจึงพยักหน้าให้อีกฝ่าย


   หลี่ฟู่จึงออกจากจวนไป


   ของเปรี้ยวรึ เหลียนฟางโจวรู้สึกราวกับว่าความอยากอาหาร จู่ๆก็บังเกิดขึ้นจางๆ เธออดเลียริมฝีปากไม่ได้


   ในไม่ช้า ความอยากอาหารนี้ซึ่งเดิมทีเกิดขึ้นมาจางๆโดยไม่ทราบสาเหตุ จู่ๆก็พุ่งทะยานขึ้นมาอย่างกะทันหัน ราวกับราดน้ำมันบนกองไฟ!


   หญิงสาวไม่อาจหยุดคิดถึงมันได้ ขณะที่ลำคอก็เริ่มกระหายยิ่งขึ้น จึงเอื้อมมือออกไปคีบอาหารกินทันที!


   โชคไม่ดีเลย ไม่ว่าจะให้คิดอีท่าไหน


   นางไม่อยากกินลูกเหมย ผลซิ่ง หรือลูกซานจาเลย นางอยากกินกิมจิ! ผักดองที่เปรี้ยว เผ็ดชวนน้ำลายสอ ทั้งกรุบกรอบ กินแล้วรู้สึกสดชื่น!


    เหลียนฟางโจวถึงกับกลืนน้ําลาย และรีบร้อนสั่งชุนซิ่งและคนอื่น ๆ ให้ไปเตรียมล้างและหั่นกะหล่ำปลี แครอท รวมทั้งสับพริกให้ละเอียด จากนั้นจึงนำเกลือ น้ําส้มสายชู กระเทียมและส่วนผสมอื่น ๆ เอามาใส่ในชามขนาดใหญ่!


    เธออยากจะกินเดี๋ยวนี้แล้ว!


   หากไม่ใช่เพราะกำลังคลื่นไส้พะอืดพะอมอยู่ หญิงสาวก็คงจะตรงดิ่งไปที่ห้องครัวเองแล้ว


  ชุนซิ่งและคนอื่นๆต่างมองหน้ากัน ไม่มีใครรู้ว่าฮูหยินต้องการจะทําอะไร


   ปี้เถาจึงเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ "ฮูหยินคงอยากกินกะหล่ำปลีผัดกับแครอทใช่ไหมเจ้าคะ? บ่าวจะได้สั่งให้ทางห้องครัวผัด แล้วยกมาให้เจ้าค่ะ! "


   เหลียนฟางโจวรีบส่ายหน้าหวือ "หลังล้างผักจนสะอาดแล้ว ก็นำมาให้ข้าทั้งดิบๆเลย! ไปจัดการซะ! "


   ชุนซิงและคนอื่นๆไม่มีทางเลือก ดังนั้นจึงต้องไปตามคำสั่ง


   ยามที่หลี่ฟู่ลากเซวียอี้ชิงวิ่งตัวปลิวเข้ามา เขาก็เห็นว่าบรรดาสาวใช้กำลังยุ่งง่วนอยู่ในห้องนั่งเล่น


   ชายร่างใหญ่สองคนพลันเบิกตาโพลงทันที


   เซวียอี้ชิงหัวเราะ แล้วเอ่ยเย้าอีกฝ่าย "พี่สะใภ้ ท่านถึงกับย้ายครัวมาที่นี่เชียวหรือ?" 


   เหลียนฟางโจวหันหน้ามา แล้วเห็นว่าเป็นพวกเขาจึงส่งยิ้มให้ "ที่ไหนกัน! ก็แค่จะทำอะไรกินสักหน่อยน่ะ! "


    เมื่อเซวียอี้ชิงเห็นหญิงสาวมีท่าทางกระหาย ดวงตาลุกวาว เขาก็ยกยิ้มบาง


   สตรีมีครรภ์ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น เบื่ออาหาร กินอะไรไม่ลง แต่ทันทีที่คิดอยากลิ้มลองอะไรสักอย่าง พอคิดว่าจะมีรสชาติอย่างไร ต่อให้เจอกําแพงทิศใต้ก็หยุดพวกนางไม่ได้ และพวกนางแทบอยากจะกินเสียเดี๋ยวนี้


    เมื่อเห็นเช่นนี้ หลี่ฟู่เองก็ยังรู้ด้วยว่า ต้องเป็นความตั้งใจของนางเอง ที่จะลองสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เขาจึงช่วยสนับสนุนนาง "ไปที่ห้องเล็กตะวันออก และให้เซวียอี้ชิงอธิบายให้เจ้าฟังก่อน ส่วนที่นี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของปี้เถาและชุนซิ่งเถอะ! "


    เซวียอี้ชิงเหลือบมองหลี่ฟู่ พลางเอ่ยอย่างไม่พอใจ "เจ้าไม่จําเป็นต้องทำเป็นแตกตื่นตกใจ ในเมื่อพี่สะใภ้มีของบางอย่างที่นางอยากกิน ก็ถือว่าดีแล้ว ส่วนอาการคลื่นไส้อาเจียนในตอนเช้าก็เป็นการตอบสนองของร่างกายตามปกติ ซึ่งการตั้งครรภ์เป็นแบบนี้ทั้งนั้น ก็แค่อดทนให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปก็ไม่มีอะไรแล้ว! การที่เจ้ามาตามข้า มันจะมีประโยชน์อันใด? "


  หลี่ฟู่เอ่ยถาม "การตอบสนองตามปกติคืออะไร? แล้วถ้าพวกนางกินอะไรไม่ได้เล่า มารดากับบุตรชายจะมิหิวโหยรึ? แล้วไอ้การตอบสนองตามปกตินี้มันคืออะไร? อย่ามัวขี้เกียจ อธิบายให้นางเห็นสิ! "


    เซวียอี้ชิงค้อนใส่อีกฝ่าย แต่ก็ไม่อาจต้านทานหลี่ฟู่ได้ เขาจึงต้องตามพวกเขาเข้าไปในห้องเล็กตะวันออกด้วยกัน


    โชคดีที่พี่สะใภ้หาใช่คนไร้เหตุผล นางจึงยิ้มให้เขาอย่างขอลุแก่โทษ!


    บุรุษผู้นี้ช่างดื้อรั้นเสียจริง ไฉนเขาถึงได้เรื่องมากขนาดนี้นะ หืม คิดจริงๆหรือว่าเขาจะกลัวเขา ทำเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตไปได้—-


   เมื่อคิดถึงลายมือของตนที่ไม่มีใครในใต้หล้ารู้ ยกเว้นคนผู้นี้ เซวียอี้ชิงจึงไม่กล้าอารมณ์เสีย!


   เขาแกล้งทําเป็นตรวจวินิจฉัยชีพจรของเหลียนฟางโจว เซวียอี้ชิงถอนหายใจ "กินให้มากขึ้น! หากท่านกินไม่ลง ก็ต้องบังคับให้ตัวเองกินเข้าไป สั่งให้ทางห้องครัวเน้นปรุงอาหารเบา ๆที่มีรสเปรี้ยวเล็กน้อย ก็คงเป็นเช่นนี้ไปราวๆหนึ่งเดือนหรือมากกว่านั้น! "


    "มากกว่าหนึ่งเดือนเชียวรึ? นานถึงเพียงนั้นเชียว? หลี่ฟู่ไม่พอใจยิ่งนัก


    เซวียอี้ชิงเกาหัวแกรกๆ แสร้งทําเป็นขบคิดสักครู่ แล้วกล่าวว่า " เอ่อ พี่สะใภ้ของข้ามีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ สีหน้าก็ดูดี และนางไม่มีเรื่องต้องกังวล อีกทั้งสภาพทารกในครรภ์ก็มั่นคง บางทีมันอาจจะไม่นาน อาจจะ 10 วันถึงครึ่งเดือน! "


   หลี่ฟู่เหลือบมองภรรยาที่อรชรอ้อนแอ้นของตน สิบวันถึงครึ่งเดือนเชียวรึ? นั่นเพียงพอทำให้นางทุกข์ทรมานเลยนะ!


   เขาอดขมวดคิ้วด้วยความกังวลไม่ได้ และพยายามพูดอะไรบางอย่าง เหลียนฟางโจวจึงรีบยิ้ม "เท่านี้ก็ดีมากแล้ว! ข้าเคยเห็นคนท้องมาก่อน บางคนอาการแย่กว่าที่ข้าเป็นเสียอีก! เรามาคอยดูอาการกันอีกซักพักเถอะ! "


   หลี่ฟู่ม่ได้พูดอะไรเพียงแต่เอ่ยอย่างอ่อนโยน " หรือไม่ก็ขอให้ห้องครัวต้มโจ๊กละเอียดมาดีไหม? เจ้าก็ดูสิว่าจะกินได้สักหน่อยไหม? เจ้าไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า และนี่มันก็ผ่านมาครึ่งวันแล้ว..."


    เซวียอี้ชิงเหลือบมองเหลียนฟางโจวอย่างซาบซึ้ง และทั้งสองก็แลกเปลี่ยนสายตากันอย่างไร้ร่องรอย เหลียนฟางโจวนึกขบขันในใจ


    เมื่อได้ยินหลี่ฟู่พูดแบบนี้อีก เขาก็อดแอบกลอกตาใส่อีกครั้งไม่ได้ เจ้าทาสภรรยาเอ้ย!


    เซวียอี้ชิงเองก็พยักหน้า และเอ่ยโน้มน้าว "ใช่ ใช่ พี่สะใภ้ควรกินโจ๊กเบา ๆทีละน้อย โดยให้ห้องครัวเล็ก ๆคอยเตรียมไว้เป็นระยะๆ หากท่านอาเจียนอีก ท่านก็ต้องกินเพิ่มอีก! เพื่อประโยชน์ของเด็กในท้อง ท่านก็ต้องมุ่งมั่นอดทน! "


   ใบหน้าของเหลียนฟางโจวขมขื่นกว่าเดิมเล็กน้อยเมื่อได้ยิน ในใจรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล การตั้งครรภ์นี่มันทรมานจริงๆ!


   หลี่ฟู่สั่งให้คนให้เตรียมพร้อมไว้แล้ว ดังนั้นเธอเองจึงไม่มีทางเลือก นอกจากต้องยอมแพ้


   แน่นอนว่านับจากวันนี้เป็นต้นไป นอกเหนือจากกิมจิที่ทําเองแล้ว ทุกอย่างที่เหลือ เมื่อกินเข้าไป เธอก็อาเจียนออกมา อาเจียนจนหน้าซีดเซียว น้ำตาคลอหน่วย


   เมื่อเห็นนางกลืนกินผลไม้ดองทุกวัน แค่ได้กลิ่นเขาก็รู้สึกเข็ดฟันแล้ว


   ความตื่นเต้นยินดีอันแปลกประหลาดของหลี่ฟู่ที่ได้เป็นพ่อคนอย่างที่ใจต้องการในตอนแรก ได้ลดลงไปมาก เมื่อต้องมาเห็นภรรยาทุกข์ทรมานเช่นนี้ ชายหนุ่มรู้สึกเสียใจกับนาง และตลอดทั้งวันนอกเหนือจากการงานอันเร่งด่วนแล้ว เขาจะกลับไปอยู่ที่บ้าน เพื่อคอยอยู่เป็นเพื่อนนางทุกย่างก้าว และคอยปลอบประโลมนาง