บ้านของเหลียนลี่ผู้เป็นลุงของเหลียนฟางโจวอยู่ไม่ใกลจากหลานของพวกเขา ประตูสวนหน้าบ้านสูงใหญ่ บ้านเรือนใหญ่โตแข็งแรง ชีวิตพวกเขาดูไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก
ทันทีที่ฮูหยินเฉียวเห็นพี่น้องทั้งสองคน นางคิดถึงเรื่องเมื่อวานนี้ที่แม่เฒ่าหยางมาขอยกเลิกการแต่งงาน
ความโกรธที่นางเก็บไว้ตั้งแต่ครานั้นไม่สามารถระเบิดออกมาได้ทันที นางจ้องมองเหลียนฟางโจวพลางตะคอกใส่ “พวกเจ้ามาทำอะไร ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”
อย่างไรก็ตามเหลียนฟางโจวก็มิได้ออกไป
กลับเดินเข้ามาในห้องโถงเมื่อพบม้านั่งจึงนั่งลงอย่างถือวิสาสะ “พวกข้ามาเพื่อจะนำสิ่งดั้งเดิมที่เป็นของพวกข้ากลับคืน หรือป้าคิดว่าพวกเรามาที่นี่เพื่อการใดรึ?”
“อวดดีนัก!” หน้าของเหลียนลี่พลันมืดครึ้มลง กล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงสั่งสอน “เหลียนฟางโจว นั่นเจ้ามีความคิดอะไรเช่นนี้? นั่นคือมารยาทเวลาพูดคุยกับผู้ใหญ่ของเจ้ารึ?”
“อ้าว... ลุงนึกออกแล้วรึว่าท่านเป็นญาติผู้ใหญ่?” เหลียนฟางโจวหัวเราะเสียงเย็น “วางแผนจ้องเอาข้าวของของเรา รังแกเราพี่น้องกำพร้า นั่นคือสิ่งที่ญาติผู้ใหญ่สมควรทำรึ?! ลุง..ป้า พ่อแม่ข้ากำลังเฝ้ามองพวกท่านจากบนสวรรค์นะ”
“เจ้า!” เหลียนลี่บังเกิดโทสะพลุ่งพล่านจนอกแทบระเบิด พลันถ่มน้ำลาย “เพ่ย คราที่ถกเถียงกัน หยุดอ้างชื่อพ่อแม่เจ้าได้แล้ว เราไม่ได้เป็นหนี้อะไรพวกเจ้า เจ้าพูดว่าเรารังแกเจ้า ไหนล่ะหลักฐาน? หากเจ้าไปไม่มีหลักฐาน เช่นนั้นแล้วก็อย่าได้พูดจาเหลวไหล! เห็นแก่ที่พวกเจ้าอายุน้อยยังน้อย ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ ข้าจะไม่ตำหนิซ้ำเติมอะไรพวกเจ้า
แค่พวกเจ้ามาขอขมาก็พอ แล้วก็รีบออกไปซะ ไปทำสิ่งที่เจ้าสมควรทำซะ!”
เขาส่งเสียงกดต่ำพลางส่งสายตาจ้องลึกไปที่เหลียนฟางโจวตรงๆ “เจ้าไม่เหมือนเมื่อก่อนเลย เจ้าเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
ไม่น่าจะใช่ว่าเจ้าถูกสาปแช่งหรือกลายเป็นปิศาจไปแล้วนะ! ฟางโจว...อา เด็กสาวคนหนึ่งกลายเป็นผู้หญิงปากร้ายไปได้อย่างไร
ราวกับขาดการอบรมสั่งสอน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดสกุลหยางถึงไม่ต้องการเจ้า หากเจ้ายังทำตัวเช่นนี้ต่อไป ชั่วชีวิตนี้...เกรงว่าเจ้าคงไม่สามารถแต่งออกไปกับใครได้!”
“ท่านลุง...ท่านพูดว่าพี่สาวข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!” เหลียนเซ่อโกรธเกรี้ยว ไม่สามารถทนฟังได้พลางกำมือข้างตัวแน่น
เหลียนฟางโจวดึงตัวเขาออกมาอย่างอ่อนโยน เห็นชัดเลยว่าเขากำลังอดกลั้นอย่างที่สุด เธอส่งยิ้มไปให้เหลียนลี่พลางพูดเสียงเบา
“ท่านสงสัยว่าเหตุใดข้าถึงกลายเป็นแบบนี้เช่นนั้นหรือ?
นั่นเป็นเพราะแม่ข้ามาเข้าฝันบอกข้าว่า ม้าเชื่องมักยอมให้ขี่ คนจิตใจดีมักถูกรังแกอย่างไรเล่า เช่นนั้น.. ข้าจึงกลายเป็นคนแบบนี้ไง! เรื่องที่ข้าได้รับการอบรมสั่งสอนมาหรือไม่นั้น มิจำเป็นให้ลุงต้องมาห่วงกังวลแทน เนื่องจาก...หากทำตามคำท่านไปก็เท่านั้น ข้าคงจะไม่ได้เรียนรู้สิ่งดีๆหรอก และการที่สกุลหยางไม่ต้องการข้าดูเหมือนก็มิใช่ธุระกงการอะไรของท่านอีกด้วย
ท่านไม่จำเป็นต้องพูดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เพื่อกดดันให้ข้ารู้สึกผิดหรอก เพราะจริงๆแล้วข้าไม่เคยใส่ใจเลย!”
เหลียนฟางโจวยิ้มเยาะในใจ พูดจากับเธอดังว่าเธอเป็นหญิงน่านับถือ
ทว่า...หากเธอเป็นหญิงน่านับถือจริง
แล้วมาได้ยินคำกล่าวของลุง เกรงว่าเธอคงจะโมโหโทโสจนตายไปครึ่งตัวแล้ว
เนื่องจากที่นี่คือยุคโบราณ เป็นสถานที่ที่หากผู้ใดโดนพูดใส่ด้วยคำอันโหดร้ายที่สุด ดังเช่น
ยกเลิกการหมั้น ผู้นั้นย่อมไม่อาจแต่งให้ใครได้อีกเลย นอกจากนี้ก็ยังมีคำกล่าวประดุจยาพิษอื่นๆที่ลุงนางพ่นออกมาอีก เช่น ปากร้าย
ขาดการอบรมสั่งสอน คนทั่วไปจะทนฟังได้อย่างไร
ไม่เช่นนั้น...ปฏิกิริยาที่เหลียนเซ่อแสดงออกมาคงไม่เป็นเช่นนี้หรอก
เหลียนลี่ไม่คาดคิดว่าเหลียนฟางโจวจะเยือกเย็นเช่นนี้ นางโต้แย้งทุกคำพูดของทุกๆคนด้วยท่าทางเฉยเมย
ความคิดที่ไม่ใส่ใจอะไรนั่น ดูเหมือนว่าไม่ได้แสร้งทำ
ชั่วขณะหนึ่ง เขานิ่งอึ้งไป
รู้สึกเหมือนโดนชกจนมึน
ฮูหยินเฉียวเห็นว่าสามีนางเริ่มหลุดมาด
นางจึงเปล่งถ้อยคำรังเกียจเหยียดหยาม “ หน้าด้าน หนังหนา ไร้ยางอายยิ่งนัก!”
“ใช่ๆ ไร้ยางอายนัก” เหลียนลี่กล่าวเป็นลูกคู่ด้วยน้ำเสียงกดต่ำ
“พวกท่านว่าอะไรนะ!” เหลียนเซ่อโกรธจัด เส้นเลือดบนขมับเต้นตุบๆ ใบหน้าเขามืดครึ้มดำทะมึน
“อาเซ่อ...ไม่จำเป็นต้องฉุนเฉียวไป” ขณะที่เหลียนฟางโจวกลับผ่อนคลายสบายๆเต็มที่พลางหัวเราะเบิกบาน “ชัดเจนแล้วว่า พวกท่านเป็นคนประเภทใดถึงได้กล่าวคำประเภทนี้ออกมาได้ หากว่าท่านยังพูดไม่สะใจ ก็จงโปรดพ่นออกมาให้หมด! ถ้าให้ดีที่สุดนะ ก็ขุดบรรพบุรุษ18รุ่นขึ้นมาด่าด้วย! เมื่อด่าจบแล้ว
เราจะได้เข้าเรื่องคุยธุระสักที เจรจาเรื่องที่ควรเจรจา”
เหลียนลี่สั่นเทิ้มด้วยความโมโห เขาไม่อาจกล่าวออกมาแม้เพียงครึ่งคำ ได้แต่จ้องหน้าเหลียนฟางโจว รู้สึกเหมือนตนเองจะหน้ามืดล้มลงได้ทุกขณะ
‘ด่าว่าบรรพบุรุษ18รุ่นรึ? ก็บรรพบุรุษ18รุ่นของนางไม่ใช่บรรพบุรุษ18รุ่นของเขาหรอกรึ? เอ มันแค่ 17รุ่นนี่นา ยายเด็กนี่มันเจ้าเล่ห์ชัดๆ!’
เหลียนลี่คำรามพลางคิดในใจว่า “จะไม่ยอมลดตัวไปเทียบชั้นกับนางแน่”
ครั้นแล้วจึงถามเสียงเย็น “แท้จริงแล้วเจ้ามาเพื่ออะไร?
เมื่อเสร็จธุระแล้วก็รีบไสหัวไปให้ไวเลย”
เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว เหลียนฟางโจวจึงกล่าว “ระหว่างช่วงฤดูเก็บเกี่ยว
ลุงและป้าช่วยเราเกี่ยวข้าว
เราพี่น้องยังไม่ได้ขอบคุณพวกท่านให้มากเพียงพอเลย พ่อแม่เราที่อยู่บนสวรรค์ก็ยังไม่ได้ขอบคุณพวกท่านให้เต็มร้อยเลย ลุงและป้าช่วยดูแลข้าวมาให้เรามายาวนาน เพียงพอแล้ว บัดนี้...เราเห็นสมควรว่าถึงเวลาเอาข้าวที่ฝากไว้กลับคืนมาได้แล้ว”
“เจ้ากำลังคุยเรื่องอะไรนี่!” ฮูหยินเฉียวโกรธจนทะลุจุดเดือดพลางแผดเสียงตะโกน “เจ้าฝันกลางวันใช่ไหมเนี่ย!”
เหลียนฟางโจวไม่ได้ขัดนาง
ยังคงพูดต่อไปด้วยโทนเสียงเดิม “เมื่อคืน...
แม่ข้ามาเข้าฝัน บอกข้าให้มาเอาข้าวหนึ่งพันกระสอบ ส่วนที่ยังคงเหลืออยู่เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อลุงและป้า ลุงและป้าเป็นญาติผู้ใหญ่ของพวกเรา ทว่า...ยังแสดงความเป็นญาติผู้ใหญ่ออกมาเพียงเล็กน้อย
และไม่แสดงออกมานอกหน้ามากเพียงพอ ใช่หรือไหม?”
“หยุดเอาสิ่งศักด์สิทธิ์มาล้อเล่นและหยุดบิดเบือนได้แล้ว!”
ฮูหยินเฉียวมักเอาเปรียบคนอื่นเสมอๆ ไม่เคยมีใครเอาเปรียบนางได้
ไม่ต้องพูดถึงการมอบคืน
แม้แต่ได้ยินเหลียนฟางโจวพูดถึงคำนี้ พลันทำให้นางปวดใจราวกับเฉือนเนื้อตัวเอง มาทำให้นางโกรธเต็มสูบจนกระทั่งนางรู้สึกไม่สบายตัวซะได้
นางยิ้มเยาะ
“เจ้าเด็กเหลียน เจ้ามีความสามารถจริงๆ ในการเอาแม้แต่เรื่องแม่ที่ตายแล้วมาเจรจา คิดดูซิ! หืม
อย่าคิดว่าเจ้าเอาคนตายมาขู่แล้วเราจะกลัวเจ้านะ ฝันไปเถอะ!”
“ป้า...ที่ท่านพูดมาถือว่าไม่ถูกต้องนะ” เหลียนฟางโจวกล่าวเสียงนุ่ม
“สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง ไม่มีซักคำที่พยายามหลอกลวงท่านเลย มิเช่นนั้น...ข้าจะอาจหาญมาบ้านท่านเพื่อพูดเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร?”
“ที่ผ่านมา เจ้าอาจจะไม่กล้า แต่ตอนนี้เจ้ามันชั่วร้ายน่ารังเกียจไปแล้ว ยังมีสิ่งใดที่เจ้าไม่กล้าทำเล่า” ฮูหยินเฉียวยิ้มเยาะ
เหลียนลี่ให้งุนงงสองประเด็น หากไม่ใช่เพราะคำพูดของแม่ที่ตายไปแล้ว เขารู้สึกว่าเหลียนฟางโจวคงไม่กล้ามาที่บ้านพวกเขาเพื่อมาสร้างความเดือดร้อนเป็นแน่
ทว่า..สิ่งที่เขาและฮูหยินเฉียวคิดเหมือนกันคือ เจ้าเด็กพวกนี้คงต้องการเอาข้าวเปลือกไปจากพวกเขาเป็นแน่ ไม่ต้องสงสัยเลย
เหลียนลี่จ้องสองพี่น้องเขม็งพลางพูดเสียงเรียบว่า
“ข้าคิดว่าแม่เจ้าคงเข้าใจผิดแล้ว เหตุใดบ้านข้าจะมีข้าวเปลือกของเจ้าได้เล่า?”
หลังจากเราช่วยพวกเจ้าเกี่ยวข้าวแล้ว เราไม่ได้ให้ข้าวแก่พวกเจ้าไปแล้วหรอกรึ?
เหตุใดเจ้าถึงมาขอข้าวกับพวกเราอีก? เจ้าสองพี่น้องไม่ใช่ว่ากำลังจะมาคิดโกงข้านะ
พวกเจ้ามียางอายบ้างหรือไม่? ในสายตาของพวกเจ้า
เรายังคงเป็นญาติผู้ใหญ่อยู่อีกหรือไม่?”
“จริงด้วย!” ฮูหยินเฉียวได้ยินวาจาที่มีเหตุผลของสามี พลันยืดตัวตรง และแสดงออกราวกับตนเองถูกป้ายความผิด
“มีคำพูดที่ดีกล่าวไว้ว่า
จิตมนุษย์นี้ไซร้ยากแท้หยั่งถึง คนที่จิตใจดีจริงๆจะไม่คิดขอค่าชดเชย เวลานั้นลุงเจ้าและข้า
เราทั้งสองเหนื่อยยากทั้งวันและคืนหมดเรี่ยวแรงไปสิ้นเพื่อช่วยพวกเจ้าเกี่ยวข้าว ข้าวทุกๆเมล็ดล้วนมอบให้แก่พวกเจ้า ทว่า...พวกเจ้ากลับปรี่เข้ามาอย่างไร้ยางอายเพื่อขู่กรรโชกเรา นี่มันเรื่องอะไรกัน! เราไม่หวังให้เจ้าแสดงความกตัญญูต่อญาติผู้ใหญ่เยี่ยงเรา ทว่า..พวกเจ้าก็ไม่ควรใจร้ายและขาดสำนึกผิดชอบชั่วดี เช่นนี้แล้ว....สวรรค์จะไม่เข้าข้างพวกเจ้า
พระพุทธองค์จะไม่คุ้มครองพวกเจ้าอีกด้วย!”
“ท่านป้า..คำที่ท่านกล่าวทั้งหมดมาเหล่านี้ ท่านกล้าสาบานไหมว่าเป็นเรื่องจริง!” เหลียนเซ่อได้ยินฮูหยินเฉียวกลับดำเป็นขาวพลันโมโหจนกระทั่งหัวหูยุ่งไปหมด
“ดู๊ ดูสิ” ฮูหยินเฉียวร้องออกมา “ในฐานะหลาน กล้ามาบังคับป้าเจ้าให้สาบาน พวกเจ้ากลายเป็นอะไรไปหมดแล้ว
ข้าวเปลือกก็แค่เพียงเล็กน้อยพอกินอิ่มไปมื๊อหนึ่ง ช่างไม่เข้าใจเหตุผลสักนิด!”
“พอได้แล้ว!
ท่านพูดให้น้อยลงหน่อยเถิด มิเช่นนั้นใครๆจะเอาไปพูดกันว่าเรากำลังกลั่นแกล้งคนที่เด็กกว่า!”
เหลียนลี่เห็นฮูหยินเฉียวพูดสาม กลายเป็นสอง สุดท้ายพูดว่ามีมากมายกลายเป็นไม่มี อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและดูถูกนาง เขาหันไปหาเด็กทั้งสองพลางกล่าวเสียงเรียบ “เราให้ข้าวเปลือกแก่พวกเจ้าไปแล้ว ครานี้เจ้าจะมาเอาอีก นั่นเป็นไปไม่ได้!”
“พวกท่านให้ก็จริง ทว่า..สิ่งที่ให้มาไม่ใช่จำนวนทั้งหมด ข้าวเปลือกสามแปลงควรเก็บเกี่ยวได้1,560
กระสอบ ข้าเกรงว่าสิ่งที่ท่านให้พวกเราแค่300-400กระสอบเท่านั้น!” เหลียนเซ่อกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว
“ฮ่า.ฮ่า.ฮ่า” เหลียนลี่แค่นหัวเราะเบาๆพลางเหยียดหยามเล็กน้อย
กับแต่ละคำถามที่ได้ยิน “พวกเจ้ามีหลักฐานอันใดรึ? เจ้าชั่งน้ำหนักข้าวไว้รึเปล่า? มีพยานบุคคลหรือวัตถุพยานหรือไม่เล่า? ข้าวในครานั้นเราส่งมอบให้พวกเจ้าไปแล้ว ขณะที่พวกเจ้าก็จัดการกับข้าวเปลือกที่เจ้ามี ทั้งเอาไปกินหรือเอาไปขายกันอย่างไร ข้าไม่รู้ด้วยหรอก!”
โอ้ยยยเกลียดดดจัดการให้หงายเงิบไปเลย
ตอบลบสรุปแล้วนี่เฬววววววว ทั้งลุงทั้งป้า
ตอบลบ