วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 10 เรียกร้องขอข้าวเปลือกคืน

                   บ้านของเหลียนลี่ผู้เป็นลุงของเหลียนฟางโจวอยู่ไม่ใกลจากหลานของพวกเขา  ประตูสวนหน้าบ้านสูงใหญ่ บ้านเรือนใหญ่โตแข็งแรง   ชีวิตพวกเขาดูไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก
                   ทันทีที่ฮูหยินเฉียวเห็นพี่น้องทั้งสองคน  นางคิดถึงเรื่องเมื่อวานนี้ที่แม่เฒ่าหยางมาขอยกเลิกการแต่งงาน   ความโกรธที่นางเก็บไว้ตั้งแต่ครานั้นไม่สามารถระเบิดออกมาได้ทันที  นางจ้องมองเหลียนฟางโจวพลางตะคอกใส่ พวกเจ้ามาทำอะไร  ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”

                   อย่างไรก็ตามเหลียนฟางโจวก็มิได้ออกไป   กลับเดินเข้ามาในห้องโถงเมื่อพบม้านั่งจึงนั่งลงอย่างถือวิสาสะ   พวกข้ามาเพื่อจะนำสิ่งดั้งเดิมที่เป็นของพวกข้ากลับคืน  หรือป้าคิดว่าพวกเรามาที่นี่เพื่อการใดรึ?”
                   “อวดดีนัก!”   หน้าของเหลียนลี่พลันมืดครึ้มลง  กล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงสั่งสอน  เหลียนฟางโจว  นั่นเจ้ามีความคิดอะไรเช่นนี้นั่นคือมารยาทเวลาพูดคุยกับผู้ใหญ่ของเจ้ารึ?”
                   “อ้าว... ลุงนึกออกแล้วรึว่าท่านเป็นญาติผู้ใหญ่?”  เหลียนฟางโจวหัวเราะเสียงเย็น วางแผนจ้องเอาข้าวของของเรา  รังแกเราพี่น้องกำพร้า  นั่นคือสิ่งที่ญาติผู้ใหญ่สมควรทำรึ?!   ลุง..ป้า พ่อแม่ข้ากำลังเฝ้ามองพวกท่านจากบนสวรรค์นะ
                   เจ้า!” เหลียนลี่บังเกิดโทสะพลุ่งพล่านจนอกแทบระเบิด   พลันถ่มน้ำลาย เพ่ย คราที่ถกเถียงกัน  หยุดอ้างชื่อพ่อแม่เจ้าได้แล้ว    เราไม่ได้เป็นหนี้อะไรพวกเจ้า   เจ้าพูดว่าเรารังแกเจ้า ไหนล่ะหลักฐานหากเจ้าไปไม่มีหลักฐาน    เช่นนั้นแล้วก็อย่าได้พูดจาเหลวไหล!  เห็นแก่ที่พวกเจ้าอายุน้อยยังน้อย  ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่   ข้าจะไม่ตำหนิซ้ำเติมอะไรพวกเจ้า แค่พวกเจ้ามาขอขมาก็พอ    แล้วก็รีบออกไปซะ   ไปทำสิ่งที่เจ้าสมควรทำซะ!”
                   เขาส่งเสียงกดต่ำพลางส่งสายตาจ้องลึกไปที่เหลียนฟางโจวตรงๆ   เจ้าไม่เหมือนเมื่อก่อนเลย   เจ้าเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร   ไม่น่าจะใช่ว่าเจ้าถูกสาปแช่งหรือกลายเป็นปิศาจไปแล้วนะฟางโจว...อา  เด็กสาวคนหนึ่งกลายเป็นผู้หญิงปากร้ายไปได้อย่างไร  ราวกับขาดการอบรมสั่งสอน   ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดสกุลหยางถึงไม่ต้องการเจ้า  หากเจ้ายังทำตัวเช่นนี้ต่อไป    ชั่วชีวิตนี้...เกรงว่าเจ้าคงไม่สามารถแต่งออกไปกับใครได้!”
                   ท่านลุง...ท่านพูดว่าพี่สาวข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!”  เหลียนเซ่อโกรธเกรี้ยว   ไม่สามารถทนฟังได้พลางกำมือข้างตัวแน่น
                    เหลียนฟางโจวดึงตัวเขาออกมาอย่างอ่อนโยน   เห็นชัดเลยว่าเขากำลังอดกลั้นอย่างที่สุด    เธอส่งยิ้มไปให้เหลียนลี่พลางพูดเสียงเบา  ท่านสงสัยว่าเหตุใดข้าถึงกลายเป็นแบบนี้เช่นนั้นหรือ?  นั่นเป็นเพราะแม่ข้ามาเข้าฝันบอกข้าว่า  ม้าเชื่องมักยอมให้ขี่ คนจิตใจดีมักถูกรังแกอย่างไรเล่า   เช่นนั้น.. ข้าจึงกลายเป็นคนแบบนี้ไง!   เรื่องที่ข้าได้รับการอบรมสั่งสอนมาหรือไม่นั้น     มิจำเป็นให้ลุงต้องมาห่วงกังวลแทน   เนื่องจาก...หากทำตามคำท่านไปก็เท่านั้น    ข้าคงจะไม่ได้เรียนรู้สิ่งดีๆหรอก    และการที่สกุลหยางไม่ต้องการข้าดูเหมือนก็มิใช่ธุระกงการอะไรของท่านอีกด้วย    ท่านไม่จำเป็นต้องพูดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เพื่อกดดันให้ข้ารู้สึกผิดหรอก    เพราะจริงๆแล้วข้าไม่เคยใส่ใจเลย!”
                   เหลียนฟางโจวยิ้มเยาะในใจ   พูดจากับเธอดังว่าเธอเป็นหญิงน่านับถือ
                   ทว่า...หากเธอเป็นหญิงน่านับถือจริง    แล้วมาได้ยินคำกล่าวของลุง   เกรงว่าเธอคงจะโมโหโทโสจนตายไปครึ่งตัวแล้ว
                   เนื่องจากที่นี่คือยุคโบราณ   เป็นสถานที่ที่หากผู้ใดโดนพูดใส่ด้วยคำอันโหดร้ายที่สุด  ดังเช่น  ยกเลิกการหมั้น   ผู้นั้นย่อมไม่อาจแต่งให้ใครได้อีกเลย   นอกจากนี้ก็ยังมีคำกล่าวประดุจยาพิษอื่นๆที่ลุงนางพ่นออกมาอีก  เช่น  ปากร้าย   ขาดการอบรมสั่งสอน   คนทั่วไปจะทนฟังได้อย่างไร
                   ไม่เช่นนั้น...ปฏิกิริยาที่เหลียนเซ่อแสดงออกมาคงไม่เป็นเช่นนี้หรอก
                   เหลียนลี่ไม่คาดคิดว่าเหลียนฟางโจวจะเยือกเย็นเช่นนี้    นางโต้แย้งทุกคำพูดของทุกๆคนด้วยท่าทางเฉยเมย    ความคิดที่ไม่ใส่ใจอะไรนั่น  ดูเหมือนว่าไม่ได้แสร้งทำ
                   ชั่วขณะหนึ่ง  เขานิ่งอึ้งไป   รู้สึกเหมือนโดนชกจนมึน
                   ฮูหยินเฉียวเห็นว่าสามีนางเริ่มหลุดมาด    นางจึงเปล่งถ้อยคำรังเกียจเหยียดหยาม    หน้าด้าน หนังหนา  ไร้ยางอายยิ่งนัก!”
                   “ใช่ๆ ไร้ยางอายนักเหลียนลี่กล่าวเป็นลูกคู่ด้วยน้ำเสียงกดต่ำ
                   พวกท่านว่าอะไรนะ!”  เหลียนเซ่อโกรธจัด  เส้นเลือดบนขมับเต้นตุบๆ  ใบหน้าเขามืดครึ้มดำทะมึน
                   อาเซ่อ...ไม่จำเป็นต้องฉุนเฉียวไป”  ขณะที่เหลียนฟางโจวกลับผ่อนคลายสบายๆเต็มที่พลางหัวเราะเบิกบาน  ชัดเจนแล้วว่า   พวกท่านเป็นคนประเภทใดถึงได้กล่าวคำประเภทนี้ออกมาได้   หากว่าท่านยังพูดไม่สะใจ   ก็จงโปรดพ่นออกมาให้หมดถ้าให้ดีที่สุดนะ  ก็ขุดบรรพบุรุษ18รุ่นขึ้นมาด่าด้วยเมื่อด่าจบแล้ว เราจะได้เข้าเรื่องคุยธุระสักที   เจรจาเรื่องที่ควรเจรจา
                   เหลียนลี่สั่นเทิ้มด้วยความโมโห    เขาไม่อาจกล่าวออกมาแม้เพียงครึ่งคำ    ได้แต่จ้องหน้าเหลียนฟางโจว   รู้สึกเหมือนตนเองจะหน้ามืดล้มลงได้ทุกขณะ
                   ด่าว่าบรรพบุรุษ18รุ่นรึ?   ก็บรรพบุรุษ18รุ่นของนางไม่ใช่บรรพบุรุษ18รุ่นของเขาหรอกรึ?  เอ มันแค่ 17รุ่นนี่นา   ยายเด็กนี่มันเจ้าเล่ห์ชัดๆ!’
                   เหลียนลี่คำรามพลางคิดในใจว่า จะไม่ยอมลดตัวไปเทียบชั้นกับนางแน่ ครั้นแล้วจึงถามเสียงเย็น แท้จริงแล้วเจ้ามาเพื่ออะไรเมื่อเสร็จธุระแล้วก็รีบไสหัวไปให้ไวเลย
                   เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว เหลียนฟางโจวจึงกล่าว ระหว่างช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ลุงและป้าช่วยเราเกี่ยวข้าว  เราพี่น้องยังไม่ได้ขอบคุณพวกท่านให้มากเพียงพอเลย   พ่อแม่เราที่อยู่บนสวรรค์ก็ยังไม่ได้ขอบคุณพวกท่านให้เต็มร้อยเลย   ลุงและป้าช่วยดูแลข้าวมาให้เรามายาวนาน เพียงพอแล้ว    บัดนี้...เราเห็นสมควรว่าถึงเวลาเอาข้าวที่ฝากไว้กลับคืนมาได้แล้ว
                   “เจ้ากำลังคุยเรื่องอะไรนี่!”   ฮูหยินเฉียวโกรธจนทะลุจุดเดือดพลางแผดเสียงตะโกน  เจ้าฝันกลางวันใช่ไหมเนี่ย!”
                   เหลียนฟางโจวไม่ได้ขัดนาง  ยังคงพูดต่อไปด้วยโทนเสียงเดิม   เมื่อคืน... แม่ข้ามาเข้าฝัน   บอกข้าให้มาเอาข้าวหนึ่งพันกระสอบ   ส่วนที่ยังคงเหลืออยู่เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อลุงและป้า  ลุงและป้าเป็นญาติผู้ใหญ่ของพวกเรา   ทว่า...ยังแสดงความเป็นญาติผู้ใหญ่ออกมาเพียงเล็กน้อย   และไม่แสดงออกมานอกหน้ามากเพียงพอ ใช่หรือไหม?”
                        หยุดเอาสิ่งศักด์สิทธิ์มาล้อเล่นและหยุดบิดเบือนได้แล้ว!” ฮูหยินเฉียวมักเอาเปรียบคนอื่นเสมอๆ ไม่เคยมีใครเอาเปรียบนางได้
                        ไม่ต้องพูดถึงการมอบคืน    แม้แต่ได้ยินเหลียนฟางโจวพูดถึงคำนี้   พลันทำให้นางปวดใจราวกับเฉือนเนื้อตัวเอง    มาทำให้นางโกรธเต็มสูบจนกระทั่งนางรู้สึกไม่สบายตัวซะได้
                        นางยิ้มเยาะ เจ้าเด็กเหลียน  เจ้ามีความสามารถจริงๆ  ในการเอาแม้แต่เรื่องแม่ที่ตายแล้วมาเจรจา   คิดดูซิหืม อย่าคิดว่าเจ้าเอาคนตายมาขู่แล้วเราจะกลัวเจ้านะ  ฝันไปเถอะ!”
                        “ป้า...ที่ท่านพูดมาถือว่าไม่ถูกต้องนะเหลียนฟางโจวกล่าวเสียงนุ่ม  สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง  ไม่มีซักคำที่พยายามหลอกลวงท่านเลย   มิเช่นนั้น...ข้าจะอาจหาญมาบ้านท่านเพื่อพูดเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร?”
                        “ที่ผ่านมา เจ้าอาจจะไม่กล้า   แต่ตอนนี้เจ้ามันชั่วร้ายน่ารังเกียจไปแล้ว   ยังมีสิ่งใดที่เจ้าไม่กล้าทำเล่าฮูหยินเฉียวยิ้มเยาะ
                        เหลียนลี่ให้งุนงงสองประเด็น  หากไม่ใช่เพราะคำพูดของแม่ที่ตายไปแล้ว  เขารู้สึกว่าเหลียนฟางโจวคงไม่กล้ามาที่บ้านพวกเขาเพื่อมาสร้างความเดือดร้อนเป็นแน่
                        ทว่า..สิ่งที่เขาและฮูหยินเฉียวคิดเหมือนกันคือ   เจ้าเด็กพวกนี้คงต้องการเอาข้าวเปลือกไปจากพวกเขาเป็นแน่  ไม่ต้องสงสัยเลย
                        เหลียนลี่จ้องสองพี่น้องเขม็งพลางพูดเสียงเรียบว่า ข้าคิดว่าแม่เจ้าคงเข้าใจผิดแล้ว  เหตุใดบ้านข้าจะมีข้าวเปลือกของเจ้าได้เล่า?” หลังจากเราช่วยพวกเจ้าเกี่ยวข้าวแล้ว  เราไม่ได้ให้ข้าวแก่พวกเจ้าไปแล้วหรอกรึ? เหตุใดเจ้าถึงมาขอข้าวกับพวกเราอีก?  เจ้าสองพี่น้องไม่ใช่ว่ากำลังจะมาคิดโกงข้านะ   พวกเจ้ามียางอายบ้างหรือไม่ในสายตาของพวกเจ้า เรายังคงเป็นญาติผู้ใหญ่อยู่อีกหรือไม่?”
                        “จริงด้วย!”  ฮูหยินเฉียวได้ยินวาจาที่มีเหตุผลของสามี  พลันยืดตัวตรง และแสดงออกราวกับตนเองถูกป้ายความผิด มีคำพูดที่ดีกล่าวไว้ว่า   จิตมนุษย์นี้ไซร้ยากแท้หยั่งถึง   คนที่จิตใจดีจริงๆจะไม่คิดขอค่าชดเชย   เวลานั้นลุงเจ้าและข้า  เราทั้งสองเหนื่อยยากทั้งวันและคืนหมดเรี่ยวแรงไปสิ้นเพื่อช่วยพวกเจ้าเกี่ยวข้าว   ข้าวทุกๆเมล็ดล้วนมอบให้แก่พวกเจ้า  ทว่า...พวกเจ้ากลับปรี่เข้ามาอย่างไร้ยางอายเพื่อขู่กรรโชกเรา   นี่มันเรื่องอะไรกัน!  เราไม่หวังให้เจ้าแสดงความกตัญญูต่อญาติผู้ใหญ่เยี่ยงเรา  ทว่า..พวกเจ้าก็ไม่ควรใจร้ายและขาดสำนึกผิดชอบชั่วดี   เช่นนี้แล้ว....สวรรค์จะไม่เข้าข้างพวกเจ้า พระพุทธองค์จะไม่คุ้มครองพวกเจ้าอีกด้วย!”
                        “ท่านป้า..คำที่ท่านกล่าวทั้งหมดมาเหล่านี้  ท่านกล้าสาบานไหมว่าเป็นเรื่องจริง!” เหลียนเซ่อได้ยินฮูหยินเฉียวกลับดำเป็นขาวพลันโมโหจนกระทั่งหัวหูยุ่งไปหมด
                        ดู๊ ดูสิ ฮูหยินเฉียวร้องออกมา ในฐานะหลาน  กล้ามาบังคับป้าเจ้าให้สาบาน   พวกเจ้ากลายเป็นอะไรไปหมดแล้ว  ข้าวเปลือกก็แค่เพียงเล็กน้อยพอกินอิ่มไปมื๊อหนึ่ง  ช่างไม่เข้าใจเหตุผลสักนิด!”
                        “พอได้แล้ว!  ท่านพูดให้น้อยลงหน่อยเถิด   มิเช่นนั้นใครๆจะเอาไปพูดกันว่าเรากำลังกลั่นแกล้งคนที่เด็กกว่า!”  เหลียนลี่เห็นฮูหยินเฉียวพูดสาม กลายเป็นสอง  สุดท้ายพูดว่ามีมากมายกลายเป็นไม่มี  อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและดูถูกนาง  เขาหันไปหาเด็กทั้งสองพลางกล่าวเสียงเรียบ  เราให้ข้าวเปลือกแก่พวกเจ้าไปแล้ว  ครานี้เจ้าจะมาเอาอีก  นั่นเป็นไปไม่ได้!”
                        “พวกท่านให้ก็จริง  ทว่า..สิ่งที่ให้มาไม่ใช่จำนวนทั้งหมด  ข้าวเปลือกสามแปลงควรเก็บเกี่ยวได้1,560 กระสอบ  ข้าเกรงว่าสิ่งที่ท่านให้พวกเราแค่300-400กระสอบเท่านั้น!” เหลียนเซ่อกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว

                        ฮ่า.ฮ่า.ฮ่าเหลียนลี่แค่นหัวเราะเบาๆพลางเหยียดหยามเล็กน้อย กับแต่ละคำถามที่ได้ยิน   พวกเจ้ามีหลักฐานอันใดรึ?  เจ้าชั่งน้ำหนักข้าวไว้รึเปล่ามีพยานบุคคลหรือวัตถุพยานหรือไม่เล่าข้าวในครานั้นเราส่งมอบให้พวกเจ้าไปแล้ว  ขณะที่พวกเจ้าก็จัดการกับข้าวเปลือกที่เจ้ามี   ทั้งเอาไปกินหรือเอาไปขายกันอย่างไร    ข้าไม่รู้ด้วยหรอก!”

2 ความคิดเห็น:

  1. โอ้ยยยเกลียดดดจัดการให้หงายเงิบไปเลย

    ตอบลบ
  2. สรุปแล้วนี่เฬววววววว ทั้งลุงทั้งป้า

    ตอบลบ