“ถูกต้อง!” ดวงตาของฮูหยินเฉียวสว่างวาบเหมือนกับอารมณ์นาง
นางครางออกมาอย่างมีชัย “คล้ายกับว่าเจ้าแอบเอาข้าวเปลือกไปขายลับๆ แล้วตั้งใจแสร้งทำตัวน่าสงสาร จากนั้นก็มาบ้านเราเพื่อฉ้อโกง! ฮึ่ม...พวกเจ้าพี่น้องช่างคิดคำนวณมาได้ดีนัก ด้านหนึ่ง...ก็เก็บข้าวเปลือกไว้เพื่อหารายได้เข้ากระเป๋า อีกด้านหนึ่ง...ก็มาเรียกร้องเอาข้าวเปลือกเพิ่มอีก ช่างไร้ศีลธรรมจริงๆ”
“แม้บิดามารดาเจ้าไม่อยู่แล้ว ในฐานะมนุษย์เจ้าควรมีมโนสำนึกบ้าง อย่าได้ใช้เล่ห์กระเท่ห์ให้มันมากนัก!” เหลียนลี่ยังคงพูดต่อไป “อันที่จริงแล้วพวกเจ้าเป็นหลานชายและหลานสาว เราไม่ควรปล่อยพวกเจ้าลอยนวล ทั้งต่อต้านการช่วยเหลือดูแลของเรา
สามครั้งห้าครั้ง พวกเจ้าก็ยังไม่เคยโดนลงโทษเลย
ทว่า..พวกเจ้ายังใช้เล่ห์กลโกงและวาจาข่มขู่พวกเรา มาเรียกร้องเพิ่มอย่างยโสโอหัง! ถึงกับขอข้าวเปลือกหนึ่งพันกระสอบ ช่างระรานกันเกินไปแล้ว!”
“ท่าน ท่าน....”
เหลียนเซ่อโกรธจนพูดไม่ออก หอบหายใจไม่เป็นจังหวะ เขาตกตะลึง
และเต็มไปด้วยความผิดหวัง
เขาไม่คาดคิดเลยว่าลุงและป้าที่มีสายเลือดเดียวกันจะมีวาจาและการกระทำที่ร้ายกาจเช่นนี้ ความสัมพันธ์ของตระกูลอะไรกันเล่า สายเลือดเดียวกันอะไรกันเล่า ในสายตาของพวกเขาสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีค่าเลยแม้แต่เงินอีแปะเดียว!
ณ เวลานี้ ความโศกเศร้าสะเทือนใจมันมหาศาลกว่าความโกรธของเด็กหนุ่มนัก
เหลียนฟางโจวดึงแขนเสื้อเหลียนเซ่อเบาๆ พลางตบไหล่เขาเพื่อปลอบประโลมและดูคล้ายว่าไม่อารมณ์เสียแม้แต่น้อย เธอไม่มีท่าทางฉุนเฉียวแม้แต่นิดเดียว พลางถามขึ้นนิ่งๆว่า “สรุปว่าลุงและป้าตัดสินใจไม่ยอมรับเรื่องจะคืนข้าวเปลือกให้เราแล้วใช่หรือไม่?”
“ฝันไปเถอะ!” ฮูหยินเฉียวแค่นเสียงตอบ
เหลียนลี่มีชั้นเชิงกว่าภรรยาผู้มีปัญญาทึบอย่างเห็นได้ชัด เขากล่าวตอบทันควัน “คืนอันใด? เราไม่เป็นหนี้อะไรพวกเจ้าเสียหน่อย? แล้วเราจะคืนอันใดได้อย่างไร?”
“ถูกต้อง!”
ฮูหยินเฉียวรีบสำทับทันที
“ฮ่าฮ่า” เหลียนฟางโจวหัวเราะเบาๆพลางกล่าว “ถึงอย่างไร ท่านแม่ข้าได้บอกข้าให้มา เข่นนั้นข้าถึงได้มา ถ้อยคำต่างๆที่มารดาบอกให้ข้าพูดข้าก็ได้กล่าวออกไปหมดแล้ว ทว่าลุงและป้าไม่เต็มใจยอมรับ เช่นนั้นแล้ว...คงไม่มีสิ่งใดที่ข้าสามารถทำได้อีก โอว...ใช่แล้ว ท่านแม่ข้าบอกข้าอีกด้วยว่า หากพวกท่านไม่ยอมคืนของมาให้แล้ว นางจะมาทวงถามพวกท่านด้วยตัวนางเอง! ครานี้เราสองพี่น้องคงต้องขอตัวก่อน!”
เหลียนลี่และฮูหยินเฉียวสายตาพลันว่างเปล่าไปชั่วขณะหนึ่ง
ทั้งสองไม่รู้ว่าจะกล่าวคำใดออกมาดี เด็กสาวคนนี้มีวาจาที่ครบกริบ ทิ่มแทงจนไม่เหลือชิ้นดี เมื่อใคร่ครวญถึงการแสดงออกและสถานการณ์ที่ขับเคี่ยวกัน ไม่คาดคิดว่านางจะยุติเรื่องเอาดื้อๆเช่นนี้?
ถ้อยคำถอดใจที่เหลียนฟางโจวกล่าวออกมาแจ่มแจ้งนั้น
ทำให้เหลียนลี่มีความรู้สึกคล้ายกับไม่ใช่เรื่องจริงอย่างประหลาด
“พวกเจ้าจะกลับไป แบบนั้นนี่นะ?”
เหลียนลี่อดถามออกมาไม่ได้
เหลียนฟางโจวส่งยิ้มบางพลางกล่าว
“ข้าจะไม่กลับไปแบบนั้น ข้าเชื่อคำพูดของท่านแม่ พวกท่านจะคืนข้าวเปลือกให้เราอย่างแน่นอน!”
“เฮอะ!” เหลียนลี่ยิ้มเยาะให้สวรรค์ จ้องเขม็งตามหลังขณะที่สองพี่น้องเดินออกไป
“ท่านพี่ นี่...ทำไมข้ารู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ!” ฮูหยินเฉียวพูดเสียงตะกุกตะกัก นางรู้สึกสงสัยขึ้นมาตะหงิดๆด้วย
“เจ้าคิดเช่นนั้นรึ?” เหลียนลี่หันหน้ามามองนางพลางเอ่ยถาม “แล้วที่เจ้าพูดมาว่าแปลกๆ มันเป็นอย่างไรเล่า?”
ฮูหยินเฉียวหยุดคิดสักครู่ พลันกล่าว
“ท่านขอข้าให้พูด
ทว่าข้าไม่อาจกล่าวออกมาได้ว่าข้ารู้สึกว่ามันแปลกอย่างไร! ท่านไม่เคยเห็นคราที่ฮูหยินเฒ่าสกุลหยางมายกเลิกการหมั้นหมาย เจ้าเด็กแสบนั่นมันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย พอมาครานี้
วันนี้ นางก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!”
“ฮึ่ม!” เหลียนลี่แค่นเสียงพลางกล่าวช้าๆ “นางไม่ได้พูดหรอกรึว่ามารดาที่ตายเป็นผีแล้วของนางจะมาหาเรา
? เช่นนั้นแล้ว
เรามาคอยดูกันต่อไปดีกว่า!”
ฮูเหยินเฉียวเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาพลางรีบกล่าวละล่ำละลักว่า
“ทะ ทะ ทะ ท่านพี่ ท่านกล่าวอะไรเหลงไหลเช่นนี้
ในเมื่อทุกอย่างก็ออกราบรื่นดี เหตุใดนางจะมาพบเรา! เราไม่ได้ทำร้ายนางซักหน่อย!”
“เจ้าช่างขี้กลัวอะไรอย่างนี้!” เหลียนลี่มองหน้านางนิ่งๆพลางเอ่ยออกมา
“ข้าไม่เชื่อหรอก!”
ใจของฮูหยินเฉียวตกไปที่ตาตุ่ม
รอยยิ้มนางแข็งค้าง ทว่าก็ไม่ได้กล่าวอันใดออกมา
“พี่ใหญ่” เมื่อออกมาจากบ้านเหลียนลี่ เหลียนเซ่อให้หัวเสียนักขณะที่เขาเดินตามหลังเหลียนฟางโจว เขาเอ่ยเสียงขึ้น
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าลุงกับป้าจะทำกับเราเยี่ยงนี้!
ตอนที่ท่านพ่อและท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่
เขามาที่บ้านเราบ่อยๆ
เพื่อมาเอานั่นเอานี่ไปเฉยๆ พวกเขากล่าวคำเหล่านั้นออกมาได้อย่างไร พวกเขาเป็นลุงและป้าของเราแท้ๆรึไม่?”
เหลียนฟางโจวหัวเราะเล็กน้อยพลางกล่าว
“เจ้ายังไม่เห็นอีกรึ? ต่อไปนี้ ไม่จำเป็นต้องอารมณ์เสียเพราะพวกเขาอีกแล้ว เพราะมันช่างไร้สาระนิ่งนัก!”
“ข้าไม่ได้...” ตัวเหลียนเซ่อเองก็ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกเขาออกมาอย่างใรในชั่วขณะนี้อีกด้วย เขาได้แต่เปิดปากและหุบปากลงไปใหม่พลางก้มหัวลง
“พี่ใหญ่ ท่านแม่เราไม่ได้มาเข้าฝันพี่จริงๆใช่ไหม?” เหลียนเซ่ออดถามออกมาไม่ได้ เขาถอนใจ “ถึงแม้เป็นเรื่องจริง แล้วอย่างไร ? ข้าได้บอกไปตั้งแต่ต้นแล้ว ว่าลุงและป้าไม่มีทางคืนข้าวเปลือกให้แก่เราหรอก! ทว่าพี่สาวไปไม่ต้องวิตกไป เราจะไม่อดตายแน่ เราแค่อยู่รอดให้ผ่านช่วงหน้าหนาวนี้ก็พอ คอยจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวปีหน้า ข้าจะคอยเฝ้ามองอย่างเข้มงวดไม่ปล่อยให้พวกเขาช่วยเราอีก”
“ครานี้เป็นเวลาใด ยังเหลืออีกหนึ่งปีกว่าจะถึงฤดูเก็บเกี่ยว!” เหลียนฟางโจวกรอกตาไปมา ทว่าเมื่อมองใบหน้าเศร้าหมองของน้องชาย หัวใจพลันอ่อนยวบ นางกล่าวเสียงนุ่มว่า “เอาล่ะ
ครานี้ เจ้าก็ทำใจให้สบายเถิด
ข้าวเปลือกหนึ่งพันกระสอบนี้
เราจะได้กลับคืนแน่นอน! ทว่าก่อนหน้านั้น เจ้าจำเป็นต้องตั้งใจฟังแผนการของข้าก่อน!”
เหลียนเซ่อมองหน้านางอย่างุนงง เหลียนฟางโจวหัวเราะเบาๆ นางนึกแผนการดีๆออกแล้ว
เช้าตรู่วันที่สอง หลี่ต้ามู่ได้จัดเตรียมเกวียนเทียมวัวแล้วไปเรียกเหลียนเซ่อ เขาต้องการร่วมเดินทางไปเหมืองหินกับเด็กหนุ่มเพื่อไปซื้อกระเบื้องและอิฐ
เหลียนฟางโจวประสงค์จะไปกับทั้งสองด้วย ช่วงนี้ชื่อเสียงของเธอย่ำแย่ เธอควรใช้โอกาสนี้ไปเปิดหูเปิดตา การไปชมเยี่ยมชมวิวทิวทัศน์ของขุนเขา ลักษณะภูมิประเทศ พื้นที่เพาะปลูกและสภาพของพืชผลการเกษตรถือเป็นความคิดที่ดี
หลี่ต้ามู่คิดสักครู่ พลันพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เหลียนฟางฉิงเห็นเช่นนี้ก็รบเร้าขอไปด้วยเพื่อไปเที่ยวเล่นบ้าง
ทว่า
เหลียนฟางโจวไม่อนุญาติ เธอบอกเหลียนเช่อและนางให้อยู่เฝ้าบ้าน เหลียนฟางฉิงทำง้ำท่าทางขัดใจชัดเจน
เหลียนฟางโจวเห็นใบหน้าที่เศร้าสร้อยน่าสงสารแทบจะทนมองไม่ได้ ดังนั้นนางจึงก้มตัวลงและดึงน้องน้อยเข้ามาใกล้ๆพลางกระซิบว่า
“เชื่อฟังและอยู่บ้านกับพี่สามนะ
รอจนพวกพี่กลับมาตอนเย็นก่อน แล้วพี่จะทอดไข่ให้พวกเจ้ากิน ดีไหมเอ่ย?”
สีหน้าของเลียนฟางฉิงพลันสดใสขึ้นทันใด
พลางแลบลิ้นเลียลิ้มฝีปากด้วยความอยากกิน โดยไม่รู้ตัว สักครู่นางสั่นหัวพลางกล่าวว่า “ไม่ได้ ไข่ต้องเก็บเอาไว้ขาย เช่นนั้นแล้วเราถึงจะซื้ออาหารได้”
หัวใจเหลียนฟางโจวพลันเหมือนมีหนามทิ่มแทงทั้งรู้สึกเศร้าสลด
นางกล่าวอย่างอ่อนโยน “เงินที่ไว้ซื้ออาหาร พี่สาวจะหาเอง
ไม่จำเป็นต้องขายไข่ไก่
จากนี้ไปไข่ไก่ของเรามีไว้ให้เจ้าและเหลียนเช่อกินเท่านั้น”
“จริงๆรึ?!” เหลียนฟางฉิงโพล่งออกมาด้วยความดีใจ รีบพยักหน้ารัวๆ นางกล่าวด้วยว่า “พี่ใหญ่และพี่รองก็กินด้วยนะ”
“ได้จ้ะ เราจะกินด้วยกัน” เหลียนฟางโจวยิ้ม
เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อนั่งบนเกวียนที่ลี่ต้ามู่ขับพาทั้งสามไปที่เหมืองหินช้าๆ
ทันทีที่พ้นหมู่บ้านต้าฟาง เหลียนฟางโจวได้สังเกตทัศนียภาพสองข้างทาง เธอเห็นว่าทั้งสองฟากถนนเป็นเนินเขาสลับซับซ้อน หรือไม่ก็ที่ราบที่โผล่กลางเนินเขา มีต้นไม้เขียวชอุ่มปกคลุม นางมองคร่าวๆและเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นต้นสนเฉว[1] สนซ้ง[2] สนชง[3] ต้นเฟิง(เมเปิ้ล)[4] ต้นจาง(การบูร)[5]
มีเนินที่ราบมากมาย หลายๆที่ได้รับการฟื้นฟูจากความแห้งแล้งด้วยการปลูกพืชผลตามฤดูกาล พื้นดินแห้งแตกระแหงและมองเห็นเป็นสีเหลือง สีเหลืองที่เห็นนั่นคือต้นอ่อนของมันเทศ[6]และเผือก[7]
และที่เห็นเป็นชิ้นๆ ซี่ๆจำนวนหนึ่ง
คือชั้นตากเต้าหู้ที่มีสภาพแตกหัก[8]
บริเวณที่มีแหล่งน้ำ
ถูกขุดเป็นร่องยาวให้เชื่อมทะลุสู่ทุ่งนา เวลานี้ใครได้มีโอกาสไป จะเห็นภาพท้องทุ่งทั้งหมดเต็มไปด้วยตอข้าว ที่ตอนนี้ทั้งแห้งและเหลืองไปทั้งสิ้น
เหลียนฟางโจวไม่จำเป็นต้องไปซักถามผู้ใด เธอย่อมเข้าใจได้ด้วยตนเอง
ขอบคุณครับ รอติดตามสนุกมากครับ
ตอบลบอยากอ่านต่อค่าาา เมื่อไหร่ท่านแม่ทัพจะมาเนี้ยยย
ตอบลบเป็นลุงป้าที่น่า...มาก
ตอบลบรอสองลุงป้าเจอเรื่องสนุกจากหลานสาวคนโต หึหึ
ตอบลบญาติแบบนี้หน้าตบ
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบเกลียดความโง่ เซ่อ ซื่อบื่อ โลกสวยผิดสถานการณ์ของเหลียนเซ่อ มีพรรคพวกโง่ ๆ ทึ่ม ๆ แบบนี้ เป็นภัย เป็นตัวถ่วง สร้างความเสียหายมากกว่า การต่อกรกับคนเลว คนเอาเปรียบแบบลุง ป้าคู่นี้ หรือพวกบ้านคู่หมั้นเก่าเสียอีก
ตอบลบ