วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 12 ไปซื้อกระเบื้องมุงหลังคา

                  เพื่อไปถึงเหมืองหิน   พวกเขาใช้เวลาเดินทางโดยเกวียนเมากกว่า ครึ่งชั่วยาม
                   เมื่อพวกเขาผ่านพ้นจากตัวหมู่บ้านเหมืองหิน   จึงบังคับเกวียนวนรอบทางแยกของถนน   หลังจากนั้นจึงเดินเท้าเข้าไปอีกชั่วหนึ่งก้านธูป  ทั้งหมดจึงเห็นทุ่งกว้างใหญ่ข้างหน้า   บนพื้นปกคลุมไปด้วยดินสีเหลืองอ่อน

                   บริเวณตรงกลางของลานกว้างนั้นราบเรียบ  ด้านหนึ่งเป็นทางเข้า  อีกด้านหนึ่งปรากฏกองอิฐกองใหญ่ที่ทำขึ้นอย่างบรรจง   อีกสองด้านที่เหลือมีทางเข้าเตาเผาเล็กๆและใหญ่ 7 แห่งซึ่งขุดเลียบไปกับภูเขา   ถัดจากทางเข้าเตาเผาคือกองดินเหนียวสีเหลือง  ตัวหล่ออิฐ  ฟืนเผา  ถัง  อ่าง  พลั่ว  รถเข็นเล็กๆ และวัสดุอื่นๆ  มีคนงานห้าถึงหกคนสวมเสื้อผ้าปะชุนสีน้ำตาลกำลังง่วนอยู่กับงาน
                   เมื่อเห็นพวกเขามาถึง  เจ้าของเหมือง   ซึ่งเป็นชาวหมู่บ้านนี้  ชื่อผู้เฒ่าซือ  ยิ้มแย้มต้อนรับ  พร้อมปล่อยแขนเสื้อลง  เดินเข้ามาทักทายคนทั้งสาม    “พี่ชายท่านนี้  มาที่นี่เพื่อซื้ออิฐหรือกระเบื้องล่ะ...อา?”
                   หลี่ต้ามู่พลันหัวเราะ  “เพื่อนบ้านข้าต้องการซ่อมแซมหลังคาบ้านและมาที่นี่เพื่อมาซื้อกระเบื้องมุงหลังคาโดยเฉพาะ”
                   “โอ  เชิญทางนี้เลย  เชิญ  เชิญ  เรามีดินเหนียวชั้นดี  เตาเผาก็ยอดเยี่ยมด้วย  เราผลิตกระเบื้องมุงหลังคาที่มีคุณภาพดีที่สุด   ทั้งแข็งแรงทนทาน  ซ้ำยังราคายุติธรรมด้วย!”  ผู้เฒ่าซือยิ้มแย้มและพาลูกค้าไปอีกด้านหนึ่ง   ณ บริเวณที่วางกองกระเบื้องทั้งหลาย
                   เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้มพลางพูดขึ้น “บ้านของเรามีห้องสามห้อง  ประมาณหนึ่งห้องครึ่งต้องการกระเบื้องใหม่  ข้าเกรงว่าอีกส่วนที่เหลือต้องการเปลี่ยนกระเบื้องแค่บางส่วน  รวมแล้วต้องการกระเบื้องมุงหลังคาใหม่ประมาณสองห้อง  บางทีคิดแล้วน่าจะเป็นพื้นที่รวมประมาณ  72 ตารางฉื่อ   ท่านพอจะช่วยคำนวณว่าเราต้องใช้กระเบื้องเท่าใดได้หรือไม่?”
                   หญิงสาวยิ้มอย่างขัดเขินขณะกล่าวต่อไป “พวกเราไม่ค่อยมีเงินมากนัก  ข้าเองก็อับอายที่ต้องขอเจรจาเรื่องราคา!  ท่านบอกข้าว่าราคายุติธรรมและของคุณภาพดี  เรามาที่นี่เพื่อขอให้ท่านช่วยเหลือเราด้วย!”
                   เหลียนฟางโจวพูดได้กระจ่างแจ้งนัก  ใช้คำที่คล่องแคล่วลื่นไหล  คล้ายกับน้ำไหลรื่นใสกระจ่างตอนกลางวัน  ทำให้ผู้เฒ่าซือได้ยินแล้วรู้สึกตกใจยิ่งนัก
                   ชายชราซืออดไม่ได้ที่จะหรี่ตาเปลือกตาลงครึ่งหนึ่งขณะมองเด็กสาวตรงหน้าเขา  เด็กสาววัย 14  ปีรูปร่างผอมบาง  นางสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบสีแดงเข้มปะการังที่สะอาด   มีใบหน้าหมดจดกระจ่างใส  ดวงตาดำคู่นั้นทั้งสว่างเป็นประกายและดูแน่วแน่   ริมฝีปากจิ้มลิ้มมีรอยยิ้มประดับอยู่บางเบาพร้อมกับผมซึ่งหวีแต่งในรูปทรงแบบเด็กสาวชนบทธรรมดาทั่วไป   นางดูเรียบร้อยไร้ที่ติ   ทั่วทั้งร่างเผยให้เห็นถึงจิตใจที่ไม่ยอมแพ้   ทำให้ผู้คนที่ได้พบนางเป็นครั้งแรกอดรู้สึกนิยมในใจไม่ได้
                   ผู้เฒ่าซืออดหัวเราะไม่ได้   เขาพิจารณาเหลียนฟางโจวและกล่าวคำดีๆออกมาสองสามคำ  พร้อมทั้งยกนิ้วให้   “เด็กสาวผู้นี้ฉลาดและมีไหวพริบปฏิภาณแท้จริง  โอ ข้าไม่รู้ว่าสกุลใดได้รับพรอันประเสริฐ   ถึงได้มีลูกสาวที่ดีเช่นนี้ !  ถึงตายก็นอนตายตาหลับ  ด้วยคำพูดของเจ้า  ชายแก่คนนี้ได้ยินแล้วรู้สึกสบายใจจริงๆ   ราคาที่ข้าให้เจ้าจะเป็นราคาที่ต่ำที่สุด  และข้าจะให้สินค้าคุณภาพดีที่สุดแก่เจ้าอีกด้วย!” 
                   “เช่นนั้นแล้ว ต้องขอบคุณนายท่าน ซือมากๆแล้ว!”  แม้แต่เหลียนฟางโจวก็หัวเราะออกมาขณะที่นางน้อมคำนับ
                   สำหรับเหลียนเซ่อ  เมื่อสองวันก่อนเขาเคยชินกับวิธีการพูดของเหลียนฟางโจวแล้ว  ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร  อย่างไรก็ตาม  ตัวหลี่ต้ามู่และผู้เฒ่าซือถึงกับตะลึงงัน
                   การแสดงออกของเหลียนฟางโจวครานี้พลิกความประทับใจในตัวนางในใจของเขา
                   หากไม่ใช่คนธรรมดาคนหนึ่ง  เช่นนั้นแล้ว...นางยังคงเป็นมนุษย์และเป็นบุคคลคนเดียวกับเมื่อก่อนใช่หรือไม่?   รูปร่างหน้าตาของนางไม่ได้เปลี่ยนไป  ทั้งนางยังมีเหลียนเซ่ออยู่ข้างกายอีกด้วย   เขาไม่มีทางสงสัยเลยว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้เป็นเหลียนฟางโจวตัวจริงหรือไม่?
                   หลี่ต้ามู่ลอบถอนใจ  ดูเหมือนว่าสกุลหยางนั้นซึ่งได้ยกเลิกการหมั้นหมายและลูกสะใภ้สกุลหัวได้สร้างเหตุการณ์   ที่มีผลกระทบต่อแรงจูงใจของเด็กสาวคนนี้อย่างแท้จริง
                   ผู้เฒ่าซือยิ้มและกล่าวขึ้นว่า “ยินดี ยินดี”  พลันอยู่ในอารมณ์หยอกเย้าทันทีทันใด  เขาหันหน้าไปหาเหลียนฟางโจวอีกครั้งพร้อมยิ้มให้  “สาวน้อย  อา กระเบื้องมุงหลังคาอันนี้ของข้าค่อนข้างใหญ่  หากเจ้าสามารถคำนวณจำนวนที่จำเป็นต้องใช้ได้  ข้าจะให้ส่วนลดให้เจ้าอีกสองในร้อยส่วน  ว่าอย่างไรเล่า?”
                   ดวงตาเหลียนฟางโจวเป็นประกายวาบ  ทว่ายังคงยิ้ม  “ข้าจะสามารถคำนวณได้ถูกต้องตรงเผงได้อย่างไร  อย่าได้ล้อข้าเล่นเลย”
                   ชายชราซือโบกมือและลูกเคราที่ไม่ยาวและไม่สั้นของตนพลางหัวเราะออกมา  “ข้าไม่ได้ล้อเล่น  แท้จริงแล้วข้าเอาจริงนะ!  ใครที่สามารถคำนวณได้นับว่าไม่เลวเลย  ตราบใดที่ส่วนต่างของที่คำนวณได้กับของจริงไม่ห่างมากเกินไป  เช่นนั้นแล้ว ข้าจะให้เจ้าชนะไปเลย!”
                   เมื่อเห็นความสนใจใคร่รู้ปรากฏในดวงตาของผู้เฒ่าซือ  เหลียนฟางโจวคิดอยู่สักครู่หนึ่ง    ครั้นแล้วจึงพยักหน้าอย่างสุภาพพร้อมหัวเราะคิกคัก “ถ้าเป็นกรณีนั้น  เช่นนั้นแล้วข้าขอลองสักตั้ง   และหากข้าคำนวณผิดไป ท่านลุง ท่านห้ามหัวเราะเยาะข้านะ!”
                   ผู้เฒ่าซือหัวเราะ  “ข้าจะไม่   ข้าจะไม่  เจ้าก็คำนวณให้เราตามความเข้าใจเจ้าเถิด”
                   บรรดาคนงานที่กำลังทำงานอยู่ได้ยินเรื่องนี้และเห็นเหลียนฟางโจวเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กคนหนึ่ง  นางสามารถคิดคำนวณได้จริงๆหรือ  พวกเขาอดอยากรู้ด้วยไม่ได้  ดังนั้นจึงหยุดงานในมือแล้วต่างมายืนมุงดูรอบๆเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ขณะที่กระซิบกระซาบให้กันอย่างเงียบๆ
                   เหลียนฟางโจวหยิบกระเบื้องมุงหลังคาขึ้นมาแผ่นหนึ่ง  ประมาณขนาดด้วยนิ้วมือขณะที่คำนวณกะประมาณความยาวและความกว้างของวัสดุกับพื้นที่ที่คำนวณไว้ก่อนแล้ว  พื้นดินที่ยืนอยู่มีดินสีเหลืองปกคลุมอยู่บางๆ   นางหยิบกิ่งไม้เล็กๆมาหนึ่งอัน   ครั้นแล้วจึงนั่งยองๆ  วาดรูปบนพื้น
                   เหล่าคนงานทั้งหมดไม่เคยเห็นตัวเลขอาราบิคมาก่อน เช่น ตัวเลข 1 2 3 4...  เมื่อเห็นนางยองๆบนพื้นกำลังคำนวณ  พวกเขาอดจะพึมพำออกมา ว่า “อู้ฮู?”  ไม่ได้  ราวกับเห็นสิ่งแปลกประหลาด  มีคนหนึ่งอดถามผู้เฒ่าซือไม่ได้ “นายท่านซือ  เด็กสาวตัวเล็กคนนั้นกำลังเขียนอันใด ขอรับ?”
                   “ที่นางเขียน  ข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน?”
                   “ข้าจะพูดว่า  สิ่งนี้เป็นคำๆหนึ่งหรือไม่?  เหตุใดข้ารู้สึกว่านี่มันคล้ายกับภาพเมฆห้าก้อนของตัวอักษรที่ถูกวาดขึ้นของนายท่านจางนัก  อา!”
                   ทุกๆคนได้ยินเช่นนี้  อดเริ่มหัวเราะออกมาไม่ได้
                   เหลียนเซ่อเห็นพวกเขาหัวเราะเหลียนฟางโจว   จึงอดรู้สึกหน้าแดงไม่ได้  “เนื่องจากพี่สาวข้ากล้าลอง  เช่นนั้นแล้วมันจะต้องใช้การได้แน่  พวกเจ้าหัวเราะอันใดกันมีอันใดตลกนักรึ!” 
                   ทุกๆคนได้ยินเช่นนี้   จึงหัวเราะดังมากขึ้นไปอีกขณะที่หัวเราะพวกเขาก็เย้าแหย่เหลียนเซ่อไปด้วย
                   ผู้เฒ่าซือกระแอมสองครั้ง  จึงทำให้พวกเขาหยุดหัวเราะลง
                   เหลียนฟางโจวยิ้ม  ไม่แก้ตัวและไม่รู้สึกอับอายอะไร  ทว่าคล้ายกับกระแสน้ำที่ไหลคล่อง  นางยังคงคิดคำนวณต่อไป
                   ความจริงแล้ว  นี่เป็นการคำนวณโดยใช้คณิตศาสตร์ที่ง่ายๆ  นางเพียงแค่เขียนประโยคสัญลักษณ์สองถึงสามประโยค  นางเสร็จสิ้นการคำนวณแล้วพลางยิ้มขณะที่รายงานจตัวเลขผลลัพธ์   ในเวลาเดียวกับที่นางลุกขึ้นยืน  นางได้ใช้เท้าลบจำนวนตัวเลขบนพื้นอย่างสบายๆ
                   “เร็วอะไรอย่างนี้”  ผู้เฒ่าซืออึ้ง  ทุกๆคนตกตะลึง
                   เป็นการคำนวณที่ไม่ใช้ลูกคิดและแถมยังเร็วมากอีกด้วย  นี่มันน่าตกใจจริงๆ!
                   “นายท่าน  ถูกหรือไม่ ถูกหรือไม่?” ทุกๆคนต่างคุยกันไปมา  แทบจะอดทนไม่ได้
                   ผู้เฒ่าซือจ้องมอง  ถูกหรือไม่ถูก  แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไร?   เขาก็จำเป็นต้องคิดคำนวณด้วยเหมือนกันถึงจะรู้!
                   โดยไม่ต้องให้เขาสั่ง  คนงานคนหนึ่งรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อนำลูกคิดมายื่นให้เขาด้วยสองมือ  สายตานับไม่ถ้วนต่างจับจ้องที่ตัวชายชรา
                   “พี่ใหญ่  ท่านคำนวณได้ถูกต้องหรือไม่ อา?”  เหลียนเซ่ออดกระซิบถามเหลียนฟางโจวไม่ได้  หลี่ต้ามู่ก็กังวลด้วยและรีบตรวจสอบอย่างรวดเร็ว
                   เหลียนฟางโจวไม่ได้เหลือบไปมองนายท่านซือด้วยกิริยาปกติ   ชายชรากำลังดีดลูกคิดราวกับติดปีกบิน  นางยิ้มพลางกล่าวว่า “คอยจนกว่านายท่านซือคำนวณเสร็จแล้วเราจะได้รู้กัน”
                   ท่าทางสบายๆและรอยยิ้มสงบสุขทำให้เหลียนเซ่อผู้กระสับกระส่ายผ่อนคลายลงทันใด  เหลียนเซ่อจึงพูดโพล่งออกมา “ข้าเชื่อว่าพี่สาวข้าต้องคิดได้ถูกต้อง”
                   “โอ?” เหลียนฟาโจวหัวเราะออกมา “เพราะเหตุใด?” 
                   เหลียนเซ่อกล่าวอย่างดื้อดึง  “ข้าไม่รู้  ถึงอย่างไร ข้าเชื่อในตัวพี่สาวข้า”
                   เหลียนฟางโจวพยักหน้าอย่างพอใจพลางยิ้มออกมา “น้องชายที่แสนดี”
                   “น่าตื่นตะลึง   น่าตื่นตะลึงจริงๆ!”  ผู้เฒ่าซือมองตัวเลขในลูกคิด   ที่ทำเขาตกใจจนพูดไม่ออก
                   “ถูกเผงเลย!”
                   “ไม่น่าเชื่อถูกต้อง!”
                   บรรดาคนงานทั้งหมดต่างรู้สึกทึ่งไปด้วย
                   ใจของหลี่ต้ามู่และเหลียนเซ่อตกลงไปที่ตาตุ่ม  ทั้งสองมองหน้าซึ่งกันและกัน  จากนั้นจึงหัวเราะให้กัน  ทั้งสองต่างมีความสุขเพราะเหลียนฟางโจว
                   ใครบางคนอดพูดขึ้นมาไม่ได้ “นายท่าน ท่านลองคำนวณดูอีกทีดีหรือไม่ขอรับ?”
                   ผู้เฒ่าซือผลักหัวคนผู้นั้น  ตาของเขาจ้องเขม็ง  “อยากตายนักรึ   มีอันใด? เจ้าสงสัยว่าข้าคำนวณผิดรึ!”
                   “ปะ..ปะเปล่า..ขอรับ”  ใบหน้าชายผู้นั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงและรีบปฏิเสธลำล่ำละลัก  ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมา
                   “พวกเจ้าหัวเราะอะไรกันมีอะไรให้หัวเราะกัน! ยังไม่รีบไปทำงานกันอีก! “  ผู้เฒ่าซือจ้องหน้าทุกคน
                   ทุกคนตอบรับ แต่อดมองหน้าเหลียนฟางโจวอีกสองสามทีไม่ได้   จากนั้นจึงออกไปพร้อมกับกระซิบกระซาบกัน
                   “นายท่านซือ  ท่านกล่าวว่ายังคำนวณอันใดอยู่?”  หลี่ต้ามู่หัวเราะ
                   “แน่นอน!  แน่นอน!  คำนวณอยู่“  ผู้เฒ่าซือพยักหน้าง่ายๆ  ตรงไปยังเหลียนฟางโจวพร้อมยกนิ้วให้ “แม่นางเหลียนเป็นเด็กสาวที่ฉลาดล้ำเลิศที่สุดจริงๆที่ข้าได้เคยเห็นมา  ทว่า แม่นางเหลียน  ครานี้แค่เพียงวาดอะไรบนพื้น  สิ่งเหล่านั้นคืออันใด?” 

1 ฉื่อ  เท่ากับ 10 นิ้ว

20 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณนะคะ จะรอติดตามอ่านต่อไปค่ะ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณค่ะ จะได้อ่านต่อแล้ว ดีใจจัง

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณค่ะ จะได้อ่านต่อแล้ว ดีใจจัง

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณครับ จะรอตอนต่อไปนะครับ

    ตอบลบ
  5. ขอบคุณครับ จะติดตามผลงานเรื่อยๆ เรื่องนี้สนุกมาก

    ตอบลบ
  6. ขอบคุณค่ะอย่าหายอย่าทิ้งคนอ่านนะคะรออยู่เสมอ

    ตอบลบ
  7. ขอบคุณค่ะ อยากเห็นแม่ทัพไถนาแล้วง่ะ (รีดส์ใจร้อน)

    ตอบลบ
  8. ขอบคุณค่ะ รอติดตามตอนต่อไปนะคะ สนุกมากๆๆๆ

    ตอบลบ
  9. ขอบคุณค่ะ...รอตอนต่อไปนะค่ะ

    ตอบลบ
  10. ขอบคุณครับ ติดตามตอนต่อไปครับ

    ตอบลบ
  11. ขอบคุณครับ ติดตามตอนต่อไปครับ

    ตอบลบ
  12. เจอคนใจดีบ้างงง

    ตอบลบ
  13. ฮิฮิได้ส่วนลดเพิ่มแล้วววว

    ตอบลบ