ในตอนกลางคืน สายลมพัดแรง เต็มไปด้วยฝุ่นคละคลุ้ง หมอกลงจัดหนาทึบ นับเป็นโอกาสเหมาะยิ่งที่จะทำการหลบหนี
มู่หรงหยุนชูมองจากหน้าต่างลงมา เห็นแล้วน่ากระโดดลงไปนัก ทว่าเนื่องจากนางไม่รู้วรยุทธ์ กระโดดลงมาเช่นนี้ หากไม่ตาย
ก็คงกลายเป็นคนพิการแน่
ทันใดนั้นมู่หรงหยุนชูนึกถึงฉู่ฉางเกอในวันที่เขาหยอกเย้านางในป่าดอกท้อขึ้นมา
เขากล่าวว่า ‘คนที่ไม่มีวรยุทธ์ ก็ควรบินให้ได้อย่างนก’
มู่หรงหยุนชูคิดว่าคำกล่าวเหล่านี้ควรจะเปลี่ยนเป็นว่า
‘คนที่ไม่รู้วรยุทธ์
ควรทำให้ได้อย่างแมวมากกว่า
แมวมีเก้าชีวิต สามารถกระโดดจากหน้าต่าง ร่อนลงพื้นได้อย่างปลอดภัย ทั้งยังกระดูกไม่หักอีกด้วย’
มู่หรงหยุนชูหัวเราะเบาๆ ปิดหน้าต่าง เพื่อเตรียมตัวเข้านอน เมื่อนางหันมองไปรอบๆ พลันเห็นบุรุษในชุดดำสวมหน้ากากดูน่าทึ่ง ในมือถือดาบยาวโง้งยืนอยู่
แทบจะทำให้นางกระโดดด้วยความตกใจ
บุรุษชุดดำที่เยือกเย็นมาเยี่ยมเยียนนาง ดาบยาวในมือเคลื่อนตัวเล็กน้อย ดูเหมือนกำลังเล็งดูว่า เขาจะฟันแขน
หรือขาของนางก่อนดี
“ท่านผู้เยี่ยมยุทธเข้าผิดห้องหรือเปล่า?”
มู่หรงหยุนชูถือโอกาสใช้ปากนางเจรจาก่อนคนชุดดำจะใช้ดาบเพื่อทำให้นางเงียบ
“เจ้าคือมู่หรงหยุนชูใช่หรือไม่?” เขาถามด้วยน้ำเสียงคุ้นๆที่เย็นชา
“ไม่ใช่”
มู่หรงหยุนชูตอบอึกอักเล็กน้อย เพราะว่านางยังไม่พร้อมจะกลายเป็นศพตอนนี้
“เป็นเจ้าแน่...ข้าเคยเห็นรูปวาดเจ้า” เขาย้ำอย่างมั่นใจมาก
รู้จักข้าแล้วยังจะถามไปทำไม? มู่หรงหยุนชูหัวเราะทั้งๆที่พยายามจะไม่หัวเราะ “เจ้าน่าจะเคยเห็น รูปวาดมากมายส่วนใหญ่ผิดเพี้ยนไปจากของจริง”
“เช่นนั้น
แล้วเจ้าเป็นผู้ใด?” เพราะความมั่นใจของนางที่แสดงออกทำให้คนในชุดดำลังเลขึ้นมา
“หากเจ้าต้องการสังหารใครเพื่อความบันเทิงใจ เหตุใดเจ้าต้องการทราบว่าข้าคือผู้ใด?” มู่หรงหยุนชูจัดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้านี้ด้วยกำลังสติปัญญาทั้งหมดของนาง
“ข้าจะสังหารเพียงมู่หรงหยุนชูเท่านั้น”
“เช่นนั้นแล้ว
เจ้าควรออกไปซะ”
ชายชุดดำจ้องมองนางอย่างลังเลอยู่ชั่วขณะ ทันใดนั้นดาบได้จ่อเข้ามาใกล้
มู่หรงหยุนชูสะดุ้งเฮือก
เบี่ยงตัวอย่างรวดเร็ว มองดาบจ่อคอหอยของนางอย่างอดไม่ได้
คมดาบกับเส้นเลือดที่คอของนาง ห่างกันไปถึงครึ่งนิ้ว นางรับรู้ได้ถึงความเย็นจากคมดาบที่ส่งออกมา
ความรักชีวิตพลันถูกกระตุ้นขึ้นมาจากเบื้องลึก มู่หรงหยุนชูพยายามอย่างหนักที่จะบังคับเสียงตนเองไม่ให้สั่น
“ก่อนที่ข้าจะตาย ช่วยบอกข้าได้ไหมว่าเพราะเหตุใดถึงต้องการเอาชีวิตข้า?”
ชายชุดดำเงียบ ทว่าสีหน้าของเขาบอกนางไปหมดแล้ว เขายอมรับโดยปริยาย เพราะฉะนั้นนางจึงถามเขาด้วยว่า
“ผู้ใดส่งเจ้ามาสังหารข้า? ข้าไม่มีศัตรูที่มีเหตุให้ต้องสังหารข้านี่”
“ท่านอ๋องเหลียง”
ในชีวิตของมู่หรงหยุนชู ไม่เคยพานพบอ๋องเหลียงมาก่อน หรือไปเหยียบที่จวนซูฉวนของท่านอ๋องเลยซักครั้ง
แล้วนางกลับกลายมาเป็นศัตรูของเขาได้อย่างไร?”
ในขณะที่นางกำลังขบคิดอยู่นั้น ทันใดนั้นปรากฏชายชุดดำอีกคนหนึ่งโผล่เข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หากไม่เพราะมีผู้มาเยือนที่ไม่คาดคิด มู่หรงหยุนชูคงคิดว่าคงเพราะนางเวียนศีรษะจึงทำให้เห็นภาพซ้อนเป็นแน่ แม้ว่าห้องนี้จะไม่ใช่ป้อมปราการที่เจาะเข้ามายาก ทว่าฝาผนังทั้งสี่ด้านดูคล้ายกำแพงอันมิดชิด หน้าต่างและประตูก็ปิดอย่างแน่นหนา เช่นนั้นแล้วพวกเขาเข้ามาได้อย่างไรกัน?
ในขณะเดียวกันชายชุดดำคนแรกเพิ่งจะตระหนักถึงความผิดปกติจึงหันมามอง ขณะที่ชายคนที่สองเห็นได้ชัดว่าไม่ได้คาดคิดว่าจะมีคนที่แต่งกายเหมือนกันเข้ามาแย่งเป้าหมายของตน เขาชะงักไปชั่วครู่ มู่หรงหยุนชูจึงใช้ข้อได้เปรียบจุดนี้มาเบี่ยงเบนความสนใจ
“เจ้ากำลังคอยอะไรอยู่เล่า? ฆ่าเขาซะ!” มู่หรงหยุนชูตะโกนเสียงดัง น้ำเสียงเข้มเฉียบขาดราวกับเป็นเจ้านายตัวจริงมาก
นักฆ่าสองคนสะดุ้งตกใจเสียงตะโกนของนาง หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาต่างก็เข้าประดาบกัน แน่นอน...หากไม่ใช่คนเดินผ่านมา ก็ต้องเป็นศัตรู ข้าฆ่าเจ้า
เจ้าฆ่าข้า ฝ่ายใดลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ ฝ่ายลงมือที่หลังย่อมพบความหายนะ
ลู่จีสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงตะโกนที่ดังออกมาจากประตูห้องข้างๆ นางเดินละเมอเปิดประตูเข้ามาอย่างสะลึมสะลือ พลางขยี้ตาพูดด้วยเสียงไม่ชัดว่า “คุณหนู
ข้าได้ยินเสียงคนต่อสู้กัน”
นักฆ่าสองคนหยุดต่อสู้ทันที พวกเขาสังเกตเห็นว่าหน้าต่างเปิดอยู่ จึงได้พบว่ามู่หรงหยุนชูได้หนีไปแล้ว พวกเขาจึงรีบกระโดดออกทางหน้าต่างทันทีเพื่อไล่ตามหญิงสาว
ลู่จีหาวออกมา เปิดตาดูในห้อง เต็มไปด้วยความสับสน เพราะครานี้ไม่มีแม้เงาของใครสักคน แล้วคุณหนูของนางเล่า?
**
มู่หรงหยุนชูไม่ได้ตายหรือกระดูกหัก เพราะว่าดันมีคนโชคร้ายเดินอยู่ใต้หน้าต่างพอดี เขาคนนั้นจึงได้กลายเป็นเบาะรองให้นางตอนนางโดดลงมา
“ขอบคุณนะ” มู่หรงหยุนชูกล่าวละล้าละลังเล็กน้อย นางไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นนอกจากเปิดแน่บ
มู่หรงหยุนชูไม่คุ้นเคยกับถนนในเมืองหลวงนัก
นางวิ่งไปจนกระทั่งเห็นศาลเจ้าทิ้งร้างแห่งหนึ่ง
ภายในศาลเจ้า ในที่สุดมู่หรงหยุนชูรู้สึกว่ากล้ามเนื้อขาปวดร้าว
เมื่อครู่ที่วิ่งหนีมานางไม่ได้คิดถึงความเจ็บปวดเลย
แม้แต่น้อย
มนุษย์ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดจริงๆ จู่ๆก็สามารถแข็งแกร่งขึ้นมาได้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
มู่หรงหยุนชูยิ้มแปลกๆให้ตนเอง
นวดข้อเท้าตนเองเบาๆ และเริ่มสังเกตรอบๆตัว จึงพบว่าที่นี่เป็นศาลเจ้าที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่เกินไปนัก
มีพระพุทธรูปที่เต็มไปด้วยใยแมงมุมเกาะ ทั้งยังปกคลุมด้วยฝุ่นหนาเตอะ ตรงหน้าพระพุทธรูป มีกระถางธูป และเทียนสองเล่ม ทั้งหมดมีฝุ่นเกาะเต็มเหมือนกัน
ทันใดนั้นด้านนอกมีเสียงฝีเท้าคนเดินมา ทำให้มู่หรงหยุนชูตื่นตัวขึ้น นางเดินกระเผลกไปซ่อนอยู่หลังพระพุทธรูปด้วยความรวดเร็ว
“นี่ฉิง อย่าได้เหน็บแนมข้านะ” เฟิ่งหลิงกล่าว
“ไม่ใช่ความผิดของข้าที่เราจำเป็นต้องหยุดพักที่นี่หนึ่งคืน เพราะไม่มีโรงเตี๊ยมเปิดบริการในครานี้ นอกจากนี้ยามกลางคืนประตูวังก็ปิดอยู่”
มู่หรงหยุนชูในที่สุดก็คลายความระวังตัว ช่างโชคดีที่เป็นเฟิ่งหลิงแทนที่จะเป็นมือสังหาร
“ข้าสามารถได้รับอนุญาตเข้าวังเพื่อรายงานข่าวด่วนแก่ฮ่องเต้ได้”
“ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบเข้าไปในวังจนทำให้ตัวเราเองเหน็ดเหนื่อยหมดแรงหรอก”
“หากเราถูกคนของอ๋องเหลียงจับตัวได้ เจ้าจะได้กลายเป็นศพแทน”
ทันทีที่มู่หรงหยุนชูได้ยินคำว่า อ๋องเหลียง พลันนางหูผึ่งทันใด
“ใครอยากจะสังหารข้ากัน?” เฟิ่งหลิงถามขึ้น
“เจ้าไม่ได้พูดรึว่าวรยุทธ์ของฉู่ฉางเกอจอมยุทธ์สูงส่งเกินมนุษย์? เจ้าฆ่าคู่หมั้นเขา จะเป็นใครล่ะถ้าไม่ใช่เขาที่อยากสังหารเจ้า”
คู่หมั้นฉู่ฉางเกอ? ไม่ใช่นางหรอกรึ! มู่หรงหยุนชูรู้สึกงุนงงเล็กน้อย เฟิ่งหลิงจะเป็นสาเหตุให้นางตายได้อย่างไร?
“นี่ฉิง ท่านอย่าพูดมั่วซั่วสิ ข้าไปสังหารพี่มู่หรงตั้งแต่เมื่อใด? หากพี่ฉู่เข้าใจข้าผิดขึ้นมา ข้าก็ม่องเท่งนะสิ”
“เจ้ามันตัวยื้อเลย ทำให้ข้ากลับเข้าวัง เพื่อทูลขอให้ฮ่องเต้ส่งคนมาปกป้องนางล่าช้า หากนางถูกสังหาร ไม่มีใครหรอกนอกจากเจ้าที่จะโดนประณาม”
มู่หรงหยุนชูประหลาดใจอย่างใหญ่หลวง นี่ฉิงรู้ว่าอ๋องเหลียงจะส่งมือสังหารมาปลิดชีพนางด้วย?
“ดีมาก หากพี่ฉู่อยากสังหารข้า เจ้าจะช่วยชีวิตข้าไหม?”
“ไม่ช่วย”
“นี่ฉิง.!”
“หากมู่หรงหยุนชูตายเพราะเจ้า ข้าก็อยากให้เจ้าตายด้วย”
“ท่าน ท่าน นี่...ท่านรักพี่มู่หรงใช่ไหม?”
“เจ้านี่ พูดจาเหลวไหลใหญ่แล้ว”
“ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล! หากท่านไม่ได้ชอบนาง แล้วท่านจะสังหารข้าเพื่อนางทำไม?”
มู่หรงหยุนชูตัวสั่นสะท้าน นางยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครจำเป็นต้องแก้แค้นให้กับการตายของนาง
“ข้าจะฆ่าเจ้าในฐานะตัวแทนของประชาชนที่ยากจน หากมู่หรงหยุนชูถูกสังหาร สำนักแลกเงินไฮ่เฟิ่งเฉียนที่ควบคุมความมั่นคั่งของแคว้นเกือบจะทั้งหมด จะตกอยู่ในกำมือของอ๋องเหลียง”
“อ๋องเหลียงคือพระอนุชาของฮ่องเต้ หากสำนักแลกเงินนั้นตกในกำมือเขา มิเท่ากับตกในกำมือของราชสำนักหรอกรึ แล้วท่านจะมาโกรธข้าทำไม?”
“ลืมมันซะเถิด เจ้าไม่มีทางเข้าใจหรอก”
มู่หรงหยุนชูเข้าใจความนัยของนี่ฉิง เป็นเพราะอ๋องเหลียงต้องการก่อกบฏ อย่างไรก็ตามนางก็ยังไม่กระจ่างแจ้งนัก เหตุใดสำนักแลกเงินไฮ่เฟิ่งเฉียนจะเป็นของอ๋องเหลียงได้หากนางสิ้นชีพขึ้นมา? แม้ว่านางไม่มีทายาทสืบทอดกิจการ
นางยังคงมีคู่หมั้นที่ควรยึดกิจการและส่งมอบให้ราชสำนักอีกครั้งอย่างเลวร้ายแน่นอน ราชสำนักจะได้เพียงเปลือกที่มีแต่หนี้ท่วม เงินทั้งหมดของสำนักแลกเงิน ครึ่งหนึ่งถูกนางดึงออกมาหมดแล้ว ส่วนครึ่งที่เหลือนั้นบิดานางได้ซ่อนไว้ที่สำนักดาบหมิงเจี้ยน
ไม่คาดว่า ทันใดนั้นมู่หรงหยุนชูก็กระจ่างแจ้งโดยพลัน ที่แท้สำนักหมิงเจี้ยนสมคบคิดกับอ๋องเหลียงไปก่อนหน้าแล้ว สาเหตุที่อ๋องเหลียงต้องการสังหารนาง เพราะต้องการกำจัดราชสำนักด้วยเหตุการล่มสลายทางเศรษฐกิจเพราะการตายของนาง
เพียงแต่น่าเสียดายนักที่เขาประเมินโชคของนางต่ำไป ประเมินกำลังของสำนักแลกเงินไฮ่เฟิ่งเฉียงต่ำไปด้วย
บิดานางได้ซ่อนเงินห้าสิบล้านตำลึงไว้ที่สำนักดาบหมิงเจี้ยน แท้จริงแล้วสำนักแลกเงินมีเพียงแค่เศษเงิน ความมั่งคั่งอยู่นอกสำนักแลกเงิน ช่างน่าหัวเราะ
ที่สำนักดาบหมิงเจี้ยนคงไม่คาดคิดว่า ท่านพ่อของนางซ่อนเงินไว้ใต้จมูกพวกคนทรยศนั่นเอง
ช่างเป็นขบวนการที่น่าดูถูกยิ่งนัก! มู่หรงหยุนชูยิ้มเยาะออกมา
“ใครอยู่ตรงนั้น?!” นี่ฉิงถามเสียงดัง
“ไม่คาดคิดเลยว่าท่านเจ้าหน้าที่นี่ฉิง ช่างหูไวตาไวยิ่งนัก “ มู่หรงหยุชูเดินออกมาจากที่ซ่อนหลังพระพุทธรูป “
“มู่หรงหยุนชู!” เฟิ่งหลิงร้องออกมาอย่างทึ่งปนตกใจ
“เจ้ายังมีชีวิตอยู่รึ?” เมื่อเห็นคนที่ควรตกอยู่ในอันตราย ไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้ตาย
นี่ฉิงหน้าซีดทันที
มู่หรงหยุนชูไม่สนใจหน้าตาที่เหมือนคนใกล้ตายของเขา พลางพูดเสียงเบาว่า
“ข้าได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว”
“ไปบ้านข้าก่อนแล้วข้าจะพาเจ้าเข้าวังตอนเช้าตรู่อีกครั้ง”
มู่หรงหยุนชูสั่นหัว
พูดขึ้นว่า “ข้าต้องไปหอคณิกา”
“ข้าจะไปกับท่าน” เฟิ่งหลิงกล่าวอย่างตื่นเต้น
นี่ฉิงรู้สึกเหมือนเป็นลางร้ายราวกับมีอีกาดำบินผ่านหัวเขา
สีหน้าเหมือนได้กลิ่นเหม็นสุดๆ และไม่สนใจเฟิ่งหลิงว่าจะรู้สึกอย่างไร หันหน้าไปถามมู่หรงหยุนชูว่า “ท่านจะไปทำอะไรที่หอคณิกา?”
“ไปนอน”
“คอยหลังเจ้าตายก่อน
แล้วเจ้าจะได้พักยาวในนรกตลอดกาล”
“ที่นรกมีหอคณิกาด้วยรึ?”
“แท้จริงแล้วเจ้าต้องการไปทำอันใดที่หอคณิกา?”
ก็ไปด้วยกันประเดี๋ยวก็รู้เอง? มู่หรงหยุนชูเงยหน้าขึ้นพลางกล่าวว่า “ช่วยนำทางข้าไปหอคณิกาไป่หัวให้ข้าหน่อย” ก็นางไม่รู้ทางกลับนี่
เขาได้พูดไปแล้วรึว่าจะไปกับนาง? ก่อนหน้านี่ฉิงคิดว่าคิดว่านางเป็นคนประหลาด ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าคนประหลาดนั้นน่าจะเป็นพวกเขาเองมากกว่า เพราะสีหน้ามู่หรงหยุนชูนั้นดูสงบและเป็นธรรมชาติยิ่งนัก
นางดูมึนๆ
ตอบลบขอบคุณค่ะ...สนุกมากรอตอนต่อไปนะ
ตอบลบขอบคุณค่ะ
ตอบลบขอบคุณค่ะ
ตอบลบแอบอ่านมาหลายตอนแล้วสนุกค่ะ ขอบคุณค่ะ
ตอบลบ