วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ภรรยาข้าผู้ร้ายกาจเจ้าเล่ห์ -บทที่ 15 ชีวิตไ่ม่ควรดับสูญ

             ในตอนกลางคืน  สายลมพัดแรง เต็มไปด้วยฝุ่นคละคลุ้ง หมอกลงจัดหนาทึบ   นับเป็นโอกาสเหมาะยิ่งที่จะทำการหลบหนี
            มู่หรงหยุนชูมองจากหน้าต่างลงมา   เห็นแล้วน่ากระโดดลงไปนัก   ทว่าเนื่องจากนางไม่รู้วรยุทธ์  กระโดดลงมาเช่นนี้  หากไม่ตาย  ก็คงกลายเป็นคนพิการแน่

            ทันใดนั้นมู่หรงหยุนชูนึกถึงฉู่ฉางเกอในวันที่เขาหยอกเย้านางในป่าดอกท้อขึ้นมา   เขากล่าวว่า คนที่ไม่มีวรยุทธ์   ก็ควรบินให้ได้อย่างนก
            มู่หรงหยุนชูคิดว่าคำกล่าวเหล่านี้ควรจะเปลี่ยนเป็นว่า  คนที่ไม่รู้วรยุทธ์ ควรทำให้ได้อย่างแมวมากกว่า  แมวมีเก้าชีวิต  สามารถกระโดดจากหน้าต่าง  ร่อนลงพื้นได้อย่างปลอดภัย  ทั้งยังกระดูกไม่หักอีกด้วย
            มู่หรงหยุนชูหัวเราะเบาๆ  ปิดหน้าต่าง  เพื่อเตรียมตัวเข้านอน   เมื่อนางหันมองไปรอบๆ   พลันเห็นบุรุษในชุดดำสวมหน้ากากดูน่าทึ่ง   ในมือถือดาบยาวโง้งยืนอยู่   แทบจะทำให้นางกระโดดด้วยความตกใจ
            บุรุษชุดดำที่เยือกเย็นมาเยี่ยมเยียนนาง  ดาบยาวในมือเคลื่อนตัวเล็กน้อย  ดูเหมือนกำลังเล็งดูว่า เขาจะฟันแขน หรือขาของนางก่อนดี
            “ท่านผู้เยี่ยมยุทธเข้าผิดห้องหรือเปล่า?”
            มู่หรงหยุนชูถือโอกาสใช้ปากนางเจรจาก่อนคนชุดดำจะใช้ดาบเพื่อทำให้นางเงียบ
            “เจ้าคือมู่หรงหยุนชูใช่หรือไม่?”  เขาถามด้วยน้ำเสียงคุ้นๆที่เย็นชา
             “ไม่ใช่”  มู่หรงหยุนชูตอบอึกอักเล็กน้อย  เพราะว่านางยังไม่พร้อมจะกลายเป็นศพตอนนี้
            “เป็นเจ้าแน่...ข้าเคยเห็นรูปวาดเจ้า”  เขาย้ำอย่างมั่นใจมาก
            รู้จักข้าแล้วยังจะถามไปทำไมมู่หรงหยุนชูหัวเราะทั้งๆที่พยายามจะไม่หัวเราะ  “เจ้าน่าจะเคยเห็น   รูปวาดมากมายส่วนใหญ่ผิดเพี้ยนไปจากของจริง”
            “เช่นนั้น แล้วเจ้าเป็นผู้ใด?”  เพราะความมั่นใจของนางที่แสดงออกทำให้คนในชุดดำลังเลขึ้นมา
            “หากเจ้าต้องการสังหารใครเพื่อความบันเทิงใจ  เหตุใดเจ้าต้องการทราบว่าข้าคือผู้ใด?”  มู่หรงหยุนชูจัดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้านี้ด้วยกำลังสติปัญญาทั้งหมดของนาง
            “ข้าจะสังหารเพียงมู่หรงหยุนชูเท่านั้น”
            “เช่นนั้นแล้ว เจ้าควรออกไปซะ”
            ชายชุดดำจ้องมองนางอย่างลังเลอยู่ชั่วขณะ   ทันใดนั้นดาบได้จ่อเข้ามาใกล้
            มู่หรงหยุนชูสะดุ้งเฮือก เบี่ยงตัวอย่างรวดเร็ว  มองดาบจ่อคอหอยของนางอย่างอดไม่ได้   คมดาบกับเส้นเลือดที่คอของนาง  ห่างกันไปถึงครึ่งนิ้ว  นางรับรู้ได้ถึงความเย็นจากคมดาบที่ส่งออกมา
ความรักชีวิตพลันถูกกระตุ้นขึ้นมาจากเบื้องลึก  มู่หรงหยุนชูพยายามอย่างหนักที่จะบังคับเสียงตนเองไม่ให้สั่น
            “ก่อนที่ข้าจะตาย  ช่วยบอกข้าได้ไหมว่าเพราะเหตุใดถึงต้องการเอาชีวิตข้า?”
            ชายชุดดำเงียบ  ทว่าสีหน้าของเขาบอกนางไปหมดแล้ว   เขายอมรับโดยปริยาย   เพราะฉะนั้นนางจึงถามเขาด้วยว่า
            “ผู้ใดส่งเจ้ามาสังหารข้า?   ข้าไม่มีศัตรูที่มีเหตุให้ต้องสังหารข้านี่”
            “ท่านอ๋องเหลียง” 
            ในชีวิตของมู่หรงหยุนชู  ไม่เคยพานพบอ๋องเหลียงมาก่อน หรือไปเหยียบที่จวนซูฉวนของท่านอ๋องเลยซักครั้ง   แล้วนางกลับกลายมาเป็นศัตรูของเขาได้อย่างไร?”
            ในขณะที่นางกำลังขบคิดอยู่นั้น  ทันใดนั้นปรากฏชายชุดดำอีกคนหนึ่งโผล่เข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  หากไม่เพราะมีผู้มาเยือนที่ไม่คาดคิด   มู่หรงหยุนชูคงคิดว่าคงเพราะนางเวียนศีรษะจึงทำให้เห็นภาพซ้อนเป็นแน่    แม้ว่าห้องนี้จะไม่ใช่ป้อมปราการที่เจาะเข้ามายาก   ทว่าฝาผนังทั้งสี่ด้านดูคล้ายกำแพงอันมิดชิด  หน้าต่างและประตูก็ปิดอย่างแน่นหนา  เช่นนั้นแล้วพวกเขาเข้ามาได้อย่างไรกัน?
            ในขณะเดียวกันชายชุดดำคนแรกเพิ่งจะตระหนักถึงความผิดปกติจึงหันมามอง  ขณะที่ชายคนที่สองเห็นได้ชัดว่าไม่ได้คาดคิดว่าจะมีคนที่แต่งกายเหมือนกันเข้ามาแย่งเป้าหมายของตน   เขาชะงักไปชั่วครู่   มู่หรงหยุนชูจึงใช้ข้อได้เปรียบจุดนี้มาเบี่ยงเบนความสนใจ
            “เจ้ากำลังคอยอะไรอยู่เล่าฆ่าเขาซะ!”   มู่หรงหยุนชูตะโกนเสียงดัง  น้ำเสียงเข้มเฉียบขาดราวกับเป็นเจ้านายตัวจริงมาก
            นักฆ่าสองคนสะดุ้งตกใจเสียงตะโกนของนาง  หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาต่างก็เข้าประดาบกัน   แน่นอน...หากไม่ใช่คนเดินผ่านมา  ก็ต้องเป็นศัตรู  ข้าฆ่าเจ้า  เจ้าฆ่าข้า  ฝ่ายใดลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ  ฝ่ายลงมือที่หลังย่อมพบความหายนะ
            ลู่จีสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงตะโกนที่ดังออกมาจากประตูห้องข้างๆ   นางเดินละเมอเปิดประตูเข้ามาอย่างสะลึมสะลือ   พลางขยี้ตาพูดด้วยเสียงไม่ชัดว่า   “คุณหนู  ข้าได้ยินเสียงคนต่อสู้กัน” 
            นักฆ่าสองคนหยุดต่อสู้ทันที  พวกเขาสังเกตเห็นว่าหน้าต่างเปิดอยู่  จึงได้พบว่ามู่หรงหยุนชูได้หนีไปแล้ว    พวกเขาจึงรีบกระโดดออกทางหน้าต่างทันทีเพื่อไล่ตามหญิงสาว
            ลู่จีหาวออกมา  เปิดตาดูในห้อง   เต็มไปด้วยความสับสน   เพราะครานี้ไม่มีแม้เงาของใครสักคน   แล้วคุณหนูของนางเล่า?
            **
            มู่หรงหยุนชูไม่ได้ตายหรือกระดูกหัก   เพราะว่าดันมีคนโชคร้ายเดินอยู่ใต้หน้าต่างพอดี  เขาคนนั้นจึงได้กลายเป็นเบาะรองให้นางตอนนางโดดลงมา
            “ขอบคุณนะ”  มู่หรงหยุนชูกล่าวละล้าละลังเล็กน้อย    นางไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นนอกจากเปิดแน่บ
            มู่หรงหยุนชูไม่คุ้นเคยกับถนนในเมืองหลวงนัก  นางวิ่งไปจนกระทั่งเห็นศาลเจ้าทิ้งร้างแห่งหนึ่ง  
            ภายในศาลเจ้า   ในที่สุดมู่หรงหยุนชูรู้สึกว่ากล้ามเนื้อขาปวดร้าว   เมื่อครู่ที่วิ่งหนีมานางไม่ได้คิดถึงความเจ็บปวดเลย แม้แต่น้อย
            มนุษย์ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดจริงๆ  จู่ๆก็สามารถแข็งแกร่งขึ้นมาได้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
            มู่หรงหยุนชูยิ้มแปลกๆให้ตนเอง    นวดข้อเท้าตนเองเบาๆ   และเริ่มสังเกตรอบๆตัว  จึงพบว่าที่นี่เป็นศาลเจ้าที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่เกินไปนัก    มีพระพุทธรูปที่เต็มไปด้วยใยแมงมุมเกาะ   ทั้งยังปกคลุมด้วยฝุ่นหนาเตอะ  ตรงหน้าพระพุทธรูป  มีกระถางธูป และเทียนสองเล่ม  ทั้งหมดมีฝุ่นเกาะเต็มเหมือนกัน
            ทันใดนั้นด้านนอกมีเสียงฝีเท้าคนเดินมา    ทำให้มู่หรงหยุนชูตื่นตัวขึ้น   นางเดินกระเผลกไปซ่อนอยู่หลังพระพุทธรูปด้วยความรวดเร็ว
            “นี่ฉิง  อย่าได้เหน็บแนมข้านะ”  เฟิ่งหลิงกล่าว  “ไม่ใช่ความผิดของข้าที่เราจำเป็นต้องหยุดพักที่นี่หนึ่งคืน  เพราะไม่มีโรงเตี๊ยมเปิดบริการในครานี้  นอกจากนี้ยามกลางคืนประตูวังก็ปิดอยู่”
            มู่หรงหยุนชูในที่สุดก็คลายความระวังตัว   ช่างโชคดีที่เป็นเฟิ่งหลิงแทนที่จะเป็นมือสังหาร
            “ข้าสามารถได้รับอนุญาตเข้าวังเพื่อรายงานข่าวด่วนแก่ฮ่องเต้ได้” 
            “ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบเข้าไปในวังจนทำให้ตัวเราเองเหน็ดเหนื่อยหมดแรงหรอก”
            “หากเราถูกคนของอ๋องเหลียงจับตัวได้   เจ้าจะได้กลายเป็นศพแทน”
            ทันทีที่มู่หรงหยุนชูได้ยินคำว่า อ๋องเหลียง  พลันนางหูผึ่งทันใด
            “ใครอยากจะสังหารข้ากัน?” เฟิ่งหลิงถามขึ้น
            “เจ้าไม่ได้พูดรึว่าวรยุทธ์ของฉู่ฉางเกอจอมยุทธ์สูงส่งเกินมนุษย์เจ้าฆ่าคู่หมั้นเขา  จะเป็นใครล่ะถ้าไม่ใช่เขาที่อยากสังหารเจ้า”
            คู่หมั้นฉู่ฉางเกอไม่ใช่นางหรอกรึมู่หรงหยุนชูรู้สึกงุนงงเล็กน้อย   เฟิ่งหลิงจะเป็นสาเหตุให้นางตายได้อย่างไร?
            “นี่ฉิง  ท่านอย่าพูดมั่วซั่วสิ   ข้าไปสังหารพี่มู่หรงตั้งแต่เมื่อใด?   หากพี่ฉู่เข้าใจข้าผิดขึ้นมา   ข้าก็ม่องเท่งนะสิ”
            “เจ้ามันตัวยื้อเลย   ทำให้ข้ากลับเข้าวัง เพื่อทูลขอให้ฮ่องเต้ส่งคนมาปกป้องนางล่าช้า     หากนางถูกสังหาร  ไม่มีใครหรอกนอกจากเจ้าที่จะโดนประณาม”
            มู่หรงหยุนชูประหลาดใจอย่างใหญ่หลวง    นี่ฉิงรู้ว่าอ๋องเหลียงจะส่งมือสังหารมาปลิดชีพนางด้วย?
            “ดีมาก   หากพี่ฉู่อยากสังหารข้า  เจ้าจะช่วยชีวิตข้าไหม?”
            “ไม่ช่วย” 
            “นี่ฉิง.!
            “หากมู่หรงหยุนชูตายเพราะเจ้า   ข้าก็อยากให้เจ้าตายด้วย”
            “ท่าน   ท่าน   นี่...ท่านรักพี่มู่หรงใช่ไหม?” 
            “เจ้านี่  พูดจาเหลวไหลใหญ่แล้ว” 
            “ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล!   หากท่านไม่ได้ชอบนาง   แล้วท่านจะสังหารข้าเพื่อนางทำไม?” 
            มู่หรงหยุนชูตัวสั่นสะท้าน  นางยังมีชีวิตอยู่  ไม่มีใครจำเป็นต้องแก้แค้นให้กับการตายของนาง
            “ข้าจะฆ่าเจ้าในฐานะตัวแทนของประชาชนที่ยากจน   หากมู่หรงหยุนชูถูกสังหาร  สำนักแลกเงินไฮ่เฟิ่งเฉียนที่ควบคุมความมั่นคั่งของแคว้นเกือบจะทั้งหมด  จะตกอยู่ในกำมือของอ๋องเหลียง”
            “อ๋องเหลียงคือพระอนุชาของฮ่องเต้   หากสำนักแลกเงินนั้นตกในกำมือเขา   มิเท่ากับตกในกำมือของราชสำนักหรอกรึ   แล้วท่านจะมาโกรธข้าทำไม?
            “ลืมมันซะเถิด  เจ้าไม่มีทางเข้าใจหรอก”
            มู่หรงหยุนชูเข้าใจความนัยของนี่ฉิง   เป็นเพราะอ๋องเหลียงต้องการก่อกบฏ  อย่างไรก็ตามนางก็ยังไม่กระจ่างแจ้งนัก    เหตุใดสำนักแลกเงินไฮ่เฟิ่งเฉียนจะเป็นของอ๋องเหลียงได้หากนางสิ้นชีพขึ้นมาแม้ว่านางไม่มีทายาทสืบทอดกิจการ    นางยังคงมีคู่หมั้นที่ควรยึดกิจการและส่งมอบให้ราชสำนักอีกครั้งอย่างเลวร้ายแน่นอน   ราชสำนักจะได้เพียงเปลือกที่มีแต่หนี้ท่วม   เงินทั้งหมดของสำนักแลกเงิน   ครึ่งหนึ่งถูกนางดึงออกมาหมดแล้ว   ส่วนครึ่งที่เหลือนั้นบิดานางได้ซ่อนไว้ที่สำนักดาบหมิงเจี้ยน
            ไม่คาดว่า  ทันใดนั้นมู่หรงหยุนชูก็กระจ่างแจ้งโดยพลัน    ที่แท้สำนักหมิงเจี้ยนสมคบคิดกับอ๋องเหลียงไปก่อนหน้าแล้ว   สาเหตุที่อ๋องเหลียงต้องการสังหารนาง   เพราะต้องการกำจัดราชสำนักด้วยเหตุการล่มสลายทางเศรษฐกิจเพราะการตายของนาง   เพียงแต่น่าเสียดายนักที่เขาประเมินโชคของนางต่ำไป   ประเมินกำลังของสำนักแลกเงินไฮ่เฟิ่งเฉียงต่ำไปด้วย    บิดานางได้ซ่อนเงินห้าสิบล้านตำลึงไว้ที่สำนักดาบหมิงเจี้ยน   แท้จริงแล้วสำนักแลกเงินมีเพียงแค่เศษเงิน   ความมั่งคั่งอยู่นอกสำนักแลกเงิน    ช่างน่าหัวเราะ ที่สำนักดาบหมิงเจี้ยนคงไม่คาดคิดว่า  ท่านพ่อของนางซ่อนเงินไว้ใต้จมูกพวกคนทรยศนั่นเอง
ช่างเป็นขบวนการที่น่าดูถูกยิ่งนักมู่หรงหยุนชูยิ้มเยาะออกมา
            “ใครอยู่ตรงนั้น?!”  นี่ฉิงถามเสียงดัง
            “ไม่คาดคิดเลยว่าท่านเจ้าหน้าที่นี่ฉิง  ช่างหูไวตาไวยิ่งนัก “  มู่หรงหยุชูเดินออกมาจากที่ซ่อนหลังพระพุทธรูป “
            “มู่หรงหยุนชู!” เฟิ่งหลิงร้องออกมาอย่างทึ่งปนตกใจ
            “เจ้ายังมีชีวิตอยู่รึ?”   เมื่อเห็นคนที่ควรตกอยู่ในอันตราย  ไม่ได้เป็นอะไร  ไม่ได้ตาย  นี่ฉิงหน้าซีดทันที
            มู่หรงหยุนชูไม่สนใจหน้าตาที่เหมือนคนใกล้ตายของเขา  พลางพูดเสียงเบาว่า
            “ข้าได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว” 
            “ไปบ้านข้าก่อนแล้วข้าจะพาเจ้าเข้าวังตอนเช้าตรู่อีกครั้ง” 
            มู่หรงหยุนชูสั่นหัว พูดขึ้นว่า  “ข้าต้องไปหอคณิกา” 
            “ข้าจะไปกับท่าน”  เฟิ่งหลิงกล่าวอย่างตื่นเต้น
            นี่ฉิงรู้สึกเหมือนเป็นลางร้ายราวกับมีอีกาดำบินผ่านหัวเขา    สีหน้าเหมือนได้กลิ่นเหม็นสุดๆ  และไม่สนใจเฟิ่งหลิงว่าจะรู้สึกอย่างไร    หันหน้าไปถามมู่หรงหยุนชูว่า  “ท่านจะไปทำอะไรที่หอคณิกา?”
            “ไปนอน”
            “คอยหลังเจ้าตายก่อน  แล้วเจ้าจะได้พักยาวในนรกตลอดกาล”
            “ที่นรกมีหอคณิกาด้วยรึ?” 
            “แท้จริงแล้วเจ้าต้องการไปทำอันใดที่หอคณิกา?”  
            ก็ไปด้วยกันประเดี๋ยวก็รู้เอง?  มู่หรงหยุนชูเงยหน้าขึ้นพลางกล่าวว่า  “ช่วยนำทางข้าไปหอคณิกาไป่หัวให้ข้าหน่อย”  ก็นางไม่รู้ทางกลับนี่

            เขาได้พูดไปแล้วรึว่าจะไปกับนาง?   ก่อนหน้านี่ฉิงคิดว่าคิดว่านางเป็นคนประหลาด  ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าคนประหลาดนั้นน่าจะเป็นพวกเขาเองมากกว่า   เพราะสีหน้ามู่หรงหยุนชูนั้นดูสงบและเป็นธรรมชาติยิ่งนัก

5 ความคิดเห็น: