วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2559

จับแม่ทัพไปไถนา - บทที่ 16 นำข้าวเปลือกกลับคืนได้ในท้ายสุด

          ฮูหยินเฉียวทอดถอนใจกับไก่ของนาง  เศร้าเสียใจตลอดคืน  ทั้งยังนอนหลับไม่สนิทอีกด้วย  เมื่อตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา  นางจึงรีบไปที่เล้าไก่ทันทีเพื่อดูอาการของสัตว์เลี้ยงที่รัก        
          ทว่าภาพที่เห็นทำให้นางผิดหวังยิ่งนัก  บรรดาไก่เหล่านี้ยังคงมีอาการย่ำแย่เหมือนเมื่อวานไม่มีผิด  ไม่มีสัญญาณว่ามันจะดีขึ้นเลยแม้สักนิด

          อย่างไรก็ดี  เคราะห์ร้ายย่อมไม่มาแค่หนเดียว  เมื่อฮูหยินเฉียวพบว่า  วัวในคอกก็มีอาการเซื่องซึมลง  รวมไปถึงหมูอ้วนสองตัวในเล้าด้วย  เมื่อเห็นภาพนั้น  นางจึงกรีดร้องสุดเสียง  ซวนเซจนเกือบล้มลงบนพื้น  ครั้นแล้วจึงหันไปมองรอบๆพลางร้องตะโกนเรียกสามีเสียงดัง 
          เมื่อมาเห็นด้วยตาตนเอง  แม้แต่เหลียนลี่ก็ยังตกตะลึง  พึมพำว่า “น่าตกใจ  น่าตกใจจริงๆ!”
          “เพิ่งจะตกใจรึ!”   ฮูหยินเฉียวผู้รักสัตว์เลี้ยงยิ่งชีพรู้สึกเจ็บปวดใจนัก   นางพูดไปพลางร้องให้ไปพลาง “ต้องเป็นฝีมือของผีน้องสะใภ้แน่ๆ  ต้องเป็นนางแน่ๆเราเอาข้าวเปลือกพวกนี้ไปคืนลูกๆของนางเถิด  บางทีนะ  น้องสะใภ้อาจเฝ้ามองดูเราอยู่จริงๆก็เป็นได้!”
          สีหน้าของเหลียนลี่พลันมืดครึ้มและหม่นหมอง  พึมพำออกมาว่า  “ข้าวเปลือก 1,000 กระสอบ..อา...”
          ฮูหยินเฉียวได้ยินเสียงพึมพำ  ให้รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวนัก  ทว่า..เมื่อคิดถึงสัตว์เลี้ยงแสนรัก.....
          “ท่านพี่”  นางเศร้าโศกอย่างสุดซึ้งพลางเอ่ยว่า “วัวตัวใหญ่ หมูสองตัว และฝูงไก่ของบ้านเราอาจมีค่ามากกว่าข้าวเปลือก 1,000 กระสอบนะเราไม่อาจมองเจ้าพวกนี้ต้องมาตายไปต่อหน้าและไม่ทำอะไรนะเราเลี้ยงหมูพวกนี้มาหนึ่งปี  ส่วนวัว  หากไม่มีมันแล้ว  ปีหน้าเราจะเอาอะไรใช้ไถนาในฤดูใบไม้ผลิเล่า!”
          “ได้!”  เหลียนลี่ขบกรามแน่น  “เอาข้าวเปลือกไปคืนพวกมันเราไปบ้านเจ้าพวกนั้นกันเถิด!”
          “อืม!”  ฮูหยินเฉียวพยักหน้า
          ข้าวเปลือก 1,000 กระสอบถึงแม้จะกลายเป็นฝันสลาย  ทว่า..ทั้งสองก็แค่ย้อนกลับไปสู่สภาพเดิม    สามีภรรยาคู่นี้ ต่างก็ประสบกับความเครียดความกดดัน มาตลอดสองสามวันที่ผ่านมา  เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว  ทั้งสองรู้สึกโล่งอก  ร่างทั้งร่างเบาราวกับปุยนุ่น
          อุตส่าห์ไปช่วยผู้อื่นเกี่ยวข้าว  ลงท้ายเสียแรงเปล่า  ต่อไปหลานๆคงไม่ยอมให้พวกเขามามีส่วนเกี่ยวของอีกแล้ว
          เหลียนลี่และฮูหยินเฉียวมาถึงบ้านเหลียนฟางโจวในที่สุด  ทั้งสองบอกความประสงค์ในการมาอย่างระมัดระวังกับเหลียนเซ่อ  พร้อมกับแอบขยิบตาส่งสัญญาณให้เหลียนฟางโจวอย่างมีความหมาย
          เหลียนฟางโจวถอนหายใจ  “ที่มารดาข้าตามหาท่าน  ดั้งเดิมจริงๆแล้ว  อา...”
          “โอ หลานสาวคนดี  ยามนี้อย่าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย  เจ้ารีบมาช่วยชีวิตวัว และหมูของบ้านเรา รวมทั้งพวกไก่ก่อน  อา..ข้ากลัวว่ามันจะสายเกินไป!  ต้องรีบแล้ว  อย่าได้รั้งรอเลยส่วนข้าวเปลือกนั้น   เราจะคืนกลับให้พวกเจ้าแน่นอน !”  ฮูหยินเฉียวร้อนรนนัก  แทบอดทนพูดต่อไปไม่ได้ 
          ในเมื่อครานี้ข้าวเปลือกกลายเผือกร้อนไปแล้ว   พวกเขายังจะยึดไว้ในมือได้รึ?
          “ลุง  ป้า”  ตัวเหลียนฟางโจวเองนั้นไม่รีบร้อน  ก้าวเดินด้วยฝีเท้าปกติ  หญิงสาวยื่นมือทั้งสองข้างออกมาอย่างหมดหวังพลางเอ่ยว่า “เรื่องที่ท่านขอให้ข้าช่วย   ข้าเองก็ไม่รู้วิธีแก้ไขเหมือนกันแล้วนี่ข้าจะไปช่วยจัดการเรื่องนี้ให้ได้อย่างไร!”
          เหลียนลี่และฮูหยินเฉียวตกตะลึง  ต่างส่งสายตาให้กันและกันด้วยความทดท้อใจ  ทั้งสองต่างเริ่มขวัญผวา
          ถูกแล้ว  เรื่องนี้เหลียนฟางโจวไม่ได้เป็นผู้ทำ  แล้วนางจะรู้วิธีแก้ไขปัญหาได้อย่างไร?
          ตัวพวกเขาเองก็ขาดความรู้ในเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง
          คราเมื่อเหลียนเซ่อเห็นลุงและป้าเริ่มสงบลง  จึงเอ่ยขัดจังหวะขึ้น “ลุงและป้า.. หากพวกท่านมีความจริงใจ  อาจจุดธูปไหว้ขอขมาแม่ข้าได้!”
          “จริงด้วยจุดธูปขอขมา  จุดธูปขอขมา!  เรื่องที่พวกเรามีความจริงใจให้แน่นอน  คือการเอาใจใส่คนในตระกูล!”  ฮูหยินเฉียวคล้ายกับว่าสิ่งนี้คือฟางเส้นสุดท้ายที่นางต้องไขว่คว้าเพื่อความอยู่รอดแล้ว   นางยืดตัวยืนตรงจุดธูปสวดมนต์ภาวนาต่อหน้าป้ายวิญญาณของบิดามารดาเหลียนฟางโจว  ด้วยความเครียดกังวลนัก    ตัวเหลียนลี่เองก็จุดธูปบูชาด้วยสีหน้าวิตกกังวลไม่แพ้กันเลย
          ฮูหยินเฉียวไม่ลืมสวดอ้อนวอนขอให้น้องสะใภ้ปล่อยหมู วัว และไก่ของนางไป  กล่าวถ้อยคำยกย่องสรรเสริญ   อ้างว่าจะเซ่นไหว้ด้วยเนื้อหมู  ในท้ายที่สุด  นางขอให้น้องสะใภ้ยกโทษให้ด้วยในถ้อยคำที่เคยพูดล่วงเกินไป....
          เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อเมื่อได้ยินคำสวดอ้อนวอนแล้ว   ถึงกับพูดไม่ออก
          “โอ  นี่แม่เจ้าจะตอบรับคำขอหรือไม่!”  หลังจากฮูหยินเฉียวจุดธูปไหว้เสร็จ  ได้หันไปมองป้ายวิญญาณ  สีหน้าดูกลัดกลุ้มนัก
          “ป้าใหญ่  ครานี้เป็นเวลากลางวัน!”  เหลียนฟางโจวเอ่ยขึ้น  “ท่านกลับไปก่อนเถิด  ผลจะเป็นอย่างไรต้องคอยจนถึงวันพรุ่งนี้!”
          “นั่นดีอะไรอย่างนี้!”  ทว่า..จะทำอย่างไรดีหากสัตว์เลี้ยงของบ้านข้าเกิดล้มตายลง!”  ฮูหยินเฉียวกลัดกลุ้มอย่างหนัก
          เหลียนฟางโจวเหยียดยิ้ม “ป้าใหญ่เพียงท่านรู้สึกสำนึกเสียใจในสิ่งที่ได้เคยทำมาในอดีตแล้วท่านก็จงทำใจให้สบายเถิด  เพราะท่านแม่ข้าไม่ใช่คนที่มีจิตใจโหดร้ายเยี่ยงนั้น!”
          ฮูหยินเฉียวตกตะลึงนิ่งอึ้ง
          “ถูกต้อง  ถ้าเช่นนั้นพวกเราขอตัวกลับก่อน!” ลุงลี่เอ่ยเห็นพ้องด้วย
          “จริงรึหากในท้ายสุด...”  ฮูหยินเฉียวยังอิดเอื้อนไม่เต็มใจ   จับจ้องเหลียนฟางโจวไม่วางตา  อยากให้นางยืนยันอย่างหนักแน่นกว่านี้
          เหลียนฟางโจวแสดงความคิดเห็นเพียงว่า  ตัวเธอเองก็ไม่รู้ผลลัพธ์จะออกมาเช่นไร  ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับมารดาของเธอ  เธอไม่สามารถฟันธงให้ได้
          ฮูหยินเฉียวจึงต้องกลับบ้านไปอย่างช่วยไม่ได้ 
          วันนี้ผัวเมียคู่นี้ยังคงมีความหวังเล็กๆ   พวกเขากวาดตามองสัตว์เลี้ยงของครอบครัวทันทีที่กลับถึงบ้าน  หวังว่าจะพบปาฏิหาริย์   ช่างน่าสงสารที่ต้องผิดหวังในท้ายสุด  จำต้องอดกลั้นอดทนให้ถึงวันพรุ่งนี้
          เช้าวันต่อมา  ฮูหยินเฉียวตื่นนอนแต่เช้า  ผมเผ้ายุ่งเหยิงหน้าตายังไม่ได้ล้าง  รีบมาที่บ้านเหลียนฟางโจวก่อนเพื่อน
          เหลียนฟางโจวก่อนหน้านั้นกำลังจุดเตาไฟหุงข้าว   เมื่อมองเห็นป้าเฉียวมาหา  ไม่ต้องรอให้นางถาม  เธอพูดตรงๆว่า “แม่ข้ามาเข้าฝันข้าเมื่อคืน  ท่านแม่กล่าวว่าลุงและป้ามีจิตใจสำนึกผิดแล้ว  นางจึงให้อภัยพวกท่านในครั้งนี้ขี้เถ้าธูปในกระถางที่ท่านจุด  จงเก็บไปห่อหนึ่ง  แล้วให้ดื่มน้ำพร้อมกับขี้เถ้านี้   คอยสักพักหนึ่งแล้วสัตว์เลี้ยงพวกนั้นจะดีขึ้นภายในครึ่งวัน
          “จริงๆรึ? ดียิ่งนัก!”  ใบหน้าของฮูหยินเฉียวเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
          “ข้าวเปลือกเล่า?”  เหลียนฟางโจวยืนขวางทางนางพลางเอ่ยขึ้น “เราต้องการไปเอาเดี๋ยวนี้!”
          ใจทั้งดวงของฮูหยินเฉียวยามนี้จดจ่ออยู่กับวัว หมู และฝูงไก่เท่านั้น  เห็นเช่นนั้นแล้วจึงพยักหน้าตอบรับ   พลันก็เริ่มรู้สึกเสียดายขึ้นมาทันใด  จึงเอ่ยว่า “คงไม่มีปัญหาอันใด  หาก....?”
          เหลียนฟางโจวยิ้มเยาะ  ไม่ได้พูดอะไรออกมา
          “เมื่อกี้ข้าไม่ได้พูดอันใดนะ  ข้าไม่ได้พูดอันใด!”  ฮูหยินเฉียวนึกได้ว่าได้กล่าววาจาคล้ายกับดูหมิ่นมารดาของหลานสาวแล้ว   จึงรีบตบปากตนเองเบาๆ
          ครั้นแล้วเหลียนฟางโจวจึงสั่งเหลียนเซ่อ “เจ้าไปเอาตะกร้าและกระสอบป่านมา  เราจะไปเอาข้าวเปลือกกันฉิงเอ๋อร์  เช่อเอ๋อร์  ช่วยไปดูฟืนไฟที่เตาด้วย   และคอยพวกพี่ไปขนข้าวเปลือกกลับมา   พวกเจ้าจงรออยู่ที่บ้านก่อนนะ !”
          เหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อตอบรับอย่างลังเลใจ
          ฮูหยินเฉียวเอาขี้เถ้าธูปไปสองห่ออย่างเร่งรีบ   กลับไปพร้อมกับเหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อที่จะไปขนข้าวเปลือกด้วย
          เหลียนลี่ยืนจ้องมองคนทั้งสามอยู่ด้านหนึ่งอย่างฮึดฮัด   เมื่อเห็นสองพี่น้องเดินถือตะกร้ามาหลายใบ  มาขนกระสอบข้าวเปลือก กระสอบแล้ว กระสอบเล่าออกไป  เขารู้สึกคับแค้นใจมากจนกระอักเลือดออกมา
          เวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไปทีละน้อย  สองพี่น้องตรากตรำกับการขนของจนแทบจะเกินขีดจำกัดร่างกายของตนอง  ในที่สุดพวกเขาเกือบต้องล้มเลิกการขนเที่ยวสุดท้ายแล้ว  พลันได้ยินฮูหยินเฉียวยืนอยู่ที่ลานบ้าน กรีดร้องมาอย่างตื่นเต้น “ดูแลคนในตระกูล! เทพเจ้า  เทพเจ้ามีจริง  ดีนัก!  ช่างดียิ่งนัก!   วัว หมู และพวกไก่มีแรงกลับคืนมาแล้ว  พวกเริ่มกินอาหารแล้ว
          ฮูหยินกระโดดโลดเต้นด้วยความปีติยินดี  วุ่นวายอยู่กับการให้อาหารวัวด้วยฟางชั้นเลิศ  อย่างไม่เสียดาย
          เหลียนลี่สะดุ้งตกใจกับภาพที่เห็น  คำพูดปฏิเสธใดๆ  เขาจะไม่กล่าวออกมาอีกแล้ว  ครานี้  เขาเชื่อและเกรงกลัวจริงๆแล้วที่ไหนจะกล้าปฏิเสธได้อีก?
          ส่วนเหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อสองพี่น้อง  ต่างยุ่งวุ่นวายกับการขนข้าวเปลือกกลับบ้าน  โดยเก็บข้าวเปลือกที่ขนมาทั้งหมด 1,000 กระสอบไว้ในโรงนา    
          เมื่อเห็นภาพกระสอบข้าวเปลือกส่องประกายเต็มโรงนา  แม้ว่าสองพี่น้องชายหญิงจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน  ทว่าจิตใจกับรู้สึกปีติยินดีอย่างที่สุด
          เหลียนเซ่ออดไม่ได้  เขากอบเมล็ดข้าวมา 1 กำมือ  สูดดมข้าวเปลือกเต็มกำมือนั้นด้วยความชื่นใจ   ข้าวเปลือกหนึ่งกำมือนี้มีรสชาติโอชา  ทำขึ้นด้วยความตั้งใจของผู้คนที่มีศรัทธาแน่วแน่
          “พี่ใหญ่  ท่านช่างเก่งกาจจริงๆครานี้พวกเราพี่น้องไม่ต้องอดอยากหิวโหยกันแล้วพวกเรามีข้าวเปลือกสำรองเก็บไว้กิน   ทั้งยังรองรับการเก็บเกี่ยวในปีหน้าอีกด้วย!  เหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อจะได้กินอิ่มเสียทีใบหน้าเหลียนเซ่อเบิกบานแจ่มใส
          “อืม  ไม่แค่ต้องกินให้อิ่ม  ยังต้องแข็งแรงพร้อมเผชิญงานหนักที่จะมาถึงด้วย  พี่ใหญ่จะพยายามทางแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้ได้  จะไม่ทำให้พวกเจ้าต้องทนทุกข์ยากอีกครั้ง!”  ครานี้เหลียนฟางโจวมีความสุขมากจริงๆ
          สำหรับวิญญาณแม่ที่ปรากฏตัวออกมา  เป็นเรื่องไม่จริงแน่นอน  ความจริงคือ  เด็กสาวใช้ตัวยาสมุนไพรหลายชนิดมาผสมเข้าด้วยกัน  แล้วเอาไปผสมกับน้ำผลไม้และข้าว  จากนั้นจึงนำมาหว่านในแปลงผัก  ฝูงไก่ที่ฮูหยินเฉียวแอบปล่อยออกมาหากิน  จึงได้กินเข้าไป    คืนต่อมา  เธอกับเหลียนเซ่อก็แอบย่องไปบ้านลุงกับป้า  เอาสมุนไพรดังกล่าวนั้นจุ่มน้ำที่ให้หมู และวัวกิน
          สมุนไพรเหล่านั้นไม่ได้มีพิษร้ายแรง   เพียงแต่เมื่อกินเข้าไปแล้วจะทำให้สัตว์ท้องอืด  ไม่ค่อยอยากอาหาร
          เนื่องจากที่นี่คือยุคโบราณ  นางจึงต้องไปตรวจสอบหาหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่นางรู้จักในยุคปัจจุบันของนาง  โชคดีที่หญ้าชนิดนี้สามารถหาพบได้ทั่วไป

          “พี่ใหญ่  ข้า ข้าอยากหารือเรื่องหนึ่งกับท่าน “   ทันใดนั้นเหลียนเซ่อชักเริ่มกลัวที่จะพูดออกมา  วันนี้คงต้องเปิดอกคุยกันสองคน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ต้องขอโทษด้วยค่ะ  ที่หายไปหลายวัน  เนื่องจากมีงานด่วนเข้ามา  
ดึกๆ จะลงให้อีกตอนนะคะ  ^-^

13 ความคิดเห็น:

  1. ลุ้นๆ
    .....ขอบคุณค่ะ....

    ตอบลบ
  2. งานเยอะยังมาแปลให้อ่าน ต้องขอบคุณแล้วคะ

    ตอบลบ
  3. งานเยอะยังมาแปลให้อ่าน ต้องขอบคุณแล้วคะ

    ตอบลบ
  4. ตอนนี้สนุกมาก ขอบคุณนะคะ

    ตอบลบ
  5. ครับไม่เป็นไรครับ รอได้ครับ ผมเข้ามาดูอยู่เรื่อยๆครับ

    ตอบลบ
  6. ขอบคุณคะ
    สะใจเล็กๆได้เอาคืนลุงป้าผู้อยากได้บ้าง

    ตอบลบ
  7. เป็นกำลังใจให้ผู้แปลค่ะ

    ตอบลบ