วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 18 เผชิญหน้ากับอดีตคู่หมั้นและแม่ของเขา

          ครั้นแล้วเหลียนฟางโจวยังคงตัดต้นไม้กับเหลียนเซ่อต่อไป
          “แล้ว  ไม่มีคนอื่นในหมู่บ้านเรามาเก็บเห็ดป่าบ้างเลยรึ?”  เหลียนฟางโจวถาม
          “นั่นเป็นเรื่องธรรมดา  เหลียนเซ่อพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ทุกคนเก็บเพียง
เห็ดเซียงกู(เห็ดหอม) 

เห็ดมู่เอ่อ(เห็ดหูหนู) 

และ เห็ดซงหรงที่มีรูปร่างยาวๆ(เห็ดสน) 

ซึ่งขึ้นใต้ต้นสนซงฉู่(ต้นสนไพน์) รวมทั้งเห็ดหลินจือที่มีสีแดง 

ส่วนเห็ดอื่นๆอาจไม่มีใครกล้าเก็บ”
          เหลียนฟางโจวอดตื่นเต้นไม่ได้พลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นแล้ว ภายในป่าบนเขาผืนนี้ย่อมมีของป่ามากมายที่น่าเก็บไปเป็นแน่? นอกจากเก็บเพื่อนำมาบริโภค  บางทียังสามารถนำไปขายทำเงินมากอีกด้วย!”
          นี่คือยุคโบราณ  ป่าในห้วงเวลานี้มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล  มีพรรณไม้ขึ้นอุดมสมบูรณ์  นับเป็นสวรรค์ของบรรดาเห็ดป่าหลากหลายสายพันธ์ให้แข่งกันเติบใหญ่โดยแท้  ทว่าเธอยังไม่อาจตัดสินได้ว่าคุณสมบัติและสรรพคุณของพวกมันจะดีตามไปด้วยหรือไม่เธอจะรู้ได้อย่างไรเล่า?  แม้แต่เมืองเปาชัน เมืองที่ไม่สำคัญของแคว้น  ซึ่งเธออาศัยอยู่  เธอยังไม่รู้จักดีเพียงพอเลย
          ดวงตาเลียนเซ่อเจิดจ้าในบัดดล  โพล่งออกมาว่า “หากจะพูดถึงเรื่องเห็ด  เขาเซียนเติ้งซานย่อมขึ้นชื่อเรื่องนี้แน่นอน”
          ดวงตาเหลียนฟางโจวเปล่งประกายโดยพลัน  รีบพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นับจากนี้ไป  พวกเราไปเยือนเขาเซียนเติ้งซานกันเถิด!”
          “เอ่อ ไม่ดีหรอก!”  ความหงุดหงิดฉายชัดบนใบหน้าของเหลียนเซ่อ  ราวกับว่าถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมานั้นไม่ควรพูดออกมา  เขาพูดอย่างอิดเอื้อน “เขาเซียนเติ้งซานเป็นที่ตั้งของป่าผืนใหญ่ที่สุดในแถบนี้  อยู่ห่างจากหมู่บ้านเราไม่ต่ำกว่า 20 ลี้  ได้ยินว่าเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ยักษ์สูงเทียมฟ้าทั้งนั้น  ภายในป่านั้นมีสัตว์ป่าหลากหลายชนิดอาศัยอยู่ ไม่มีใครกล้าเข้าไปแถวนั้นเลย!”  
          เหลียนเซ่อพยายามโน้มน้าวเหลียนฟางโจว   เธอเป็นคนที่ถอดใจอะไรง่ายๆรึเช่นนั้นแล้วจึงกล่าวพลางยิ้มว่า อย่าพยายามเกลี้ยกล่อมพี่เลยเจ้าไม่ใช่คนชอบพูดจาโป้ปดอีกทั้งหากไม่มีใครเข้าไปสำรวจ  แล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่า  ที่นั่นมันเป็นเช่นไรกันแน่  อย่างกระจ่างแจ้ง?”
          เหลียนเซ่ออับจนหนทาง  จำต้องพูดตามตรงว่า  “ใกล้ๆหมู่บ้านเรา  มีตระกูลนายพราน  หลานของลุงซุน  ชื่อฉางซิง  ชอบไปแถวนั้น   เท่าที่รู้  เขาเพียงหากินอยู่แถวชายป่ารอบๆเท่านั้น  เพื่อล่ากระต่ายป่า
 ไก่ฟ้า

 กวางซีฟางเป๋า
 กวางซุ่นลู่  
แพะตัวเล็กๆ
 และสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยอื่นๆ  ตัวเขาเองยังไม่กล้าเหยียบย่างเข้าไปในป่าตรงๆเลย
  ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลพวกเขาเป็นคนต่างแคว้น  ไม่มีสิทธิในที่ดินทำกิน  จึงเป็นการบังคับให้เขาต้องหาเลี้ยงชีพเช่นนั้น”
          เหลียนฟางโจวพยักหน้าเข้าใจ “แล้วอย่างไรเล่า!  เนื่องจากเป็นชายป่า  แล้วมันไม่มีสิ่งที่เราจะไปเอารึ?  พวกเราลองขอติดตามเขาไปด้วยน่าจะดี   เชิญเขาไปกันครั้งหน้า  ชวนเขาให้นำทางพาเราไปในคราวหน้าด้วยกัน
          “พี่ใหญ่.....”  เหลียนเซ่อเสียใจ เขาไม่ควรบอกความจริงออกไปเลย
          เหลียนฟางโจวส่งยิ้มบาง “นี่...เราก็ไปดูกันก่อน  หากมันอันตรายจริงๆ  คราวหน้าก็คงไม่ไปแล้วล่ะ  จริงไหม?”
          เด็กหนุ่มมองว่าสถานที่แห่งนั้นไม่ควรเหลือบแลหรือย่างกรายเข้าไปเลย  ขณะที่นางกลับรู้สึกสบายอกสบายใจได้เยี่ยงไร?
          เหลียนเซ่อรู้ว่าคงไม่อาจโน้มน้าวความคิดของพี่สาวได้  ต้องจำยอมรับอย่างอิดออด
          หลังจากยุ่งกับการงานไปครึ่งวัน   พวกเขาพบว่ามีท่อนไม้จำนวนหนึ่งที่จำเป็นต้องสับในที่สุด  หลังจากใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดจัดการสิ่งที่เหลือได้เรียบร้อย  พี่น้องสี่คนต่างหมดเรี่ยวหมดแรง  นั่งพักเอาแรงใต้ต้นไม้บริเวณนั้น
          ดีที่หมู่บ้านอยู่ไม่ไกลจากที่นี่  พวกเขาอายุยังเยาว์  ยังไม่มีความแข็งแกร่ง  จำต้องขนกิ่งไม้ล้วนๆกลับบ้าน  เพราะกลัวว่าจะกินเวลาในช่วงเช้าไปหมด
          เหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อเก็บเห็ดเผาะมามากมาย  เหลียนฟางฉิงถอดเสื้อคลุมลายดอกไม้ตัวนอกออก  แล้วเอาไปห่อเห็ดเผาะซึ่งเก็บมาได้  จากนั้นนำไปอวดเหลียนฟางโจว
          เหลียนฟางโจวเห็นแล้ว  เอ่ยชื่นชมนางหลายหน   ซึ่งยังกลัวว่าจะทำให้น้องสาวปลื้มปีติมากเกินไป
          หลังจากได้พักสักครู่  สี่พี่น้องเตรียมตัวเดินทางกลับ
          เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อแบกมัดกิ่งไม้ท่อนยาวๆ 56 มัด  เหลียนฟางฉิงอุ้มห่อเสื้อคลุมที่ใส่เห็ดไว้ด้วยกัน  เหลียนเช่อยืนกรานขอช่วยพี่ๆด้วย   เลยแบกท่อนไม้ไปสองสามท่อน
          สี่พี่น้องต่างมุ่งตรงแน่วกลับบ้าน
          เมื่อมาถึงเขตหมู่บ้าน  ทันใดนั้นมีเสียงคนรียกชื่อเธอ  “ฟางโจว!”
          เหลียนฟางโจวสะดุ้งตกใจโดยไม่รู้ตัว  เธอค่อนข้างเหนื่อยล้า  เมื่อยขบเนื้อตัว  ด้วยความประหลาดใจ  เธอเผลอเอาเท้าไปเตะก้อนกรวดเข้า   จึงเซถลาไปข้างหน้าหลายก้าว  มัดกิ่งไม้ท่อนยาวเอียงเสียสมดุลแกว่งทันใด  เหลียนฟางโจวเกือบจะเอียงตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้
          “พี่ใหญ่!”
          “โอ พี่ใหญ่!
          “ระวัง!”
          มีเสียงหลายเสียงดังขึ้นพร้อมกัน  เหลียนฟางโจวรู้สึกเพียงว่า  มีคนบางคนกำลังช่วยประคองมัดท่อนไม้ด้านหลังของเธอ    เสียงบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น “ฟางโจว มา...ส่งมาให้ข้า!”
          เหลียนฟางโจวเหลียวหลังกลับไปมอง  เห็นบุรุษคนนั้นสะดุ้งตกใจอย่างเห็นได้ชัด  ไม่ใช่ใครที่ไหน  เขาคืออดีตคู่หมั้นหยางหวายชานนั่นเอง
          “ไม่ต้องช่วยข้าทำเองได้!”  สีหน้าเหลียนฟางโจวพลันมืดครึ้มลงเล็กน้อย  กระแทกบ่าชนเขาให้หยุด  พลางกล่าวว่า”เราไม่ใช่คนคุ้นเคยกัน  และข้าก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว  อย่าเรียกชื่อข้า  ให้เรียกข้าว่าแม่นางเหลียน!”
          ใบหน้าหยางหวายชานแสดงความรู้สึกผิดและเจ็บปวดโดยพลัน “ฟางโจว  เจ้าเป็นเพียงสาวน้อย   เหตุใดจึงไร้เยื่อใยกับข้าเช่นนี้?  ข้าแค่อยากช่วยเจ้า
          “ไม่จำเป็น”  เหลียนฟางโจวสั่นหัว
          “โอ พวกเจ้าทำอันใดกัน!” มีเสียงตวาดดังขึ้น เมื่อเห็นมารดาของหยางหวายชาน หยางโปซี่ รีบปรี่ไปดึงบุตรชายจากทางด้านหลัง  หญิงชราหายใจเข้าเฮือกใหญ่    ดึงหยางหวายชานที่เข้าไปปกป้องใครคนหนึ่งที่เคยฟื้นจากความตายมาแล้วหนหนึ่ง  แค่นเสียงพูดกับเหลียนหฟางโจว “เจ้าไม่ห่วงหน้าตาตนเองรึไง  ไม่ใช่ว่าสกุลหยางให้เงินค่ายกเลิกสัญญาหมั้น 10 เหลียงไปแก่เจ้าแล้วรึเจ้ายังกล้ามาพัวพันกลับลูกชายข้าได้อย่างไร?!”
          หญิงสาวคงไม่อาจหลีกหนีไปได้   หากเรื่องนี้ยังไม่ได้มีการคุยให้กระจ่างแจ้ง   คงจะหาหนทางในการใช้ชีวิตต่อไปได้ยาก
          เมื่อต้องอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ ในโลกยุคโบราณนี้  ตัวเธอไม่ได้ตั้งใจจะกลายเป็นคนที่เก็บตัวไม่สนใจใคร  เธอไม่กลัวด้วยว่าใครจะดูถูกเธอ ที่ยกเลิกการหมั้นหมาย  ชื่อเสียงทั้งหลายทั้งแหล่ไม่สามารถมีอิทธิพลต่อตัวเธอได้
          เหลียนฟางโจวเก็บมัดท่อนไม้วางบนบ่า แบกขึ้นทันใด  เหลียนเซ่อบันดาลโทสะ  กำลังจะเปิดปาก  แต่มีบางคนเปิดปากได้เร็วกว่าเขา
          “ท่านแม่  ท่านเข้าใจผิดแล้ว! ฟางโจวไม่ได้มาพัวพันข้า  ข้าเข้ามาพัวพันกับนางเอง  คือข้าอยากช่วยนาง....”  หยางหวายชางกล่าวเสียงต่ำ
          “หุบปากเดี๋ยวนี้!”  หยางโปซี่ไม่คาดคิดว่าบุตรชายจะหักหน้าตนได้ถึงเพียงนี้
          “เจ้าได้ยินไม่ชัดเจนรึ?”  เหลียนเซ่อยืนบังเหลียนฟางโจว จนมิด  เงยหน้าจ้องหยางโปซี่แสดงสีหน้าไม่ยอมเหมือนกัน  “จัดการดูแลบุตรชายท่านให้ดี  อย่าให้เขามายุ่มย่ามกับพี่สาวของข้าอีก!”
          “เจ้าคนเลวเจ้าคือคนเลว!” เหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อมายืนล้อมทั้งคู่เอาไว้ จ้องตาเขม็ง
          หยางโปซี่ตกตะลึงอย่างที่สุด “บ้ากันหมดแล้ว”  นางแค่นเสียงออกมา “แท้จริงแล้วคงเพราะไม่มีพ่อแม่เลี้ยงดูสั่งสอน  พวกแกเด็กกำพร้าถึงได้กลายเป็นพวกอันธพาล  ยากจะสั่งสอนให้เป็นคนดีได้!”
          “เจ้าว่าอย่างไรนะลองกล้าพูดอีกครั้งดูสิ!”  ใบหน้าของเหลียนเซ่อเปลี่ยนสีโดยฉับพลัน  เส้นเลือดขึ้นเขียวปูดโปน  หน้าตาดูน่ากลัว
          หยางโปซี่สีหน้าหวาดวิตก  อดก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวไม่ได้   หยางหวายชานพลอยกลัดกลุ้มไปด้วย  วุ่นอยู่กับการปกป้องหยางโปซี่ที่หวาดกลัว  เอ่ยด้วยเสียงอ่อนว่า “ขอข้าพูดอะไรหน่อย....”
          “ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้า!”  เหลียนฟางโจวปล่อยให้ใครบางคนสงบอารมณ์ลง  เธอจ้องเขม็งมาที่แม่ลูกคู่นี้   แค่นเสียงพูดกับหยางโปซี่  “ข้าได้บอกท่านแล้วว่า  ให้ดูแลบุตรชายท่านให้ดี  อย่าให้มายุ่มย่ามกับข้าอีก!  ทว่าดูเหมือน  บุตรชายท่านก็ขาดการอบรมสั่งสอนจากมารดาเขาด้วยเช่นกัน  น่าละอายนักพวกคนพาลอย่าได้กล้ามาพัวกันกับข้าอีก  แล้วอย่าไปต่อว่าป้าใหญ่ว่าข้าไร้มารยาทด้วยล่ะ!  หยางโปซี่ มีเวลาว่างนัก  ก็หัดอบรมสั่งสอนบุตรชายท่านบ้าง!
          “เจ้า...เจ้า!” หยางโปซี่โกรธเกรี้ยวจนต้องกระทืบเท้าครั้งหนึ่ง “นังเด็กสาวฉาวโฉ่ ปากคอเราะร้าย  โชคดีนักที่ถอนหมั้นกันเสียได้   ไม่เช่นนั้น  ลูกข้าคงต้องติดโรคเรื้อนไปอีกแปดชาติเป็นแน่!”
          สีหน้าหยางหวายชานปรากฏความเจ็บปวดรวดร้าว  ทอดถอนใจอย่างเศร้าโศก “ฟางโจว  เจ้าไม่ควรตกลงเรื่องหมั้นกับแม่ข้าเช่นนั้น....”
          เหลียนฟางโจวไม่สนใจสิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ยปาก   ยังคงจ้องหยางโปซี่ พลางแค่นเสียง “วาจาที่กล่าวมานี่   ข้าควรเป็นผู้พูดจึงจะถูก  แท้จริงแล้ว  สวรรค์ช่วยข้าให้พ้นออกไปจากพื้นที่ที่ลุกเป็นไฟนี้ไม่เช่นนั้นแล้ว ในภายหลัง  ข้าคงเหมือนตกนรกทั้งเป็น!”
          “หวายชาง เจ้าฟังข้า ฟังข้า!  ได้ยินวาจาของนางไหม?! “ หยางโปซี่กราดเกรี้ยวดึงหยางหวายชาน  แล้วผลักเขามาข้างหน้า “เจ้าปล่อยให้นางมารังแกแม่ของเจ้า  ต่อหน้าต่อตาเจ้ารึแล้วยังขัดขวางไม่ให้แม่สั่งสอนนางอีกรึ?!”
          “ท่านแม่...” หยางหวายชานรู้สึกอึดอัดใจ
          เหลียนฟางโจวยิ้ม เลิกคิ้วพลางกล่าวกับชายหนุ่มว่า “คนที่ก่อปัญหาคือเจ้า  ตรงกันข้าม  ต้องสั่งสอนเจ้าสิ  ช่างน่าขบขันยิ่งนัก!”
          “เจ้าฟังที่นางพูดสิ!  หวายชาง  ฟังนางพูด!”  หยางโปซี่บันดาลโทสะ  ดวงตาเข้มขึ้น  จ้องหน้าหยางหวายชาง เขม็ง
          “ต่อหน้าเด็กสาวคนนี้  เจ้าสามารถพูดได้แค่สองคำ ข้า ข้า แค่นี้รึ!”  หยางหวายชานเห็นหยางโปซี่โกรธเกรี้ยวจนกระทืบเท้า  ในใจรู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่งนัก
          หลังจากวันนี้ไป  แม่ของเขาคงทาบทามหญิงสาวมาให้เขาดูตัวทุกวันแน่!

          เหลียนฟางโจวแค่นเสียง “ข้าพูดผิดหรือไร?  ใครที่ก่อความรำคาญให้เราสี่พี่น้องที่เพิ่งลงมาจากเขาไม่ใช่เจ้าที่เป็นผู้สร้างเรื่องหรอกรึ?”

14 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณมากค่ะ อิอิ โดนถอนหงอกเลย 555 เมื่อไหร่จะเจอท่านแม่ทัพน้าาาา สงสัยไปเก็บเห็ดคราวหน้าคงจะได้แม่ทัพกลับมาแทน

    ตอบลบ
  2. รอแม่ทัพ จะมาช่วยไถนาเมื่อไหร่น้าาาา

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณคะ...เหลียงฟางโจสู้ สู้

    ตอบลบ
  4. สนุกมากค่ะ รออ่านต่อน๊า

    ตอบลบ
  5. สนุกมากค่ะ รออ่านต่อน๊า

    ตอบลบ
  6. ขอบคุณมากค่ะ รอตอนต่อไป เมื่อไหร่ท่านแม่ทัพจิมาน้าาา

    ตอบลบ
  7. ขอบคุณค่ะ.. รอเจอแม่ทัพอยู่นะ

    ตอบลบ
  8. อาชีพหลักของนางเอกคือถอนหงอก5555

    ตอบลบ
  9. แม่อดีตรู้หมั้นแลดูอารมณ์จริงๆ

    ตอบลบ
  10. สร้างเนื้อสร้างตัวรอท่านแม่ทัพพพพพ

    ตอบลบ
  11. สร้างเนื้อสร้างตัวรอท่านแม่ทัพพพพพ

    ตอบลบ
  12. นางช่างกล้าจริง เถียงฉอดๆๆเลย 555+ แต่คนที่ผู้หญิงนี่ก็ไม่ไหวจริงๆ สมควรโดนต่อว่าบ้าง แต่ผู้ชายก็ดูโอเคอยู่นาาาา

    ตอบลบ
  13. แม่ทัพเมื่อไหร่จะมา

    ตอบลบ