วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ภรรยาข้าผู้ร้ายกาจเจ้าเล่ห์ -บทที่4 ฮั่วหลิงเทียน

               “คุณหนู  คนงานประท้วงหยุดงานอยู่หน้าจวนเจ้าค่ะ  ครานี้ประตูจวนถูกล้อมไว้หมดแล้ว”
            มู่หรงหยุนชูฆ่าเวลาให้ผ่านไปด้วยการเล่นหมากกระดานกับลู่จี  สาวใช้ประจำตัว  การเล่นหมากกระดานนี้ใกล้จะรู้แพ้รู้ชนะเต็มที  หญิงสาวพิฆาตด้วยหมากสีขาวในมือ  
            หลังจากได้รับชัยชนะ  มู่หรงหยุนชูถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางยังอยากเล่นต่อ และเตรียมจะล้างกระดานใหม่

            “คุณหนู!”  ลู่จีหัวฟัดหัวเหวี่ยง กระทืบเท้าอย่างขัดใจที่พ่ายแพ้  “คุณหนู  ท่านอยากจะรีบฆ่าบ่าวให้ตายไวๆเหมือน ฮองเฮาประหารขันทีหรือเจ้าคะ”
            “แม้นว่าข้าได้กลายเป็นฮองเฮาขึ้นมามู่หรงหยุนชูกล่าวขรึมๆ  เจ้าคงไม่สามารถเป็นขันทีได้กระมัง
            “…”  ลู่จีเม้มปากนิ่ง
            “ข้าไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งหยุนชูจะปรารถนาเป็นฮองเฮาขึ้นมา”  เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้น เมื่อหันไป ปรากฏภาพ บุรุษหนุ่มรูปงามสูงศักดิ์ยืนยิ้มอยู่ตรงทางเดินที่เชื่อมกับโถงรับรอง  เขาคือองค์ชายฮั่วหลิงเทียน
            “เสด็จพี่มู่หรงหยุนชูร้องขึ้นอย่างดีใจ  ละทิ้งกระดานหมาก และวิ่งตรงไปหา ฮั่วหลิงเทียน   ลมอันใดพัดพระองค์มาถึงที่นี่ได้เพคะ?”
            ฮั่วหลิงเทียนลูบศีรษะมู่หรงหยุนชูเบาๆอย่างเอ็นดู  พลางเกาะกุมมือนาง  เด็กโง่ตัวน้อยของพี่  เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้  ใยข้าจะไม่มาที่นี่ได้เล่า?”
            “ทว่า...องค์ไทเฮาตรัสไว้ว่า....
            “พระองค์ไม่เคยตรัสอะไรในเรื่องนี้!ฮั่วหลิงเทียนพลันกล่าวเสียงเย็น
            มู่หรงหยุนชูรู้ดีว่าไทเฮาเป็นชื่อต้องห้ามของฮั่วหลิงเทียน  เช่นนั้น..นางจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย ไม่มีสิ่งใดใหม่ๆ ในเมืองหลวงหรือเพคะสี่ปีล่วงมาแล้ว ที่เมืองหลวงคงจะเปลี่ยนแปลงไปมาก
            “ไม่ได้เปลี่ยนไปมากมายอันใดหรอก”  ฮั่วหลิงเทียนสบตานางพลางชักชวน  เสี่ยวเม่ย[1] เหตุใดเจ้าถึงไม่เข้าเมืองหลวงบ้าง ไปดูให้เห็นกับตาเจ้าเองยังไงเล่าข้ามาที่นี่เพื่อพาเจ้าไปอยู่ในวังหลวงด้วยกัน
            วังหลวงเป็นชื่อต้องห้ามของมู่หรงหยุนชูเหมือนกัน  นางดึงมือออกจากอุ้งมือฮั่วหลิงเทียน  และก้าวเท้าห่างจากเขาด้วยความตื่นตระหนก  เสด็จพี่  เหตุใดพระองค์จึงอยากพาหม่อมฉันเข้าวังหลวงเพคะ?”
            “ท่านลุงตายแล้วฮั่วหลิงเทียนกล่าวเสียงเนิบ  ฟางหงเฟยก็ถอนหมั้นแล้ว  แน่นอนข้าจะดูแลเสี่ยวเม่ยเอง”  เมื่อพูดถึงชื่อฟางหงเฟยพลันเกิดประกายเย็นวาบในดวงตาของบุรุษหนุ่ม
            “เสด็จพี่ พระองค์หมายถึงต้องการพาหม่อมฉันไปดูแลที่วังหรือเพคะ?”  มู่หรงหยุนชูถามขึ้นพลางส่ายหน้าเป็นพัลวัน
            “อืม”  ฮั่วหลงพยักหน้าพลางจับมือนางอีกครั้ง  เสี่ยวเม่ย  ครานี้พี่ยังไม่สามารถให้ตำแหน่งพระชายาแก่เจ้าได้  แต่จงไว้ใจพี่  เมื่อใดที่พี่ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้  พี่จะทำให้เจ้าเป็นฮองเฮาของพี่
            มู่หรงหยุนชูไม่รู้ว่านางควรจะรู้สึกอึดอัดหรือหวาดกลัวดีเมื่อได้ยินคำว่าฮองเฮาจากปากฮั่วหลิงเทียน   นางชอบการเอาใจใส่ดูแลจากเขา  ทว่า..ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ทำให้นางอยากแต่งให้เขา  เมื่อครั้งนางถูกหมั้นหมายกับฟางหงเฟย  นางคิดเสมอว่าฮั่วหลิงเทียนเปรียบเสมือนพี่ชายของนาง
            “เสด็จพี่  หม่อมฉันเสียใจ มู่หรงหยุนชูส่ายหน้า  หม่อมฉันคงไม่อาจติดตามพระองค์เข้าวังได้หรอกเพคะ
            ฮั่วหลิงเทียนไม่คาดคิดว่านางจะปฏิเสธทันทีทันใด  เขานิ่งไปเป็นนานก่อนจะกลับมาสู่สภาวะปกติ   เสี่ยวเม่ย  ข้าให้เวลาเจ้าไตร่ตรองข้อเสนอของข้าอีกครั้ง
            “หม่อมฉันไม่อาจติดตามพระองค์เข้าวังได้เพราะ...หม่อมฉันได้หมั้นหมายแล้ว”  มู่หรงหยุนชูมีท่าทีอึกอัก
            “มิใช่ว่ายกเลิกไปแล้วรึ?” 
            “ใช่เพคะ   ทว่า ..หม่อมฉันได้หมั้นหมายครั้งใหม่แล้วเพคะ
            “เสี่ยวเม่ย ข่าวลือนั่นจริงรึ?”  ฮั่วหลิงเทียนถามเสียงเย็นชา  เจ้ายอมรับการสู่ขอจากประมุขพรรคมารรึ?”
            มู่หรงหยุนชูไม่ได้คิดมากเรื่องบ้าบอที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้จนกระทั่งฮั่วหลิงเทียนกลับมาเยือนเมืองจิงเหลียนอย่างกะทันหัน  เขาต้องได้ยินข่าวลือและกลับมาเพื่อตรวจสอบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่เป็นแน่
            “หม่อมฉันได้ปฏิเสธการสู่ขอจากท่านประมุขแล้วมู่หรงหยุนชูกล่าว ทว่า..หม่อมฉันได้ส่งคนไปทาบทามสู่ขอท่านประมุขแทน
            “อะไรนะ?!”
            ฮั่วหลิงเทียนตกใจคล้ายจะเป็นลม  เขารู้ว่ามู่หรงหยุนชูรักอิสระและเป็นตัวของตัวเอง   เป็นการยากที่จะเข้าใจตรรกะทางความคิดของนาง   ทว่า..เขาเองก็คิดไม่ถึงว่านางจะไปสู่ขอผู้ชายอื่น
            “ฟางหงเฟยก็เคยตอบรับการแต่งงานเข้าตระกูลมู่หรงเมื่อในอดีตเพคะ” 
            “เจ้าหมายความว่าหากผู้ใดประสงค์จะแต่งกับเจ้าแล้ว  เขาต้องแต่งเข้าตระกูลมู่หรงอย่างนั้นรึ?” 
            “เพคะ”  มู่หรงหยุนชูรับคำ  มันเป็นธรรมเนียม  เพราะหม่อมฉันคือบุตรสาวคนโตของตระกูลเพียงคนเดียว
            “เสี่ยวเม่ย  เจ้าไม่ใช่คนที่ยึดหลักธรรมเนียมนี่นา”  ฮั่วหลิงเทียนมองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ  ชายหนุ่มไม่เชื่อว่า นางและประมุขมารคนนั้นจะแต่งงานกันเพราะอีกฝ่ายเต็มใจแต่งเข้าตระกูลของนาง
            “จึงเป็นเหตุผลที่หม่อมฉันไม่อาจตามเสด็จพี่เข้าวังหลวงได้เพคะ
            หลังจากทำใจให้สงบอยู่เป็นนาน  ชายหนุ่มพลันถามนาง  แล้วถ้าหากข้าไม่อยากเป็นองค์ชายอีกต่อไปแล้วเล่า?”
            หลังจากวนเวียนสนทนากันราวกับคนหนึ่งพูดภาษาไก่ อีกคนหนึ่งพูดภาษาเป็ด  ฮั่วหลิงเทียนเพิ่งเข้าใจสาเหตุที่มู่หรงหยุนชูปฏิเสธเขา
            “หากเสด็จพี่ไม่ต้องการเป็นองค์ชายอีกต่อไปแล้วนับว่าเป็นข่าวดีเพคะ  ทว่าพระองค์ทรงอย่าได้ทำเพราะหม่อมฉันเลย  มันจะกลายเป็นโทษสถานหนักที่หม่อมฉันเองไม่อาจแบกรับไว้บนบ่าได้เพคะ”   มู่หรงหยุนชูก้มหน้าหลุบสายตาลงต่ำ
            ฮั่วหลิงเทียนแค่นยิ้มให้กับสถานการณ์ของพวกเขาทั้งสอง  มู่หรงหยุนชูไม่อาจทิ้งอิสรภาพมาเพื่ออยู่กับเขา  และเขาก็ไม่อาจทิ้งแผ่นดินเพื่อมาอยู่กับนาง  พวกเขาคงเป็นได้เพียงพี่ชายกับน้องสาวแค่นั้น
            “วันหนึ่งหากเจ้าเปลี่ยนใจขึ้นมาฮั่วหลิงเทียนกล่าว ประตูหน้าตำหนักบูรพาเปิดรอต้อนรับเจ้าอยู่เสมอนะ
            “แล้วประตูด้านหลังล่ะเพคะ”  มู่หรงหยุนชูถามขึ้นอย่างสงสัย
            “ไม่มีประตูด้านหลัง
            “หม่อมฉันคงไม่มีทางเข้าไปในตำหนักบูรพาเป็นแน่เพคะ
            ฮั่วหลิงเทียนรู้สึกอยากจะเอาหัวทิ่มลงบนพื้นซะจริงๆ
            ส่วนมู่หรงหยุนชูไม่เข้าใจว่าเหตุใดหน้าตาฮั่วหลิงเทียนจึงดูย่ำแย่ถึงเพียงนั้น  จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง   เสด็จพี่  ท่านสนใจมาแข่งเล่นหมากกับหม่อมฉันไหมเพคะ?”
            ฮั่วหลิงเทียนดีดหน้าผากมู่หรงหยุนชู  เสี่ยวเม่ย  ให้ข้าย้ำให้เจ้าฟังอีกครั้งไหม   ว่าอีกไม่นานทางราชสำนักจะเข้ามาช่วยตระกูลมู่หรงของเจ้า
            หญิงสาวอยากให้ญาติผู้พี่ไปดูสภาพเหตุการณ์ที่หน้าประตูจวนครานี้  แล้วเขาคงอึ้ง  อันที่จริงต้องพูดว่า  สาเหตุของปัญหาทั้งมวลเกิดมาจากราชสำนักเป็นหลัก
            “เสด็จพี่ ทรงอย่าได้วิตกไปมู่หรงหยุนชูเลิกคิ้วมองกำแพงโดยรอบ  กำแพงจวนมู่หรงแข็งแรง  คงไม่พังลงมาง่ายๆกระมังเพคะ
            ฮั่วหลิงเทียนทนเงียบได้ไม่นาน ก็อดถามไม่ได้  แม้ว่ามันจะทำให้นางอารมณ์เสียก็ตาม
            “ข้าได้ยินมาว่ามีคนบางกลุ่มกำลังจะมาเอาเงินที่จวนมู่หรงติดค้างไว้   ท่านลุงตายไปเมื่อเดือนก่อน  พวกเขาอาจมาเอาเงินในระหว่างช่วงไว้ทุกข์นี้ก็เป็นได้นะ
                “อามู่หรงหยุนชูร้องออกมาเบาๆนางเหลือบตาขึ้นมองท้องฟ้า  รำพึงเบาๆ ท่านพ่อหม่อมฉันต้องรู้ล่วงหน้าแล้วว่าท่านต้องจากไป  ดังนั้นท่านจึงได้แลกเงินตำลึงเป็นตั๋วเงินแล้วแอบเผาตั๋วเงินส่งไปปรภพล่วงหน้าเพื่อท่านจะได้เป็นวิญญาณที่ร่ำรวยที่สุดเพคะ
            “ในปรภพใช้เงินไปซื้ออะไรได้เล่า?” 
            “เพื่อติดสินบนพระโพธิสัตว์ยังไงเล่าเพคะ
            “หา?”  องค์ชายฮั่วหลิงเทียนถึงกับไปไม่เป็น   เสี่ยวเม่ย ต้องการให้ข้าช่วยเหลืออันใดหรือไม่?”
            “ไม่ต้องเพคะมู่หรงหยุนชูกล่าวอย่างมั่นใจ
            มู่หรงหยุนชูเห็นแสงแวบขึ้นพร้อมกับมีคนพุ่งเข้ามาในห้องหนังสือซีดเซียวราวกับผีดิบ
            “คุณหนู มีข่าวร้ายขอรับ”  พ่อบ้านประจำจวนมีอาการตื่นตระหนก
            “มีคนงานขโมยของรึ?” มู่หรงหยุนชูถามขึ้นท่าทีสบายๆ
            “ไม่ใช่ ขอรับ
            “แล้วเหตุใดถึงได้รีบร้อน
            “ข้างนอกนั่น....มีคนแปลกๆกำลังเดินทางมาที่นี่ขอรับ”  พ่อบ้านล่ะล่ำละลักแจ้งข่าว
            “แล้วแปลกกว่าเจ้าหรือเปล่าล่ะ?”
            “คุณหนู...ข้าน้อยไม่ใช่คนแปลกนะขอรับ พ่อบ้านไม่ประหลาดใจเลย  พลันยกแขนเสื้อขึ้นบังหน้าที่หม่นหมองของตนเอง
            “เจ้ากล้าพูดได้อย่างไรว่าเจ้าไม่แปลกน่ะ?” มู่หรงหยุนชูถามพลางตามพ่อบ้านไป
            “คุณหนู มีแผนอันใดไหมเจ้าคะลู่จีรีบวิ่งตามมาข้างหลังพลางกระซิบถาม
            “บางที
            “ตามน้ำไปก่อนมู่หรงหยุนชูกล่าวสำทับพลางรีบเดินไป
            “…”  ลู่จีไร้ซึ่งคำพูด
            เมื่อมู่หรงหยุนชูมาถึงผู้คนที่มาประท้วงแหวกทางเป็นสองฝั่ง เพื่อรอการปรากฏตัวของนางเอก    หญิงสาวประหลาดใจกับภาพที่เห็น   ที่ด้านหลังผู้คนที่มาประท้วง  นางเห็นชายถืออาวุธครบมือสวมชุดสีแดงเป็นแถวยาวเหยียดจากบ้านจนทะลุออกไปที่ถนนด้านนอกและไม่สามารถเห็นปลายแถวได้  
            “ตระกูลมู่หรงเป็นโจร  ผู้คนที่เป็นเจ้าหนี้ตะโกนขึ้นซ้ำๆ จ่ายเงินที่เป็นหนี้ค่าแรงเรามา
            “ตะโกนไม่พร้อมเพรียงกันมู่หรงหยุนชูกล่าวหน้าตาเฉยเมย   กลับบ้าน  ไปซ้อมตะโกนให้พร้อมกันก่อน  แล้วค่อยกลับมาใหม่
            กลุ่มประท้วงเงียบเสียงราวกับอยู่ในป่าช้าไปทันที
            สักพัก เสียงตะโกนดังขึ้นมาใหม่ “ตระกูลมู่หรง  ติดเงินค่าจ้าง  ทำร้ายผู้คน  สวรรค์ไม่ปล่อยไว้แน่”
            มู่หรงหยุนซูไม่ได้หลบซ่อนตัว อีกทั้งไม่ปะทะอีกด้วย  นางยืนนิ่งตรงประตูทางเข้าอย่างอดทน  ฟังเสียงคนที่ตะโกนร้อง   จนกระทั่งพวกเขาหยุดไปพักหนึ่งเพราะเริ่มเบื่อ  จากนั้นก็เริ่มร้องตะโกนขึ้นใหม่
            “เมื่อไรที่พวกเจ้าตะโกนประณามได้พร้อมเพรียงกัน   เมื่อนั้นก็มาเอาค่าจ้าง”
            พลันผู้ประท้วงก็กลับมาเงียบเสียงอีกครั้ง
            “อะแฮ่ม...”  ฮั่วเหลิงเทียนไม่สามารถทนเห็นภาพเหล่านี้ต่อไปได้   เพื่อนางเขาจึงกล่าวว่า             “ทุกคนโปรดกลับบ้านไป   กลับไปก่อนแล้วอีก3วันค่อยมารับเงินของพวกเจ้า
            “พวกเราดูโง่งมรึไง?”   หนึ่งในกลุ่มประท้วงถามขึ้น เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราจะได้รับเงินภายหลัง3วันไปแล้ว
            “ข้ารับประกัน....ฮั่วหลิงเทียนยังพูดไม่ทันจบ  จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งขัดขึ้น
            “พวกเรา  พรรคโม่เจี่ยว ขอรับประกัน  เป็นหัวหน้าทิศทั้งสี่ของพรรคโม่เจี่ยวนั่นเอง
            ครั้นสิ้นคำกล่าวของพวกหัวหน้าสี่ทิศ  พวกโจรก็วิ่งหนีหายไปในพริบตา
            ฮั่วหลิงเทียนถึงกับอึ้งที่ชื่อของพรรคโม่เจี่ยวสามารถสยบผู้คนได้ง่ายดายนัก
            “พวกเขาเป็นใคร?”  มู่หรงหยุนชูถามพวกหัวหน้าทิศทั้งสี่เมื่อมองไปที่ขบวนชายแต่งชุดสีแดง
            “ของหมั้นของคุณหนูขอรับหัวหน้าโม่ทิศประจิมกล่าว
            “อะไรนะ...ช่างเป็นของหมั้นที่พิศดารอะไรเช่นนี้”  มู่หรงหยุนชูอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ
            “ท่านประมุขเรากล่าวว่าเราต้องเตรียมของหมั้นสีแดง10 อย่างให้ท่านขอรับหัวหน้าทิศพายัพส่งเสียงอธิบาย
            แล้วเหตุใดของหมั้น  10อย่าง  ถึงกลายเป็นขบวนผู้ชายยาว10ลี้ไปได้มู่หรงหยุนชูตกตะลึงพรึงเพริด   ความจริงแล้ว  ข้าต้องการเงินตำลึงมากกว่านะ”   ผู้คนทั่วแคว้นย่อมรู้ว่านางกำลังเงินขาดมืออย่างหนัก
            “ฮูหยินฉู่  ชายเหล่านี้มีค่ามากกว่าเงินสิบล้านนะขอรับหัวหน้าโม่ทิศบูรพอวดสรรพคุณอย่างภาคภูมิใจ   พวกเขาร่างกายกำยำแข็งแรงเป็นหนึ่งไม่มีสอง”
             “พวกเขามีค่ามากกว่าสิบล้านตำลึงเงินหรือทองเล่า?” มู่หรงหยุนชูแค่นเสียง
            “….”  พวกหัวหน้าทิศทั้งสี่อับจนซึ่งคำพูด
            “พวกเจ้าอย่าได้บอกข้านะว่าหมายถึงสิบล้านอีแปะมู่หรงหยุนชูมองหัวหน้าทิศทั้งสี่ด้วยสายตาเอือมระอา
            “…”
            “ตลาดค้าทาสในเมืองจิงเหลียนอยู่ที่ใดมู่หรงหยุนชูถามพ่อบ้านประจำจวนที่ยืนใกล้ๆ
            “จากนี้ไปก็.....พ่อบ้านกล่าวไปพลาง   ห่วงสวัสดิภาพตนเองไปพลาง
            “เสี่ยวเม่ย เอาพวกเขาไปขายในเมืองหลวงดีกว่าฮั่วหลิงเทียนเสนอ พวกเขาจะได้ราคาดีกว่า    หากเอาไปขายที่นั่น
            “จรึงรึเพคะ ?” มู่หรงหยุนชูถาม จะมีใครซื้อคนไปทั้งฝูงนี้ได้?   ก็ดีสิเพคะ เพราะมันยุ่งยากลำบากต่อหม่อมฉันนัก ถ้าเอาไปขายทีละคน
            ฮั่วหลิงเทียนสแยะยิ้มราวกับเพชฌฆาต ที่วังหลวงไง
            ดวงตาของชายเหล่านั้นหันไปมองฮั่วหลิงเทียนอย่างพร้อมเพรียงกันราวกับอยากจะฆ่าเขาให้ตาย

 [1]เสี่ยวเม่ย =น้องสาวตัวน้อย

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ13 สิงหาคม 2560 เวลา 14:25

    โอ๊ย สนุกมากเลยค่ะ

    ตอบลบ
  2. พวกหัวหน้าทิศทั้งสี่นี่มันเต็มไหมค่ะเนี่ย..555

    ตอบลบ