“คุณหนู
คนงานประท้วงหยุดงานอยู่หน้าจวนเจ้าค่ะ
ครานี้ประตูจวนถูกล้อมไว้หมดแล้ว”
มู่หรงหยุนชูฆ่าเวลาให้ผ่านไปด้วยการเล่นหมากกระดานกับลู่จี สาวใช้ประจำตัว การเล่นหมากกระดานนี้ใกล้จะรู้แพ้รู้ชนะเต็มที หญิงสาวพิฆาตด้วยหมากสีขาวในมือ
“คุณหนู!” ลู่จีหัวฟัดหัวเหวี่ยง
กระทืบเท้าอย่างขัดใจที่พ่ายแพ้
“คุณหนู ท่านอยากจะรีบฆ่าบ่าวให้ตายไวๆเหมือน
ฮองเฮาประหารขันทีหรือเจ้าคะ”
“แม้นว่าข้าได้กลายเป็นฮองเฮาขึ้นมา” มู่หรงหยุนชูกล่าวขรึมๆ “เจ้าคงไม่สามารถเป็นขันทีได้กระมัง”
“…” ลู่จีเม้มปากนิ่ง
“ข้าไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งหยุนชูจะปรารถนาเป็นฮองเฮาขึ้นมา” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้น
เมื่อหันไป ปรากฏภาพ บุรุษหนุ่มรูปงามสูงศักดิ์ยืนยิ้มอยู่ตรงทางเดินที่เชื่อมกับโถงรับรอง เขาคือองค์ชายฮั่วหลิงเทียน
“เสด็จพี่” มู่หรงหยุนชูร้องขึ้นอย่างดีใจ ละทิ้งกระดานหมาก และวิ่งตรงไปหา ฮั่วหลิงเทียน “ลมอันใดพัดพระองค์มาถึงที่นี่ได้เพคะ?”
ฮั่วหลิงเทียนลูบศีรษะมู่หรงหยุนชูเบาๆอย่างเอ็นดู พลางเกาะกุมมือนาง “เด็กโง่ตัวน้อยของพี่ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ใยข้าจะไม่มาที่นี่ได้เล่า?”
“ทว่า...องค์ไทเฮาตรัสไว้ว่า....”
“พระองค์ไม่เคยตรัสอะไรในเรื่องนี้!” ฮั่วหลิงเทียนพลันกล่าวเสียงเย็น
มู่หรงหยุนชูรู้ดีว่าไทเฮาเป็นชื่อต้องห้ามของฮั่วหลิงเทียน เช่นนั้น..นางจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “ไม่มีสิ่งใดใหม่ๆ ในเมืองหลวงหรือเพคะ? สี่ปีล่วงมาแล้ว
ที่เมืองหลวงคงจะเปลี่ยนแปลงไปมาก”
“ไม่ได้เปลี่ยนไปมากมายอันใดหรอก” ฮั่วหลิงเทียนสบตานางพลางชักชวน “เสี่ยวเม่ย[1]
เหตุใดเจ้าถึงไม่เข้าเมืองหลวงบ้าง ไปดูให้เห็นกับตาเจ้าเองยังไงเล่า? ข้ามาที่นี่เพื่อพาเจ้าไปอยู่ในวังหลวงด้วยกัน”
วังหลวงเป็นชื่อต้องห้ามของมู่หรงหยุนชูเหมือนกัน นางดึงมือออกจากอุ้งมือฮั่วหลิงเทียน และก้าวเท้าห่างจากเขาด้วยความตื่นตระหนก “เสด็จพี่ เหตุใดพระองค์จึงอยากพาหม่อมฉันเข้าวังหลวงเพคะ?”
“ท่านลุงตายแล้ว” ฮั่วหลิงเทียนกล่าวเสียงเนิบ “ฟางหงเฟยก็ถอนหมั้นแล้ว แน่นอนข้าจะดูแลเสี่ยวเม่ยเอง” เมื่อพูดถึงชื่อฟางหงเฟยพลันเกิดประกายเย็นวาบในดวงตาของบุรุษหนุ่ม
“เสด็จพี่
พระองค์หมายถึงต้องการพาหม่อมฉันไปดูแลที่วังหรือเพคะ?” มู่หรงหยุนชูถามขึ้นพลางส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“อืม” ฮั่วหลงพยักหน้าพลางจับมือนางอีกครั้ง “เสี่ยวเม่ย
ครานี้พี่ยังไม่สามารถให้ตำแหน่งพระชายาแก่เจ้าได้ แต่จงไว้ใจพี่
เมื่อใดที่พี่ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้
พี่จะทำให้เจ้าเป็นฮองเฮาของพี่”
มู่หรงหยุนชูไม่รู้ว่านางควรจะรู้สึกอึดอัดหรือหวาดกลัวดีเมื่อได้ยินคำว่าฮองเฮาจากปากฮั่วหลิงเทียน นางชอบการเอาใจใส่ดูแลจากเขา
ทว่า..ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ทำให้นางอยากแต่งให้เขา เมื่อครั้งนางถูกหมั้นหมายกับฟางหงเฟย นางคิดเสมอว่าฮั่วหลิงเทียนเปรียบเสมือนพี่ชายของนาง
“เสด็จพี่ หม่อมฉันเสียใจ” มู่หรงหยุนชูส่ายหน้า “หม่อมฉันคงไม่อาจติดตามพระองค์เข้าวังได้หรอกเพคะ”
ฮั่วหลิงเทียนไม่คาดคิดว่านางจะปฏิเสธทันทีทันใด เขานิ่งไปเป็นนานก่อนจะกลับมาสู่สภาวะปกติ “เสี่ยวเม่ย ข้าให้เวลาเจ้าไตร่ตรองข้อเสนอของข้าอีกครั้ง”
“หม่อมฉันไม่อาจติดตามพระองค์เข้าวังได้เพราะ...หม่อมฉันได้หมั้นหมายแล้ว” มู่หรงหยุนชูมีท่าทีอึกอัก
“มิใช่ว่ายกเลิกไปแล้วรึ?”
“ใช่เพคะ ทว่า ..หม่อมฉันได้หมั้นหมายครั้งใหม่แล้วเพคะ”
“เสี่ยวเม่ย
ข่าวลือนั่นจริงรึ?”
ฮั่วหลิงเทียนถามเสียงเย็นชา “เจ้ายอมรับการสู่ขอจากประมุขพรรคมารรึ?”
มู่หรงหยุนชูไม่ได้คิดมากเรื่องบ้าบอที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้จนกระทั่งฮั่วหลิงเทียนกลับมาเยือนเมืองจิงเหลียนอย่างกะทันหัน
เขาต้องได้ยินข่าวลือและกลับมาเพื่อตรวจสอบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่เป็นแน่
“หม่อมฉันได้ปฏิเสธการสู่ขอจากท่านประมุขแล้ว” มู่หรงหยุนชูกล่าว “ทว่า..หม่อมฉันได้ส่งคนไปทาบทามสู่ขอท่านประมุขแทน”
“อะไรนะ?!”
ฮั่วหลิงเทียนตกใจคล้ายจะเป็นลม
เขารู้ว่ามู่หรงหยุนชูรักอิสระและเป็นตัวของตัวเอง เป็นการยากที่จะเข้าใจตรรกะทางความคิดของนาง ทว่า..เขาเองก็คิดไม่ถึงว่านางจะไปสู่ขอผู้ชายอื่น
“ฟางหงเฟยก็เคยตอบรับการแต่งงานเข้าตระกูลมู่หรงเมื่อในอดีตเพคะ”
“เจ้าหมายความว่าหากผู้ใดประสงค์จะแต่งกับเจ้าแล้ว เขาต้องแต่งเข้าตระกูลมู่หรงอย่างนั้นรึ?”
“เพคะ” มู่หรงหยุนชูรับคำ “มันเป็นธรรมเนียม เพราะหม่อมฉันคือบุตรสาวคนโตของตระกูลเพียงคนเดียว”
“เสี่ยวเม่ย
เจ้าไม่ใช่คนที่ยึดหลักธรรมเนียมนี่นา” ฮั่วหลิงเทียนมองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ ชายหนุ่มไม่เชื่อว่า
นางและประมุขมารคนนั้นจะแต่งงานกันเพราะอีกฝ่ายเต็มใจแต่งเข้าตระกูลของนาง
“จึงเป็นเหตุผลที่หม่อมฉันไม่อาจตามเสด็จพี่เข้าวังหลวงได้เพคะ”
หลังจากทำใจให้สงบอยู่เป็นนาน ชายหนุ่มพลันถามนาง “แล้วถ้าหากข้าไม่อยากเป็นองค์ชายอีกต่อไปแล้วเล่า?”
หลังจากวนเวียนสนทนากันราวกับคนหนึ่งพูดภาษาไก่ อีกคนหนึ่งพูดภาษาเป็ด ฮั่วหลิงเทียนเพิ่งเข้าใจสาเหตุที่มู่หรงหยุนชูปฏิเสธเขา
“หากเสด็จพี่ไม่ต้องการเป็นองค์ชายอีกต่อไปแล้วนับว่าเป็นข่าวดีเพคะ ทว่า…พระองค์ทรงอย่าได้ทำเพราะหม่อมฉันเลย
มันจะกลายเป็นโทษสถานหนักที่หม่อมฉันเองไม่อาจแบกรับไว้บนบ่าได้เพคะ” มู่หรงหยุนชูก้มหน้าหลุบสายตาลงต่ำ
ฮั่วหลิงเทียนแค่นยิ้มให้กับสถานการณ์ของพวกเขาทั้งสอง มู่หรงหยุนชูไม่อาจทิ้งอิสรภาพมาเพื่ออยู่กับเขา
และเขาก็ไม่อาจทิ้งแผ่นดินเพื่อมาอยู่กับนาง พวกเขาคงเป็นได้เพียงพี่ชายกับน้องสาวแค่นั้น
“วันหนึ่งหากเจ้าเปลี่ยนใจขึ้นมา” ฮั่วหลิงเทียนกล่าว “ประตูหน้าตำหนักบูรพาเปิดรอต้อนรับเจ้าอยู่เสมอนะ”
“แล้วประตูด้านหลังล่ะเพคะ” มู่หรงหยุนชูถามขึ้นอย่างสงสัย
“ไม่มีประตูด้านหลัง”
“หม่อมฉันคงไม่มีทางเข้าไปในตำหนักบูรพาเป็นแน่เพคะ”
ฮั่วหลิงเทียนรู้สึกอยากจะเอาหัวทิ่มลงบนพื้นซะจริงๆ
ส่วนมู่หรงหยุนชูไม่เข้าใจว่าเหตุใดหน้าตาฮั่วหลิงเทียนจึงดูย่ำแย่ถึงเพียงนั้น จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “เสด็จพี่ ท่านสนใจมาแข่งเล่นหมากกับหม่อมฉันไหมเพคะ?”
ฮั่วหลิงเทียนดีดหน้าผากมู่หรงหยุนชู
“เสี่ยวเม่ย ให้ข้าย้ำให้เจ้าฟังอีกครั้งไหม
ว่าอีกไม่นานทางราชสำนักจะเข้ามาช่วยตระกูลมู่หรงของเจ้า”
หญิงสาวอยากให้ญาติผู้พี่ไปดูสภาพเหตุการณ์ที่หน้าประตูจวนครานี้ แล้วเขาคงอึ้ง
อันที่จริงต้องพูดว่า
สาเหตุของปัญหาทั้งมวลเกิดมาจากราชสำนักเป็นหลัก
“เสด็จพี่
ทรงอย่าได้วิตกไป” มู่หรงหยุนชูเลิกคิ้วมองกำแพงโดยรอบ “กำแพงจวนมู่หรงแข็งแรง คงไม่พังลงมาง่ายๆกระมังเพคะ”
ฮั่วหลิงเทียนทนเงียบได้ไม่นาน
ก็อดถามไม่ได้
แม้ว่ามันจะทำให้นางอารมณ์เสียก็ตาม
“ข้าได้ยินมาว่ามีคนบางกลุ่มกำลังจะมาเอาเงินที่จวนมู่หรงติดค้างไว้ ท่านลุงตายไปเมื่อเดือนก่อน
พวกเขาอาจมาเอาเงินในระหว่างช่วงไว้ทุกข์นี้ก็เป็นได้นะ”
“อา” มู่หรงหยุนชูร้องออกมาเบาๆนางเหลือบตาขึ้นมองท้องฟ้า รำพึงเบาๆ “ท่านพ่อหม่อมฉันต้องรู้ล่วงหน้าแล้วว่าท่านต้องจากไป ดังนั้นท่านจึงได้แลกเงินตำลึงเป็นตั๋วเงินแล้วแอบเผาตั๋วเงินส่งไปปรภพล่วงหน้าเพื่อท่านจะได้เป็นวิญญาณที่ร่ำรวยที่สุดเพคะ”
“ในปรภพใช้เงินไปซื้ออะไรได้เล่า?”
“เพื่อติดสินบนพระโพธิสัตว์ยังไงเล่าเพคะ”
“หา?” องค์ชายฮั่วหลิงเทียนถึงกับไปไม่เป็น “เสี่ยวเม่ย
ต้องการให้ข้าช่วยเหลืออันใดหรือไม่?”
“ไม่ต้องเพคะ” มู่หรงหยุนชูกล่าวอย่างมั่นใจ
มู่หรงหยุนชูเห็นแสงแวบขึ้นพร้อมกับมีคนพุ่งเข้ามาในห้องหนังสือซีดเซียวราวกับผีดิบ
“คุณหนู
มีข่าวร้ายขอรับ”
พ่อบ้านประจำจวนมีอาการตื่นตระหนก
“มีคนงานขโมยของรึ?” มู่หรงหยุนชูถามขึ้นท่าทีสบายๆ
“ไม่ใช่ ขอรับ”
“แล้วเหตุใดถึงได้รีบร้อน”
“ข้างนอกนั่น....มีคนแปลกๆกำลังเดินทางมาที่นี่ขอรับ” พ่อบ้านล่ะล่ำละลักแจ้งข่าว
“แล้วแปลกกว่าเจ้าหรือเปล่าล่ะ?”
“คุณหนู...ข้าน้อยไม่ใช่คนแปลกนะขอรับ” พ่อบ้านไม่ประหลาดใจเลย พลันยกแขนเสื้อขึ้นบังหน้าที่หม่นหมองของตนเอง
“เจ้ากล้าพูดได้อย่างไรว่าเจ้าไม่แปลกน่ะ?” มู่หรงหยุนชูถามพลางตามพ่อบ้านไป
“คุณหนู
มีแผนอันใดไหมเจ้าคะ” ลู่จีรีบวิ่งตามมาข้างหลังพลางกระซิบถาม
“บางที”
“ตามน้ำไปก่อน” มู่หรงหยุนชูกล่าวสำทับพลางรีบเดินไป
“…” ลู่จีไร้ซึ่งคำพูด
เมื่อมู่หรงหยุนชูมาถึงผู้คนที่มาประท้วงแหวกทางเป็นสองฝั่ง
เพื่อรอการปรากฏตัวของนางเอก หญิงสาวประหลาดใจกับภาพที่เห็น ที่ด้านหลังผู้คนที่มาประท้วง นางเห็นชายถืออาวุธครบมือสวมชุดสีแดงเป็นแถวยาวเหยียดจากบ้านจนทะลุออกไปที่ถนนด้านนอกและไม่สามารถเห็นปลายแถวได้
“ตระกูลมู่หรงเป็นโจร” ผู้คนที่เป็นเจ้าหนี้ตะโกนขึ้นซ้ำๆ “จ่ายเงินที่เป็นหนี้ค่าแรงเรามา”
“ตะโกนไม่พร้อมเพรียงกัน” มู่หรงหยุนชูกล่าวหน้าตาเฉยเมย “กลับบ้าน ไปซ้อมตะโกนให้พร้อมกันก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่”
กลุ่มประท้วงเงียบเสียงราวกับอยู่ในป่าช้าไปทันที
สักพัก เสียงตะโกนดังขึ้นมาใหม่ “ตระกูลมู่หรง ติดเงินค่าจ้าง ทำร้ายผู้คน
สวรรค์ไม่ปล่อยไว้แน่”
มู่หรงหยุนซูไม่ได้หลบซ่อนตัว
อีกทั้งไม่ปะทะอีกด้วย
นางยืนนิ่งตรงประตูทางเข้าอย่างอดทน
ฟังเสียงคนที่ตะโกนร้อง
จนกระทั่งพวกเขาหยุดไปพักหนึ่งเพราะเริ่มเบื่อ จากนั้นก็เริ่มร้องตะโกนขึ้นใหม่
“เมื่อไรที่พวกเจ้าตะโกนประณามได้พร้อมเพรียงกัน เมื่อนั้นก็มาเอาค่าจ้าง”
พลันผู้ประท้วงก็กลับมาเงียบเสียงอีกครั้ง
“อะแฮ่ม...” ฮั่วเหลิงเทียนไม่สามารถทนเห็นภาพเหล่านี้ต่อไปได้
เพื่อนางเขาจึงกล่าวว่า “ทุกคนโปรดกลับบ้านไป กลับไปก่อนแล้วอีก3วันค่อยมารับเงินของพวกเจ้า”
“พวกเราดูโง่งมรึไง?” หนึ่งในกลุ่มประท้วงถามขึ้น “เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราจะได้รับเงินภายหลัง3วันไปแล้ว”
“ข้ารับประกัน....” ฮั่วหลิงเทียนยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งขัดขึ้น
“พวกเรา พรรคโม่เจี่ยว ขอรับประกัน” เป็นหัวหน้าทิศทั้งสี่ของพรรคโม่เจี่ยวนั่นเอง
ครั้นสิ้นคำกล่าวของพวกหัวหน้าสี่ทิศ
พวกโจรก็วิ่งหนีหายไปในพริบตา
ฮั่วหลิงเทียนถึงกับอึ้งที่ชื่อของพรรคโม่เจี่ยวสามารถสยบผู้คนได้ง่ายดายนัก
“พวกเขาเป็นใคร?” มู่หรงหยุนชูถามพวกหัวหน้าทิศทั้งสี่เมื่อมองไปที่ขบวนชายแต่งชุดสีแดง
“ของหมั้นของคุณหนูขอรับ” หัวหน้าโม่ทิศประจิมกล่าว
“อะไรนะ...ช่างเป็นของหมั้นที่พิศดารอะไรเช่นนี้” มู่หรงหยุนชูอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ท่านประมุขเรากล่าวว่าเราต้องเตรียมของหมั้นสีแดง10
อย่างให้ท่านขอรับ” หัวหน้าทิศพายัพส่งเสียงอธิบาย
แล้วเหตุใดของหมั้น 10อย่าง ถึงกลายเป็นขบวนผู้ชายยาว10ลี้ไปได้? มู่หรงหยุนชูตกตะลึงพรึงเพริด “ความจริงแล้ว ข้าต้องการเงินตำลึงมากกว่านะ” ผู้คนทั่วแคว้นย่อมรู้ว่านางกำลังเงินขาดมืออย่างหนัก
“ฮูหยินฉู่ ชายเหล่านี้มีค่ามากกว่าเงินสิบล้านนะขอรับ” หัวหน้าโม่ทิศบูรพอวดสรรพคุณอย่างภาคภูมิใจ “พวกเขาร่างกายกำยำแข็งแรงเป็นหนึ่งไม่มีสอง”
“พวกเขามีค่ามากกว่าสิบล้านตำลึงเงินหรือทองเล่า?” มู่หรงหยุนชูแค่นเสียง
“….” พวกหัวหน้าทิศทั้งสี่อับจนซึ่งคำพูด
“พวกเจ้าอย่าได้บอกข้านะว่าหมายถึงสิบล้านอีแปะ” มู่หรงหยุนชูมองหัวหน้าทิศทั้งสี่ด้วยสายตาเอือมระอา
“…”
“ตลาดค้าทาสในเมืองจิงเหลียนอยู่ที่ใด” มู่หรงหยุนชูถามพ่อบ้านประจำจวนที่ยืนใกล้ๆ
“จากนี้ไปก็.....” พ่อบ้านกล่าวไปพลาง ห่วงสวัสดิภาพตนเองไปพลาง
“เสี่ยวเม่ย
เอาพวกเขาไปขายในเมืองหลวงดีกว่า” ฮั่วหลิงเทียนเสนอ
“พวกเขาจะได้ราคาดีกว่า หากเอาไปขายที่นั่น”
“จรึงรึเพคะ ?” มู่หรงหยุนชูถาม “จะมีใครซื้อคนไปทั้งฝูงนี้ได้? ก็ดีสิเพคะ
เพราะมันยุ่งยากลำบากต่อหม่อมฉันนัก ถ้าเอาไปขายทีละคน”
ฮั่วหลิงเทียนสแยะยิ้มราวกับเพชฌฆาต “ที่วังหลวงไง”
ดวงตาของชายเหล่านั้นหันไปมองฮั่วหลิงเทียนอย่างพร้อมเพรียงกันราวกับอยากจะฆ่าเขาให้ตาย
[1]เสี่ยวเม่ย =น้องสาวตัวน้อย
โอ๊ย สนุกมากเลยค่ะ
ตอบลบพวกหัวหน้าทิศทั้งสี่นี่มันเต็มไหมค่ะเนี่ย..555
ตอบลบ