“ก็ยังต้องขายพวกเขาทีละคนอยู่ดีเพคะ” มู่หรงหยุนชูถามขึ้นด้วยความฉลาดหลักแหลม
“เสี่ยวเม่ย เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาขายตัวเองดีหรือไม่?”
ฮั่วหลิงเทียนที่เอาใจมู่หรงหยุนชูทำให้เหล่าชายชุดแดงสะดุ้งเล็กๆ
“เช่นนั้นแล้วพวกเขาควรไปขายตัวและให้หัวหน้าพวกเขานำเงินมาส่งที่นี่ดีไหมเพคะ”
มู่หรงหยุนชูพูดขึ้นด้วยความโล่งใจ
ชายเหล่านี้ไม่อาจโกรธใส่ฮูหยินฉู่ของพวกเขาได้ ทั้งหมดล้วนได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติต่อคู่หมั้นของท่านประมุขประหนึ่งมารดาพวกเขาเอง คนเหล่านี้เคยฆ่าคนมามาก ทว่า...ยังไม่เคยฆ่ามารดาของตนเอง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีสิ่งใดมาห้ามไม่ให้ชายเหล่านี้ฆ่าฮั่วหลิงเทียนได้
ฮั่วหลิงเทียนมีองค์รักษ์หลายนายคอยอารักขาเขาอยู่ เสียงดาบหลายเล่มที่เคลื่อนออกจากฝักไม่ได้ทำให้ฮั่วเหลียงเทียนหวาดกลัวแต่อย่างใด
หัวหน้าทิศทั้งสี่มองดูฮั่วหลิงเทียนที่นิ่งสงบไร้ความหวาดกลัวบนใบหน้า และรู้ว่าบุรุษผู้งามสง่าตรงหน้านี้มีฝีมือไม่ธรรมดา ซึ่งพวกเขาไม่ควรประมาท
ลู่จีกระตุกแขนเสื้อมู่หรงหยุนชูด้วยความหวาดหวั่น “คุณหนู
คิดหาทางหยุดพวกเขาไม่ให้สู้กันหรือยังเจ้าคะ”
มู่หรงพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแข็งขันพลางพูดขึ้นว่า “สถานที่เหมาะให้พวกท่านฟาดฟันกันให้ตายไปข้างหนึ่งอยู่บนเขาสุสาน นอกเมืองไปทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ”
ลู่จีอยากจะร้องให้ออกมา คุณหนูนะคุณหนู ฝ่ายหนึ่งคือว่าที่สามีในอนาคตของนางขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคือญาติผู้พี่ ไฉนมู่หรงหยุนชูถึงแสดงออกให้พวกเขาฆ่ากันเหมือนไม่ใช่เรื่องของตนเอง? ใบหน้าของมู่หรงหยุนชูเอิบอาบไปด้วยแสงแห่งบุญบารมีประหนึ่งนางเป็นหญิงใจบุญที่บริจาคข้าวปลาอาหารให้แก่คนยากจนปีละสองสามครั้ง เลยได้รับการขนามนามว่าแม่พระผู้ประเสริฐ
ฮั่วหลิงเทียนหัวเราะออกมาทว่าดวงตาฉายแววขมขื่น เขารู้สึกผิดหวังที่สายสัมพันธ์ของเขากับมู่หรงหยุนชูยังไม่แข็งกล้าพอจะมีผลกระทบกับความสงบเยือกเย็นของนางในระหว่างสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้
เหล่าชายชุดแดงรู้สึกเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจยิ่งนักหากฮูหยินฉู่ผู้ไร้เมตตาไม่ได้แต่งงานกับท่านประมุขของพวกเขา
หัวหน้าทิศบูรพาส่งยิ้มไม่น่าไว้วางใจขณะตั้งใจเดินตรงมาหาฮั่วหลิงเทียนเพื่อแก้ต่างให้นายหญิงในอนาคตของตน
“คุณชายฮั่ว ฮูหยินฉู่มีอารมณ์ไม่ใคร่ปกตินัก โปรดอย่าได้คิดแย่ๆกับฮูหยินฉู่เด็ดขาด”
ฮั่วหลิงเทียนจับดาบมั่น
และเตรียมตัวพร้อมรับการโจมตี “หยุนซูและข้าเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่สนิทสนมกันมาก ข้าเข้าใจอารมณ์ของนางดีกว่าคนนอกอย่างพวกเจ้า”
เหล่าชายฉกรรจ์รู้ว่าฮั่วหลิงเทียนกำลังตกเป็นเหยื่อของพวกเขา และทำให้พวกเขารู้สึกคันไม้คันมืออยากฟาดฟันผู้ที่กล้าต่อกรกับคนของพรรคมาร เอาให้เละเป็นโจ๊กไปเลย
มู่หรงหยุนชูไม่สนใจมองภาพเหตุการณ์รุนแรงตรงหน้าเลย นางหาวออกมา หมุนตัวเตรียมจะจากไปยังเรือนพักของตน หูพลันได้ยินเสียงเนือยๆที่แฝงความเย่อหยิ่งดังขึ้นภายนอกประตู
“คุณชายฮั่ว ท่านแน่ใจรึว่าท่านคือคนที่สนิทสนมกับฮูหยินฉู่ที่สุด?”
มู่หรงหยุนชูมองไปทางเจ้าของเสียง
ผู้ชายที่สวมเสื้อคลุมสีขาวบริสุทธิ์ซึ่งปรากฏตัวขึ้นราวกับเทพเซียนผู้เหาะลงมายังแดนมนุษย์ ผมยาวสยายไม่ได้เกล้าขึ้นเหมือนคุณชายคนอื่นๆ ปลิวไสวไปกับสายลม ความหยิ่งผยองสูงส่งช่างเหมาะเจาะกับใบหน้าอันหล่อเหลางดงามของเขายิ่งนัก
“คารวะ...ท่านประมุขฉู” ชายทั้งกลุ่มกล่าวขึ้นพร้อมกันพลางคุกเข่าลง
กลุ่มชายฉกรรจ์ดีใจนักเมื่อผู้ยิ่งใหญ่ปานขุนเขาปรากฏตัวขึ้นเพื่อจัดการกับฮั่วหลิงเทียนที่กล้าเป็นปฏิปักษ์กับพวกเขา
พวกเขาเรียกฉู่ฉางเกอในฐานะท่านประมุข ทำให้มู่หรงหยุนชูมั่นใจในการคาดเดาของตนเอง สายตานางจดจ้องไปที่ฉู่ฉางเกอโดยไม่รู้ตัว
บุรุษรูปงามปานล่มเมืองที่แฝงอันตรายคนนี้คือว่าที่สามีในอนาคตของนางหรือนี่ ทว่า...นางไม่รู้สึกประหลาดใจเลย
ครั้นเมื่อเห็นตัวจริงของเขาทำให้นางแน่ใจในสัญชาติญาณว่านางเคยพบเขามาก่อน
ณ ที่ใดที่หนึ่งในอดีต
ฉู่ฉางเกอโบกมือขึ้นราวกับฮ่องเต้
เป็นสัญญาณให้คนของเขายืนขึ้น ครั้นแล้วเขาได้เดินเข้ามาหามู่หรงหยุนชูพลางพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองกับนาง
“ฮูหยิน ให้อภัยสามีเจ้าด้วยที่มาสาย
และปล่อยให้เจ้าหวาดกลัว”
มู่หรงหยุนชูขยับตัวออกห่างฉู่ฉางเกอไป
1 ก้าว
เป็นการปรากฏตัวของเขาต่างหากที่ทำให้นางหวาดกลัว ทว่า..เขายังคงก้าวเข้ามาใกล้นางขึ้นอีก 1 ก้าว
ขณะที่นางเตรียมตัวจะเผ่นหนีแล้ว
“พวกเรายังไม่ได้แต่งงานกัน”
มู่หรงหยุนชูกล่าวพลางก้าวถอยหลังไปอีก 1 ก้าว “พวกเราควรทิ้งระยะให้ห่างกันดูจะเหมาะสมกว่า”
“ฮูหยิน
เจ้ากลัวข้างั้นรึ?” ชูจางเคอะส่งรอยยิ้มอันตรายพลางก้าวเข้ามาหาอีก 1 ก้าว
“คนปกติธรรมดาย่อมหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของพรรคโม่เจี่ยว”
มู่หรงหยุนชูเริ่มมองหาทางหนีทีไล่
“แน่นอน คนปกติธรรมดาเช่นข้า
จะไม่เกรงกลัวในการปรากฏตัวของท่านประมุขพรรคโม่เจี่ยวอย่างไรได้” ลู่จีสาวใช้พยักหน้าเห็นด้วยอย่างอึดอัดอยู่ข้างๆ ถึงแม้ ว่าที่ท่านเขยในอนาคตจะหล่อเหลาราวเทพบุตรแต่ก็ดูน่ากลัวยิ่งนัก
“คนปกติธรรมดารึ?” ฉู่ฉางเกอขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
“ฮูหยิน เจ้าเป็นคนของพรรคโม่เจี่ยวแล้ว รู้หรือไม่?”
. “คงมิใช่กระมัง” มู่หรงหยุนชูกล่าวพลางแหงนหน้าขึ้นมองฉู่ฉางเกอเพราะว่าเขาสูงกว่านางมากจริงๆ
“หลังจากที่เราแต่งงานกัน ท่านจะกลายเป็นคนของตระกูลมู่หรง ไม่ใช่ข้าเป็นคนของพรรคโม่เจี่ยว”
มีความกาวเป็นอย่างยิ่ง.....
ตอบลบ