มู่หรงหยุนชูไม่ได้เตรียมการออกเดินทางไปวัดเส้าหลินเป็นจุดหมายแรก เวลานี้คือเดือน 3 ยังมีเวลาอีก 5เดือนจึงจะถึงเดือน
8
บุรุษเช่นฉู่ฉางเกอย่อมไม่แสดงตัวในงานแช่งขันประลองยุทธ์เร็วเกินไปหรือช้าเกินไป ระยะทางจากเมืองจิงเหลียงไปถึงวัดเส้าหลินใช้เวลาเดินทาง
2เดือน ในส่วนของนางเอง ต้องเผื่อเวลาไว้ถึง 3เดือนเพื่อตามล้างตามเช็ดเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นหน้าประตูจวนมู่หรงด้วย
ตั้งแต่มู่หรงเฉิงได้ถึงแก่กรรม สำนักแลกเงินและธุรกรรมกำหนดราคาแร่เงินของตระกูล ขาดทุนเป็นประจำ กิจการใกล้จะล้มละลายเต็มทีแล้ว เมื่อเห็นตระกูลใกล้จะทรุด นางก็ได้แต่กลุ้มใจ หุ้นส่วนทั้งหลายดูเหมือนไม่ช่วยอะไรเลย นางจึงใช้ชีวิตในแต่ละวัน เพื่อกิน นอน อ่านหนังสือ
เดินหมากกระดาน และเล่นดนตรี แสนจะสบายยิ่งนัก
“คุณหนู...ท่านไม่สามารถทำตัวให้เหมือนคนปกติทั่วไปได้เลยหรือเจ้าคะ?”
ลู่จีเอ่ยถามด้วยความกังวล
มู่หรงหยุนชูนั่งอาบแดดบนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน “ลู่จี หากเจ้ายังคงส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจอยู่อย่างนี้ ระวังเจ้าจะกลายเป็นนกกระจอกเอานะ”
“คุณหนู
ขณะนี้ผู้คนกำลังร่ำลือว่าตระกูลมู่หรงร่วมมือกับพรรคโม่เจี่ยวทำร้ายใต้หล้า
ทางราชสำนักกำลังหวังว่าตระกูลมู่หรงจะเสื่อมถอยไปเรื่อยๆ และต่างพนันกันว่าเมื่อไรตระกูลมู่หรงจะล่มสลายนะเจ้าคะ”
“ก็ปล่อยให้พวกเขาคอยเฝ้าดูกันไป”
“คุณหนู ท่านได้วางแผนแก้ไขอันใดบ้างหรือยังเจ้าคะ?
“มี...ไม่ร่วมมือกับพรรคโม่เจี่ยวเพื่อทำร้ายใต้หล้า”
ลิ้นของลู่จีแข็งค้าง
เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่าง มู่หรงหยุนชูได้รอคอยการมาถึงของใครบางคน
“ท่านเฉียนซ่งก่วน ท่านหยินซ่งก่วน นี่คือสมุดบันทึกที่ข้าได้ตรวจสอบเมื่อสิบวันที่แล้ว”
มู่หรงหยุนชูกล่าวพลางส่งสมุดให้กับทั้งสองคน “สำนักแลกเงินให้ปิดทำการสิบวัน
ส่วนธุรกรรมกำหนดราคาแร่เงินยังคงดำเนินงานต่อไป”
ผู้ตรวจสอบทั้งสองต่างตกตะลึง “กิจการกำหนดราคาแร่เงินขาดทุนมากขอรับ
อยู่ได้เพราะได้เงินช่วยเหลือจากสำนักแลกเงิน
และคงไม่สามารถอยู่รอดได้เกินสองสามวันนี้ หากจะเลิกกิจการไปตัวหนึ่ง ควรจะปิดกิจการกำหนดราคาแร่เงินนะขอรับ”
“ท่านทั้งสองไม่คิดว่ามีบางสิ่งส่งกลิ่นตุๆรึ?”
“ทำไมรึขอรับ?” ผู้ตรวจสอบกิจการแลกเงินเอ่ยถาม
“เมื่อตอนที่พ่อข้ายังมีชีวิตอยู่ กิจการสำนักแลกเงินเฟื่องฟูมาก ทว่า..ท่านพ่อถ่ายเทเงินจากสำนักแลกเงินไปให้กิจการกำหนดราคาแร่เงินบ่อยครั้ง แล้วเงินมันก็หายไป ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งให้ท่านถึงแก่กรรม หลังจากนั้นสำนักแลกเงินก็ใกล้ล้มละลาย อย่างไรก็ตาม ท่านพ่อเป็นคนฉลาด เหตุใดท่านจะทำลายสำนักแลกเงินของตนเองเล่า?”
“เกี่ยวกับเรื่องนี้...”
หยินซ่งก่วน ผู้ตรวจสอบกิจการกำหนดราคาแร่เงินงุนงง สับสน ส่งสายตาไปหา เฉียนซ่งก่วน ผู้ตรวจสอบสำนักแลกเงิน
ความเจ็บปวดปรากฏบนดวงตาของเฉียนซ่งก่วน “นายท่านพูดแต่เพียงว่าท่านจำเป็นต้องทำ
ท่านไม่เคยอธิบายเหตุผลเลยขอรับ”
มู่หรงหยุนชูพยักหน้าเบาๆ
และยื่นจดหมายให้เฉียนซ่งก่วน “นี่คือข่าวที่ส่งมาจากเมืองหลวง”
เมื่อชายผู้มีอาวุโสอ่านจดหมายแล้วพลันปากคอสั่น
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
เหตุใดราชสำนักถึงไปบังคับยืมเงินจากสำนักแลกเงินไฮ่เฟิ่งเฉียนล่ะ?
“ราชสำนักต้องการมีส่วนร่วมในการปฏิรูป เตรียมพร้อมจะออกตั๋วเงินอย่างเป็นทางการ ทว่าต้องได้รับการสนับสนุนจากสำนักแลกเงินที่ทรงอำนาจ สำนักแลกเงินฮั่วเฟิงเป็นสำนักแลกเงินใหญ่โตเพียงแห่งเดียวของราชสำนัก ทันทีที่ราชสำนักลงมือ การปฏิรูปก็สำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว”
เฉียนซ่งก่วน ผู้ตรวจสอบสำนักแลกเงินเข้าใจในฉับพลัน ว่าเหตุใดนายท่านถึงกระหายจะยักย้ายเงินออกไปนัก ถึงแม้จะให้ราชสำนักกู้ แต่ก็คงไม่ได้คืนและคงกลายเป็นหนี้สูญ
“คุณหนู
ท่านคิดจะส่งคนไปสอบถามข่าวคราวที่เมืองหลวงหรือไม่?” หยินซ่งก่วน ผู้ตรวจสอบกิจการกำหนดราคาแร่เงินยังสงสัย
“การที่ญาติผู้พี่มาเยี่ยมเยียนอย่างกะทันหัน ทำให้ข้านึกออก คราแรกข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านพ่อถึงอยากถ่ายเทเงินเกือบทั้งหมดออกจากสำนักแลกเงินนัก
จนกระทั่งญาติผู้พี่มาเมืองจิงหลิงเมื่อสองสามวันก่อน
และข้าเริ่มตระหนักว่านั่นคงเกี่ยวข้องกับราชสำนักเป็นแน่ เขาคงถูกส่งให้มาสืบข่าว”
ฮั่วหลิงเทียนไปอยู่เมืองหลวงได้สี่ปีแล้ว เขาไม่เคยกลับเมืองจิงเหลียงอีกเลย ทั้งๆที่ครอบครัวนางและเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมายาวนาน แม้แต่ตอนที่บิดาของนางตาย
ฮั่วหลิงเทียนเพียงแค่ส่งจดหมายปลอบใจมาเท่านั้น เนื่องจากไทเฮาไม่อนุญาตให้ชายหนุ่มออกนอกวัง ทว่า...เมื่อสองสามวันก่อน ทางฮั่วหลิงเทียนกลับมาเมืองจิงเหลียนกะทันหัน สาเหตุต้องมาจากไทเฮาแน่ และคงเกี่ยวกับตระกูลมู่หรง
ชัดเจนแล้ว
ฮั่วหลิงเทียนมาเมืองจิงหลิงเพื่อมาสืบข่าวอย่างแยบยล และเพื่อมาสู่ขอนางแต่งงาน หวังว่าด้วยการแต่งงาน นางจะยกสำนักแลกเงินไฮ่เฟิ่งเฉียนให้เขา ทว่าตัวนางเองได้ปฏิเสธเขาไป
หลังจากใคร่ครวญเรื่องนี้ มันทำให้นางเห็นว่าราชสำนักโหดเหี้ยมเพียงไร แค่เวลาเพียงสี่ปีฮั่วหลิงเทียนยอมละทิ้งความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องเพื่อใช้นางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง
“คุณหนู...เราควรทำอย่างไรดีขอรับ?”
หยินซ่งก่วนเอ่ยถามด้วยความหนักใจ “เราจะเป็นเป้าให้เขาโจมตีเช่นนี้ต่อไปหรือขอรับ เราจะรอจนสำนักแลกเงินไฮ่เฟิ่งเฉียนถูกราชสำนักยึดไปหรือขอรับ
อีกไม่นานตระกูลมู่หรงก็จะตามไปเป็นรายต่อไปเป็นแน่”
“ไม่มีใครสามารถเอาสิ่งใดไปจากตระกูลมู่หรงได้หรอก หากข้ายังอยู่” มู่หรงหยุนชูกล่าวเสียงเย็น
“ทว่า...เราไม่สามารถต่อกรกับอำนาจของราชสำนักได้นะขอรับ” เฉียนซ่งก่วนหนักใจ
แม้แต่นายท่านที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวยังต้องยอมรับชะตากรรม แล้วใครหนอจะช่วยสำนักแลกเงินไฮ่เฟิ่งเฉียนได้
“แต่มีคนผู้หนึ่งทำได้”
“ใครกันขอรับ?”
“พระพุทธองค์”
ผู้ตรวสอบทั้งสองไม่เข้าใจว่ามู่หรงหยุนชูจะมาตลกอะไรในช่วงเวลาที่วิกฤตินี้
**
หลังจากส่งผู้ตรวจสอบทั้งสองกลับไปแล้ว
มู่หรงหยุนซูกลับเข้าไปในสวนกลางแจ้ง
เวลานี้คงต้องงดหนังสือคำกลอนไปก่อน
“คุณหนู...น้ำชาท่านพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”
ลู่จียกถ้วยน้ำชาส่งให้มู่หรงหยุนชู ดวงหน้าสาวใช้เศร้ามาก คุณหนูของนางยุ่งมาก ยุ่งเกินไป ยุ่งจนทำให้ผู้คนเจ็บแค้น
“อา..” ทันใดนั้นนายสาวผลุดลุกจากเก้าอี้หิน กระโดดไปสองก้าว ทำให้ถ้วยกระเบื้องที่มีน้ำชาตกลงไปบนหนังสือ เคราะห์ดีลู่จีคว้าถ้วยไว้ได้ทันก่อนมันจะกลิ้งตกลงไปบนพื้น
“ลู่จี...เจ้าอยากฆ่าคุณหนูของเจ้าใช่หรือไม่?” มู่หรงหยุนชูบ้วนน้ำชาที่ลวกลิ้นลงบนพื้น
“คุณหนู
บ่าวไม่รู้ว่าคุณหนูจะรีบดื่มชาเร็วขนาดนี้” ลู่จีก็บ้วนน้ำชาด้วย พลางหัวเราะตัวงอ อาในที่สุดนางก็ทำให้คุณหนูมาดนิ่ง กระโดดได้สำเร็จ สวรรค์ทรงโปรดแล้ว อา...
“แล้วเจ้ารู้อะไรกับเขาบ้างเล่า?”
“คุณหนูอย่าไล่ข้าออกเลยนะเจ้าคะ”
ลู่จีวิงวอน “บ่าวสัญญา ว่าในภายหน้า
บ่าวจะคิดให้เหมือนกับพยาธิในท้องคุณหนูเลยเจ้าค่ะ”
“เจ้ากำลังสาปแช่งให้พยาธิมาโตในท้องข้ารึ?”
“คุณหนู...สวรรค์รู้ว่าบ่าวน่าจะสาปแช่งตัวเองมากกว่าสาปแช่งคุณหนูนะเจ้าคะ
“ เวลานี้ลู่จีอยากไปผูกคอตายให้รู้แล้วรู้รอดนัก
มู่หรงหยุนซูเลิกคิ้ว เริ่มเชื่อคำอ้างของลู่จี
จึงหยิบหนังสือที่เปียกขึ้นมาเพื่อสะบัดน้ำชาออกไปเบาๆ จากนั้นเอาหนังสือไปผึ่งแดดบนโต๊ะหิน ก่อนจะหันไปรินชาที่เย็นลงบ้างแล้ว
“คุณหนู! “ ลู่จีร้องออกมา
และชี้ไปที่หนังสือคำกลอน “มีตัวอักษรปรากฏอยู่บนหนังสือด้วยเจ้าค่ะ”
“หากไม่มีตัวอักษรบนหนังสือ
แล้วยังจะเรียกว่าหนังสือไหม “ มู่หรงหยุนชูกล่าวอย่างฉุนเฉียว ยังคงเดินออกไปโดยไม่หันกลับไปดู
ลู่จีหยิบหนังสือที่เปียกน้ำมาให้มู่หรงหยุนชูดู
“คุณหนู
ลองดูใกล้ๆสิเจ้าคะ” ลู่จีชี้ไปที่ตัวอักษรสีเทา
“ท่านเห็นไหม”
“ดาบ”
มู่หรงหยุนชูอ่านออกมาคำหนึ่งด้วยควมประหลาดใจ หนังสือที่เปียกน้ำชา ปรากฏคำออกมาคำหนึ่งซึ่งดูคล้ายกับคำว่า ‘ดาบ’
“ลู่จีไปเอาน้ำมาให้ข้าที่นี่กะละมังหนึ่งสิ”
“เจ้าค่ะ
คุณหนู”
เมื่อได้กะละมังใส่น้ำแล้ว มู่หรงหยุนชูจุ่มหน้าหนึ่งของหนังสือเล่มนั้นลงในกะละมังใส่น้ำ แล้วจุ่มต่อไปทีละหน้า สองสามหน้าแรก
และสองสามหน้าสุดท้ายไม่มีถ้อยคำปรากฏ
ยกเว้นหน้ากลางๆของหนังสือ เมื่อนำคำที่ปรากฏขึ้นหลายคำมารวมกัน
ทำให้เห็นเป็นข้อความดังนี้ “เงินห้าสิบล้านตำลึงเงินเก็บไว้ที่สำนักดาบหมิงเจี้ยน”
ห้าสิบล้านตำลึง!
คือจำนวนเงินที่หายไปจากตระกูลมู่หรงพอดีไม่ขาดไม่เกิน มู่หรงหยุนชูเข้าใจแล้วว่าเหตุใดตระกูลมู่หรงถึงหาเงินที่หายไปไม่พบ บิดาของนางได้ซ่อนไว้ที่สำนักดาบหมิงเจี้ยนนี่เอง
และจึงเป็นเหตุผลที่ฟางหงเฟยถึงกับรีบยกเลิกการหมั้นหมาย ทว่า... สิ่งที่นางไม่เข้าใจคือตอนที่บิดายังมีชีวิตอยู่ เหตุใดท่านถึงไม่บอกกับนางจากปากโดยตรง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น