“มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นรึ?” มู่หรงหยุนชูถามขึ้น
“คุณหนู...มีคนพยายามพังประตูสำนักแลกเงินไฮ่เฟิ่งเฉียน เนื่องจากสำนักแลกเงินหยุดกิจการจากปัญหารุมเร้า
ไม่มีใครยอมรับตั๋วแลกเงินของสำนักแลกเงินเราอีกต่อไป ผู้คนต่างโกรธแค้นมาก
ข้าเกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องบานปลายแล้วขอรับ” เฉียนซ่งก่วน ผู้ตรวจสอบสำนักแลกเงินรายงาน
มู่หรงหยุนชูขมวดคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่เป็นนานก่อนจะเอ่ยปาก “จงไปถ่ายทอดข้อความข้า ตระกูลมู่หรงมีพรรคมารเป็นพันธมิตร ใครก็ตามที่กล้าก่อความเดือดร้อนให้ตระกูลมู่หรงถือเป็นศัตรูกับพรรคโม่เจี่ยวด้วย”
“คุณหนู...นี่จะไม่เป็นการไปยั่วยุสาธารณชนหรอกรึ?”
“อย่าได้วิตกไป พวกเขาไม่กล้าพอไปล้ำเส้นพรรคโม่เจี่ยวหรอก”
“แต่นั่นหมายถึงชื่ออันเสียงดีงามของตระกูลมู่หรงได้ถึงจุดจบแล้วนะขอรับ”
เฉียนซ่งก่วนหนักใจ
มู่หรงหยุนชูเลิกคิ้ว “ชื่อเสียงดีงามจะไปมีค่าอะไรเล่า
หากเราต้องล้มละลายขึ้นมา?”
“ได้ขอรับ คุณหนู”
เฉียนซ่งก่วนไม่เข้าใจว่ามู่หรงหยุนชูคิดวางแผนสิ่งใดอยู่ในใจ ทว่า..เขาก็ออกไปปฏิบัติตามคำสั่งของนาง
“คุณหนู...นี่เท่ากับท่านกำลังต่อสู้แบบสุนัขจนตรอกเลยนะเจ้าคะ” ลู่จีกล่าวขึ้นด้วยความวิตกกังวล
“ข้าจะยืมสุนัขตัวนี้ช่วยข้าโจมตีฝ่ายตรงข้าม”
“คุณหนู...ท่านกำลังแช่งนายท่านฉู่เป็นสุนัขนะเจ้าค่ะ”
“ก็ยังดีกว่าแช่งตัวข้าเอง”
“จะมีคนยอมแต่งให้เขาด้วยเหตุผลอื่นใดอีกรึ?” มู่หรงหยุนชูถามลู่จีต่อ
“คุณหนู...นั่นคือเหตุผลที่ท่านอยากแต่งให้นายท่านฉู่หรือเจ้าคะ?”
“ไม่ใช่”
ลู่จีเบาใจขึ้นว่ามู่หรงหยุนชูอาจจะมีใจให้ฉู่ฉางเกอบ้าง
“ข้าชอบที่เขาสะสมเงินทองสมบัติมีค่าไว้มากกว่า” มู่หรงหยุนชูเฉลย
“คุณหนู...ท่านช่างเกินไปแล้ว”
“อืม..หรือข้าควรจะละโมบมากกว่านี้นะ” มู่หรงหยุนชูรำพึง
ข่าวลือเรื่องฟางหงเฟยนำคนไปข่มขู่ตระกูลมู่หรงแพร่สะพัดไปทั่วโลกยุทธภพอย่างรวดเร็ว จนรู้ไปถึงหูฉู่ฉางเกอ
“ประมุขฉู่ ,เพียงท่านบอกมาคำเดียว ข้าจะไปทำลายสำนักดาบหมิงเจี้ยนให้ย่อยยับ” หัวหน้าทิศบูรพากล่าวอาสาเป็นคนแรก
“ข้าจะฆ่าล้างตระกูลเขาให้หมดเลย” หัวหน้าทิศทักษิณอาสาร่วมด้วย
“ข้าจะไปขุดหลุมศพบรรพบุรุษเขาขึ้นมา” หัวหน้าโม่ทิศประจิมเสนออย่างมาดมั่น
“แล้วข้าควรทำอันใดดี?” หัวหน้าทิศพายัพลังเล “นอนกับผู้หญิงของเขาดีหรือไม่?”
“ทำไมเจ้าถึงต้องการนอนกับผู้หญิงของเขา?”
หัวหน้าทิศประจิมสงสัย
“ผู้หญิงของประมุขฉู่ดีกว่าผู้หญิงของฟางหงเฟยเป็นสิบเท่า...คือ..ข้าหมายถึง...”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?!” ฉู่ฉางเกอถามใบหน้ามืดครึ้มลงหลายส่วน “เจ้าพูดว่าเจ้าต้องการนอนกับข้า หรือนอนกับผู้หญิงของข้า?”
“ข้า...” หัวหน้าทิศประจิมกล่าวตะกุกตะกัก พลางส่งสายตาขอร้องหัวหน้าทิศที่เหลือทั้งสามให้ช่วยชีวิตเขาด้วย
“เหตุใดน้องหัวหน้าทิศประจิมถึงอยากนอนกับผู้ชายเล่า?”
หัวหน้าทิศทักษิณถามขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้
“อาจเป็นเพราะเขาอยากนอนกับประมุขฉู่และฮูหยินฉู่พร้อมๆกันก็เป็นได้”
หัวหน้าทิศพายัพช่วยอธิบายด้วยความหวังดี
หัวหน้าทิศประจิมถูกพี่น้องร่วมสาบานทรยศเสียแล้ว
เกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มพี่น้องที่เคยช่วยเหลือซึ่งกันและกันตั้งแต่เข้ามาร่วมงานกับพรรคโม่เจี่ยว? ตายล่ะ...ท่านประมุขดูท่าทางพร้อมที่จะถลกหนังเขาอยู่รอมร่อแล้ว
“หมู่นี้...ข้าไม่ใคร่รีบ” ฉู่ฉางเกอกล่าวพลางส่งยิ้มชั่วร้าย
“เอาไว้ขากลับ ข้าจะเปลี่ยนมาใช้เกี้ยวแทนม้าเวลาเดินทาง”
“ท่านประมุฉู่ ข้าจะช่วยหาเกี้ยวที่โอ่อ่าหรูหราระดับราชวงศ์ใช้มาให้ท่านขอรับ” หัวหน้าทิศประจิมรีบกล่าวประจบประแจงเพื่อสวัสดิภาพของตนเอง
“เจ้าทำได้แน่นอน ข้าเลือกใช้เพียงสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น”
ฉู่ฉางเกอกล่าวเสียงเย็นเยียบ
“และเพื่อเป็นการประหยัดเงินทอง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องจ้างคนหามเกี้ยวมาเพิ่ม”
หัวหน้าทิศทั้งสี่เริ่มสังหรณ์ใจแล้วว่าฉู่ฉางเกออยากให้พวกเขาเป็นคนหามเกี้ยวเป็นแน่
“เจ้าทั้งสี่คนจะได้เป็นคนหามเกี้ยวของข้า”
ฉู่ฉางเกอกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
นั่นไงเขาคาดไว้มิผิด แม่นยิ่งกว่าดูหมอนัก
“ประมุขฉู่ เวลานี้ค่าจ้างคนหามเกี้ยวถือว่าถูกยิ่งนัก” หัวหน้าทิศบูรพารีบโน้มน้าวท่านประมุข
“ท่านประมุขฉู่ แม้แต่ค่าจ้างคนหามเกี้ยวเราก็สามารถจ่ายแทนท่านได้”
หัวหน้าทิศทักษิณช่วยเกลี้ยกล่อมอีกแรง
“แม้แต่เกี้ยวที่ดีที่สุดเราก็หาซื้อให้ท่านได้” หัวหน้าทิศประจิมพูดอย่างแข็งขัน
“ใช่ขอรับ แม้แต่เกี่ยวที่ดีที่สุดเราก็เป็นให้ท่านได้” หัวหน้าทิศพายัพกล่าวรวดเร็วโดยไม่ทันคิด
“น้องหัวหน้าทิศพายัพ!”
หัวหน้าทิศที่เหลือทั้งสามร้องขึ้นพร้อมกัน
“ทะ..ท่านประมุขฉู่ ข้ากล่าวอันใดผิดรึขอรับ” หัวหน้าทิศพายัพกล่าว
ฉู่ฉางเกอตบหลังหัวหน้าทิศพายัพดังป้าบ “หัวหน้าทิศพายัพรู้วิธีสร้างความสุขให้ข้า เจ้าทั้งสามคนคนควรเรียนรู้จากหัวหน้าทิศพายัพไว้เป็นตัวอย่างนะ”
ครานี้...ถึงคราวหัวหน้าโม่ทิศพายัพที่รู้สึกถึงรังสีอำมหิตที่ส่งจากพี่น้องร่วมสาบานเขา
“ท่านประมุขฉู่ เช่นนั้น...พวกเราจะทำลายสำนักดาบหมิงเจี้ยนก่อนแล้วค่อยกลับมาเป็นเกี้ยวให้ท่านนะขอรับ” หัวหน้าทิศบูรพากล่าวขึ้น
“จงให้เหตุผลข้ามาสิว่าทำไม”
“ฟางหงเฟยได้ระดมคนมาเล่นงานฮูหยินฉู่ขอรับ”
“เขาทำสำเร็จหรือไม่”
ฉู่ฉางเกอไม่เชื่อว่าว่าที่ภรรยาเขาจะถูกรุมกินโต๊ะง่ายๆ
“ไม่ขอรับ ทว่า..เขามีเจตนาที่”
“มีเจตนาอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ” ฉู่ฉางเกอกล่าว “เหตุผลที่พรรคเรายึดมั่นคือสังหารคนชั่ว เพื่อทรงไว้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรี
หากพวกเจ้ากระทำการบุ่มบ่ามจะทำให้ชื่อเสียงของพรรคเรามัวหมองได้ “
แค่นี้ชื่อเสียงของพรรคยังมัวหมองไม่พออีกรึ? หัวหน้าทิศทั้งสี่ต่างคิดในใจเหมือนกัน
**
เช้าวันต่อมา
มีข่าวแพร่สะพัดออกไปทั่วยุทธภพว่าชายทั้งหมดของสำนักดาบหมิงเจี้ยนโกนหัวตนเองและเขียนด้วยหมึกดำที่หัวว่า
“ฉู่มาที่นี่เพื่อสั่งสอน”
“ท่านพ่อ ฉู่ฉางเกอมันหยามสำนักดาบหมิงเจี้ยนเรานัก” ฟางหงเฟยกล่าวขึ้นด้วยความแค้น “ทำไมเราไม่ขอให้คนในโลกยุทธภพช่วยเราทำลายพรรคโม่เจี่ยวเล่า?”
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร?” ฟางฉิงเฉิงตะคอกใส่ “เหตุใดเจ้าถึงกล้าไปกำหนดให้คนอื่นทำงานสกปรกด้วย?”
“ท่านพ่อ พวกพรรคโม่เจี่ยวป็นพวกที่ทำแต่สิ่งชั่วร้าย ทุกคนอยากทำลายพวกมันนัก”
“ฉู่ฉางเกอเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง อย่าได้ประเมินความแข็งแกร่งของพรรคโม่เจี่ยวต่ำไป”
ฟางหงเฟยใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ถามอย่างไม่พอใจ “ท่านพ่อ เราไม่สามารถอยู่เฉยๆแล้วปล่อยให้ผู้คนหัวเราะเยาะเรานะ”
“หากเจ้าเอาแต่ยุ่งกับเรื่องหยุมหยิม จะเสียงานใหญ่เอาได้”
“แต่ทว่า...” ฟางหงเฟยยังตื๊อต่อไป
“เหตุใดเจ้าถึงดื้อดึงเช่นนี้?” ฟางเฉิงเฉิงเริ่มรำคาญ
“ข้า..” ฟางหงเฟิงกำมือแน่น สายตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างรุนแรง “ซักวันหนึ่ง
ข้าจะทำให้ฉู่ฉางเกอมาร้องขอความเมตตาภายใต้คมดาบข้าให้ได้ “ ฟางหงเฟยกล่าวพลางเดินจากไปอย่างฉุนเฉียว
“ท่านพี่...ลูกเฟย...” ฮูหยินฟาง มารดาของฟางหงเฟยเดินเข้ามาหาสามีด้วยสีหน้ากังวลใจ
“ปล่อยเขาไปก่อน” ฟางเฉิงเฉิงกล่าวพลางถอนหายใจ
ฟางเฉิงเฉิงเสียใจนักที่ปล่อยให้ฟางหงเฟยถอนหมั้นกับคุณหนูตระกูลมู่หรง
เขาได้วางอนาคตของสำนักดาบหมิงเจี้ยนไว้กับฟางหงเฟย
ทว่า..การฟูมฟักเมล็ดพันธ์ย่อมต้องรอคอยผลตอบแทนของมันในอนาคต
**
ในสวนที่มีแต่ดอกไม้ส่งกลิ่นหอมของตระกูลมู่หรง ลู่จีกำลังเล่าเรื่องข่าวลืออย่างออกรสออกชาติเกี่ยวกับการที่ฉู่ฉางเกอแก้แค้นให้มู่หรงหยุนชู ขณะที่มู่หรงหยุนชูกำลังวาดภาพอย่างมีสมาธิ
“คุณหนู...นายท่านฉู่ช่างน่าทึ่งจริงๆเจ้าค่ะ” ลู่จียกย่องชื่นชมดวงตาเพ้อฝัน
“อืม” มู่หรงหยุนชูส่งเสียงไม่ยินดียินร้าย
“เป็นการแสดงให้เห็นว่านายท่านฉู่ใส่ใจคุณหนูนะเจ้าคะ”
มู่หรงหยุนชูทำหน้าแขยงเมื่อคิดถึงวิธีที่ฉู่ฉางเกอแสดงความใส่ใจ “ลืมเรื่องนี้ซะ”
“ทุกๆคนต้องอิจฉาคุณหนูแน่เลยเจ้าค่ะ ที่จะได้แต่งงานกับสุภาพบุรุษที่ดีเช่นนี้”
อิจฉางั้นหรือ ไม่มีทาง
ใครอยากจะเกี่ยวข้องกับพรรคมารกัน มู่หรงหยุนชูยิ้ม “แต่งงานรึ?”
“คล้ายๆอย่างนั้นเจ้าค่ะ”
ทันใดนั้นลู่จีมองภาพด้วยสีหน้าแปลกๆพลางถามขึ้น
“คุณหนู...เหตุใดถึงมีภาพคนบนหลังม้าที่ท่านกำลังวาดล่ะเจ้าคะ”
ลู่จีถามพลางจ้องภาพที่มู่หรงหยุนชูวาดตาไม่กระพริบ
“ไม่เห็นมีใครนี่ ลู่เอ๋อร์เจ้าคงไม่เข้าใจคำว่าศิลปะสินะ การจะให้ม้าเดินไปริมหน้าผา ควรจะมีคนชี่พาไป มันไม่ได้เป็นข้อบังคับนี่”
ลู่จีหันกลับไปมองเจ้านายสาวอีกครั้ง
และพบว่าใบหน้าหญิงสาวมีสีแดงขึ้นอย่างน่าสงสัย นางเริ่มเข้าใจเหตุผลทันใด
“คุณหนู..แท้จริงแล้วท่านอยากวาดภาพนายท่านฉู่นั่นเอง..อา”
“ใครอยากจะวาดภาพเขากัน? อย่าได้กล่าววาจาเหลวไหลนะ” ใบหน้าของมู่หรงหยุนชูแดงขึ้นจนถึงใบหูแล้ว
ลู่จีหัวเราะ “บ่าวไม่ได้พูดอะไรเลยเจ้าค่ะ” คุณหนูของนางอายเป็นด้วย ถ้าโลกภายนอกรู้คงเป็นเรื่องราวโด่งดังแน่
“ไปเอากระบอกมาเก็บภาพวาดนี้”
“บ่าวจะไปหากระบอกที่ดีที่สุดมาให้เจ้าค่ะ” ลู่จีทำหน้ายิ้มมีลับลมคมใน แล้ววิ่งออกไป
มู่หรงหยุนชูเอามือพัดใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตนเอง
หญิงสาวหยิบพู่กันขึ้นมาวาดต่อ
ขณะที่นางลากพู่กันวาดใบหน้าเขามันช่างลื่นไหลอย่างเป็นธรรมชาติ นางรู้สึกตกใจที่ใบหน้าเขาสลักไว้ในความทรงจำของนางอย่างล้ำลึก
“แปลกจริง....” มู่หรงหยุนชูรำพึงออกมา
“คุณหนู...แปลกมากที่ท่านวาดภาพนายท่านฉู่ ดูบุคคลิกคล้ายคนธรรมดามากขึ้น” ลู่จีโพล่งขึ้นมาจากทางด้านหลัง มู่หรงหยุนชูที่กำลังครุ่นคิดถึงภาพตรงหน้า พลันเกือบสะดุ้งโหยง หลังจากนั้นสักพักจึงสงบใจได้
“เจ้าไม่คิดว่าเขามีลักษณะของเทพเซียนรึ?”
“ไม่ ท่านวาดเขาดูเป็นคนธรรมดามากกว่าเจ้าค่ะ”
มู่หรงหยุนชูไม่ได้กล่าวออกมาว่าลู่จีมองไม่เห็นเนื้อแท้ของฉู่ฉางเกอ “ลู่จีเจ้าเคยบอกว่าราชสำนักต้องการจับตัวฉู่ฉางเกอใช่หรือไม่?”
“เจ้าค่ะ
คุณหนู” ลู่จีมองซ้ายมองขวาพลางคลี่กระดาษประกาศจับที่ยับยู่ยี่ออกมา มองดูอยู่ครู่หนึ่งพลางพึมพำเบาๆ “บ่าวได้แอบไปเอาภาพวาดใบหน้านายท่านฉู่ที่ติดประกาศจับไว้กลับมาบ้าน นายท่านฉู่มีค่าหัวตามจับสูงมากเลยเจ้าค่ะ ถึง 32,000 ตำลึง ”
“ลู่จี เอาภาพวาดนี้ไปที่กรมอาญาแล้วไปรับรางวัล เจ้าจะได้มีเงินซื้อของที่เจ้าอยากซื้อ”
มู่หรงหยุนชูส่งม้วนภาพให้สาวใข้ลู่จี
“ห้ะ....คุณหนู...ท่านต้องการให้บ่าวเอาภาพวาดนี้ไปให้กรมอาญารึเจ้าคะ” ลู่จีแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
“อืม ภาพวาดที่ติดประกาศจับอันนี้ดูน่าเกลียดเกินไป ไม่เห็นดูเหมือนเขาเลย”
“คุณหนู...จมูกและปากได้สัดส่วนลงตัวอย่างไม่มีที่ติ” ลู่จีเพิ่งเพ่งพิศภาพวาดของนายสาวพลางกล่าว “ทว่า..ชายในรูปภาพดูยังไงก็เหมือนนายท่านฉู่เปี๊ยบ ท่านขอให้บ่าวส่งภาพวาดนายท่านฉู่ให้ศัตรูของเขาหรือเจ้าคะ?
แล้วที่คุณหนูว่าจะสนับสนุนสามีจนกว่าชีวิตจะหาไม่ล่ะเจ้าคะ?”
“อืม เจ้าพูดจามีเหตุผลไม่เบา” มู่หรงหยุนชูพยักหน้าเบาๆ
และหยิบภาพวาดประกาศจับมาพิจารณาอย่างถ้วนถี่ “ทว่า...ฉู่ฉางเกอคงไม่มีทางพึงพอใจกับภาพวาดประกาศจับอันนี้ของเขานักหรอก”
ลู่จีเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
ในใจให้นึกสงสารอนาคตข้างหน้าของฉู่ฉางเกอกับมู่หรงหยุนชูยิ่งนัก
โอ้ยยย เครียดกับนาง
ตอบลบ