วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ภรรยาข้าผู้ร้ายกาจเจ้าเล่ห์ -บทที่ 19 เจอโจรภูเขา

          คงเป็นเพราะประสบกับเรื่องราวอันหนักหน่วงมาหลายวัน  และบางทีเพราะไม่มีใครรบกวนการพักผ่อนอันแสนสุข มู่หรงหยุนชูคนนี้นอนหลับจนเข้าสายๆของอีกวัน จึงได้ลืมตาตื่น  ค่อยๆวางเท้าลงบนพื้นอย่างเชื่องช้า ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ  มือข้างหนึ่งผลักประตู พลางเหยียดแขนอีกข้างชูขึ้น เพื่อบิดเอวไล่ความขี้เกียจให้ออกไป ครั้นแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า  พร้อมกับเอามือปิดปากหาวออกออกมาวอดใหญ่

            นี่ฉิงส่งสายตากล่าวหาอย่างเย็นชา ไปให้บุคลลที่เอาแต่นอนหลับพักผ่อน  ความไม่พอใจและความโกรธกรุ่นฉายชัดบนใบหน้า หากต้องมายืนคอยอยู่หน้าประตูตั้งแต่บ่ายเมื่อวาน  จะมีใครที่ไหนปั้นหน้ายิ้มแย้มได้เล่า
            สายตาเฟิ่งหลิงมองมู่หรงหยุนชู มีแววชื่นชมปนอยู่หลายส่วน  นางไม่อาจสรรหาคำพูดใดๆมาอธิบายองค์ประกอบทุกส่วนที่ลงตัว  จนกลายมาเป็นสุภาพสตรีที่สง่างามถึงเพียงนี้  แม้แต่ยามหาว ยังดูงดงามไม่เปลี่ยนแปลง...
            เมื่อมู่หรงหยุนชูหาวเสร็จ  จึงเดินตรงไปยังศาลาในสวนที่อยู่ห่างออกไปมาก ก่อนจากไป นางได้สั่งสาวใช้ลู่จีให้เอาของทานเล่นมาให้กินด้วย พลางมองผู้มาเยือนทั้งสองที่หน้าประตูด้วยสายตาเรียบเฉย  สีหน้าไม่สนใจ
            “นี่ พี่มู่หรง ท่านจะไปไหน หา? นี่ฉิง คอยท่านตั้งแต่เมื่อบ่ายวานนี้ ช่าง...” เฟิ่งหลิงเอ่ยขึ้น ขณะที่เขายื่นมือมาฉุดเฟิ่งหลิง ให้ถอยกลับ
            นี่ฉิงจ้องเฟิ่งหลิงด้วยสายตาไม่ชอบใจเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้หญิงสาวเงียบๆ จากนั้นเขาก้าวเท้าหนักๆ เดินตามหลังมู่หรงหยุนซูให้ทัน  เฟิ่งหลิงกระพริบตา แล้วรีบเดินตามเพื่อไปเดินเคียงข้างเขา ศีรษะนางเอนมาหาชายหนุ่ม คลอเคลียไม่หยุด
            มู่หรงหยุนชูได้ยินเสียงเท้าเคลื่อนไหวเป็นจังหวะข้างหลัง ให้รู้สึกว่าเฟิ่งหลิงช่างมีพรสวรรค์เสียจริง  ไม่ว่านี่ฉิงจะทำหน้าไม่พอใจใส่นางเท่าไร มู่หรงหยุนชูสงสัยว่าจิตใจเฟิ่งหลิงคงจะมีตัวกรองอัติโนมัติ  โดยเฉพาะเมื่อพบสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ก็จะกรองทิ้งไปทันที
            มีลมหนาวเย็นสายหนึ่งพัดเข้ามา ทำเอามู่หรงหยุนชูหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ทั้งยังอยู่ในโทนอารมณ์ที่พร้อมจะเจรจากิจธุระแล้ว ครั้นแล้วจึงเป็นฝ่ายเปิดปาก “ท่านจงเริ่มเล่าเหตุผลของท่านมาก่อนเถิด” การกินอะไรขณะเดินทอดน่องไปบนทางเดินหินปูน ทำให้ตัวโคลงเคลงไปมา การเดินเล่นบนทางที่ขนาบข้างด้วยดงดอกไม้นานาพรรณ ช่างทำให้ผ่อนคลายสบายใจเป็นที่สุด
            “หยางชางเป็นเมืองชนบทแถบภูเขาอันห่างไกล ทั้งยังอยู่ไกลจากเมืองหลวงมาก....” เมื่อเริ่มเจรจาเรื่องระดับแว่นแคว้น  บังเกิดบรรยากาศเคร่งขรึมขึ้นทันที  เมื่อถ้อยคำเป็นการเป็นงานเหล่านั้นพรั่งพรูออกมา นี่ฉิงคล้ายกับเปลี่ยนเป็นคนละคน เริ่มจะแสดงความคิดเห็นไม่จบไม่สิ้น วาทศิลป์ของชายหนุ่มช่างเป็นเลิศ  สามารถหยิบยกข้อกฏหมาย และหลักคำสอนของปราชญ์สมัยโบราณ ชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อพิสูจน์ว่าเมืองหยางชางไม่เหมาะ เป็นที่สร้างคลังเก็บเงิน ด้วยประการทั้งปวง แถมฮวงจุ้ยยังไม่ดีอีกด้วย
            มู่หรงหยุนชูย่นคิ้ว “ท่านเจ้าหน้าที่นี่  เมื่อไรจะหยุดพล่ามเรื่องฮวงจุ้ย สักชั่วครู่?”
            นี่ฉิงแค่นเสียง ยิ้มเยาะ “ท่านคิดว่าบัณฑิตระดับข้าไม่ดีรึไร?”
            นี่ฉิงถามมาเช่นนั้น นางเองก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร สีหน้าบูดบึ้งไม่พูดไม่จาไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นชา “เรากำลังคุยกันเรื่องปัญหาที่ตั้งคลังเก็บเงิน มีปัญหาอันใดที่ทำให้ท่านคัดค้านหัวชนฝา!”
            ริมฝีปากของนี่ฉิงกระตุก สองสามครั้ง ครางเสียงต่ำในลำคอ พลางเอ่ย ”ฮ่องเต้ทรงตัดสินใจให้สร้างคลังเก็บเงินไว้ใกล้สุสานราชวงศ์”
            “แล้วให้ฉู่ฉางเกอช่วยคุ้มกัน” มู่หรงหยุนชูถามขึ้นน้ำเสียงสบายๆ ไม่มีผู้เหมาะสมอีกแล้วรึ? หญิงสาวคิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย “คุณชายนี่  เนื่องจากท่านทำงานอยู่ในกรม คงผ่านงานบริหารงานมาเป็นอันมาก ย่อมเข้าใจดีว่า สาเหตุหลักที่ราชสำนักทำเช่นนี้ เพราะแคว้นจิวโจว สุสานตั้งอยู่ในภูเขา
หยางหมิงซาน ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองหลวงและแคว้นจิวโจว แม้ว่ามันจะอยู่ห่างจากเมืองหลวงไกลไปหนึ่งร้อยลี้  แต่มันตั้งอยู่ตอนเหนือสุด ยิ่งทำให้ระยะทางติดต่อไกลขึ้น  และแคว้นอื่นอีกแปดแคว้น ก็แยกห่างไกลกัน โดยเฉพาะแคว้นฝูเจี้ยนทางตอนใต้อยู่ห่างใกลที่สุด  ใช้เวลาเดินทางไปกลับนานหลายเดือน  ถ้าปล่อยไว้ลำพังเสียค่ารถขนเงินย่อมไม่คุ้มอยู่แล้ว  
นี่ฉิงปากกระตุก ทว่าไม่พูดอันใดออกมา เขาเข้าใจเรื่องนี้กระจ่างอยู่แล้ว
            มู่หรงหยุนชูกล่าวขึ้นว่า “ชูโจวเป็นฐานที่มั่นสำคัญ ของราชวงศ์ตั้งแต่สมัยโบราณ  มีถนนเชื่อมต่อออกไปทุกทิศทาง การคมนาคมขนส่งสะดวกมาก อีกทั้งแคว้นชูโจวตั้งยังอยู่ตรงกลาง ไม่มีปัญหาใดๆเลย ไม่ว่าจะเดินทางมาจากแคว้นไหน การขนส่งเงินในอดีตก็รวดเร็วมาก เมืองหยางชางไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า สภาพภูมิประเทศที่หลากหลาย  มีความได้เปรียบเรื่องป้องกันการรุกราน หากก่อสร้างคลังเก็บเงินที่นั่น นับว่าเหมาะสมที่สุด  อย่างไรก็ดี” นางหยุดพูดไป แล้วมองหน้านี่ฉิง ดวงตาอ่อนแสงลง  นางไม่มีเจตนาต่อต้านฮ่องเต้เลย  จึงพูดช้าๆอีกครั้ง “ข้า ขอบอกอีกครั้ง หากไม่เชื่อฟังข้า ก็ไม่ต้องทำสิ่งใดเลย” นิ่งคิดสักพัก นี่ฉิงยอมจำนนด้วยเหตุผล “ท่านช่างเป็นแม่ค้าที่เขี้ยวลากดินของจริงแท้!” สายตาที่อึดอัดของชายหนุ่มแฝงความชื่นชมออกมา
            มู่หรงหยุนชูเลิกคิ้ว ตระกูลของนางเป็นตระกูลพ่อค้า แล้วตามธรรมดา นางไม่ใช่พวกพ่อค้าหรือไร?
                        ***
            มู่หรงหยุนชูไม่รู้ว่ามีสิ่งใดที่ทำให้เจ้าหน้าที่นี่เปลี่ยนใจ  ฮ่องเต้เห็นชอบกับข้อแนะนำของนางอย่างรวดเร็ว  โดยอนุมัติให้ก่อสร้างคลังเก็บเงินไว้ในเมืองหยางชาง ขณะที่ให้เริ่มงานพิมพ์เหรียญกษาปน์ด้วย เพื่อเตรียมรองรับเมื่อก่อสร้างคลังเก็บเงินเสร็จ และปฏิรูปเงินตราเรียบร้อย
            เมื่อหลายสิ่งเสร็จสิ้น  มู่หรงหยุนชู จึงเตรียมเดินทางกับเมือจินหลิงทันใด นี่ฉิงขณะนี้เป็นผู้ช่วยนาง จึงร่วมเดินทางไปด้วย ส่วนเฟิ่งหลิงเต็มใจสวมบทบาทเป็นสาวใช้ลู่จีคนที่สอง ถูกตามให้มาเป็นคนรินน้ำเปล่่า ก่อนให้ลู่จีรินน้ำชา แน่นอน ใครๆย่อมรู้ว่าเฟิ่งหลิงยอมลงทุนเพื่อสิ่งใด ฟาฉีเจิ้งยี่ไปพบฉู่ฉางเกอที่วัดเส้าหลิน  พร้อมกับจดหมายขอบคุณของมู่หรงหยุนชู
            มู่หรงหยุนชูนั่งพิงหลังอยู่ในรถม้าอันโอ่อ่าสะดวกสบาย นางล้วงปิ่นไม้จากอกเสื้อ ซึ่งเป็นของที่แวะซื้อตอนเข้าเมืองหลวงช่วงกลางวัน อันเตรียมไว้ให้ฉู่ฉางเกอ  นางเพ่งพิศมันอย่างละเอียดละออเป็นครั้งแรก และในที่สุดก็เลิกม่านบนรถม้าขึ้น แล้วปาทิ้งไปนอกรถ หลังจากที่รู้ว่าเขาเกือบบ้าคลั่งเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง นางจึงตระหนักได้ว่าโชคชะตาระหว่างนางและเขา เป็นได้เพียงคนที่นับถือกันเท่านั้น
            เคราะห์ดี  จนบัดนี้ฉู่ฉางเกอสำหรับนาง เป็นพียงคนที่น่าเบื่อเมื่อคุยกันครั้งก่อน นางและเขาไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกัน
            รถม้าคันโต ใหญ่พอให้คนตัวสูงสามารถนอนได้ และสำหรับความสูงระดับมู่หรงหยุนชูแล้ว สามารถหลับบนที่นอนด้วยท่วงท่าที่สบาย ดังนั้นนางจึงนอนลง ปิดตาหลับสนิท คิดว่าจะตื่นเมื่อถึงเมืองจินหลิง
            อย่างไรก็ดี ชีวิตของคนบางคนถูกฟ้ากำหนดให้พบเจอแต่เรื่องวุ่นวาย  ขณะกำลังเดินทางมาอย่างราบรื่น มู่หรงหยุนชูเริ่มเจออุปสรรค
            มู่หรงหยุนชูพลันตื่นขึ้นยามที่รถม้าหยุดวิ่งกระทันหัน ร่างกายของนางพลันถูกกระชากไปข้างหน้า เกือบตกลงมา ขอบคุณสายตาและมือที่เกาะผนังรถม้าไว้ทันท่วงที แรงเสียดทานระหว่างฝ่ามือทั้งสองและผนังรถม้าช่วยชะลอร่างกาย ไม่ให้ล้มกลิ้งลงไป
            “เกิดอันใดขึ้น?” นางลุกขึ้นนั่งอย่างมั่นคง เลิกม่านขึ้น ชะโงกหัวออกไปถาม นางเห็นชายร่างใหญ่กำยำล่ำสัน 7-8 คนขวางหน้ารถม้า มีเชือกเกลียวและผ้าหยาบสีเทาน้ำตาลโพกหัว ดูหน้าตาท่าทางคล้ายกับพวกโจร อย่างไรก็ดี นอกจากหน้าตาท่าทางที่ดูป่าเถื่อนแล้ว คำพูดคำจาก็ล้วนแต่เป็นถ้อยคำโบราณทั้งสิ้น
            “ต้นไม้พวกนี้ข้าปลูก ถนนสายนี้ข้าเป็นคนสร้าง หากต้องการผ่านถนนสายนี้ ให้ทิ้งทุกอย่างไว้เป็นค่าผ่านทางเสีย!”
            มู่หรงหยุนชูเพียงทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่มีสีหน้าหวาดกลัวให้เห็นแม้แต่น้อย  มองพวกโจรอีกครั้งและถามขึ้น “เจ้าต้องการเท่าไร วันนี้ ข้าขอติดไว้ก่อน  เพราะพกเงินมาน้อย  เงินข้าคงไม่พอ”          
            โจรทั้งหมดไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายไม่เพียงไม่โกรธ  หากยังไม่กลัวอีกด้วย  ซ้ำยังเจรจาต่อรองได้ชาญฉลาด  พวกมันอึ้งตะลึงงันอย่างเห็นได้ชัด
            คุณชายนี่ ครางเสียงเย็น เขาไม่รู้ว่ามู่หรงหยุนชูเรื่องมาก หรือโจรภูเขาเรื่องมากกันแน่  มู่หรงหยุนชูเห็นใบหน้าคุณชายนี่  แสดงออกว่าไม่กลัวกลุ่มคนที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่เบื้องหน้า  นางจึงคิดว่าเขาคงมีแผนการแก้ลำไว้เรียบร้อยแล้ว  ด้วยความเป็นผู้คงแก่เรียน  เขาคงใช้วิธีตอบโต้แบบขุนนาง “กล้าปล้นบนทางหลวงกลางวันแสกๆเช่นนี้  ในดวงตาพวกเจ้า ไม่มีความเที่ยงธรรมสักนิด!”
            มู่หรงหยุนชูหัวเราะออกมา ยามนี้ขุนนางขั้นหนึ่งช่างอวดเบ่งเสียจริง?  หากพวกโจรยึดถือคุณธรรมจริงๆ  พวกมันคงไม่ย่อมมาเป็นโจรหรอก


------------
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์และการติดตามนะคะ

2 ความคิดเห็น: