เหลียนเซ่อเงยหน้าขึ้นสบตา
“พี่ใหญ่ ท่านอยากไปจริงๆรึ?”
เหลียนฟางโจวพยักหน้า
คลี่ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ใจเย็นๆ! ชายแซ่ซุนไปที่นั่นหลายต่อหลายครั้งไม่ได้กลับมาด้วยดีหรือไร? แถวไหนที่ไปได้? หรือที่ใดไม่ควรไป?
หรือพวกเราจะเดินเข้าไปในป่านั้นได้หรือไม่? เขาย่อมรู้ชัด! หากไปกับเขา คงจะไม่เกิดเรื่องร้ายเป็นแน่!”
เหลียนเซ่อไม่อาจเกลี้ยกล่อมนาง จึงได้แต่ครางออกมาอย่างกลัดกลุ้ม “เฮ้อ….”
ส่วนเหลียนฟางโจวนั้นกวาดตามองไกลๆไปรอบทิศ จึงค้นพบว่า นอกจากป่าที่มีเป็นหย่อมๆแล้ว ยังมีผืนดินที่ถูกทิ้งรกร้างว่างเปล่า
ทั้งใหม่และเก่าหลายแห่ง แต่ละแห่งเต็มไปด้วยพุ่มไม้แคระแกรน และวัชพืชขึ้นรก พื้นดินทิ้งร้างเหล่านี้เหมาะจะนำมาฟื้นฟูปรับปรุงให้เป็นผืนดินสำหรับเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรนัก
หญิงสาวอดมีประกายความปรารถนาพาดผ่านในดวงตาไม่ได้ เมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว นี่เป็นสภาพที่พบเห็นได้ทั่วไปในยุคสมัยโบราณ หากมาอยู่ในยุคปัจจุบันแล้ว ไม่เพียงแต่บรรดาผืนดินทิ้งร้าง แม้แต่ผืนป่าก็คงถูกนำมาใช้ประโยชน์เสียสิ้น
“มีผืนดินที่ถูกหักร้างถางพงหลายแห่ง น่าเศร้าใจนักที่เราไม่มีกำลังพอ หากสามารถพลิกฟื้นผืนดินพวกนี้ได้คงดียิ่ง! พวกเราจะสามารถปลูกพืชผลได้อีกหลายอย่าง !
“ เหลียนฟางโจวอดถอนหายใจเบาๆไม่ได้
“พี่ใหญ่” เหลียนเซ่อเหลือบตามองนาง พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่ไหนจะง่ายเพียงนั้น! การจะพลิกฟื้นผืนดินเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ย่อมต้องการการตรวจสอบ นอกจากต้องส่งรังวัดและประมาณมูลค่า แล้วยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมอีกด้วย จากนั้นต้องส่งเรื่องไปยังหน่วยงานเทศมณฑล ให้ออกโฉนดที่ดิน นี่จึงจะถือครองกรรมสิทธิ์ได้
“ต้องขอเงินกันด้วย!” เหลียนฟางโจวเข้าใจ ไม่สงสัยเลยว่าไฉนไม่มีผู้ใด ฟื้นฟูผืนดินรกร้างว่างเปล่ากัน!
ผืนดินหนึ่งมู่(160
ตารางวา)ต้องใช้เงินเท่าใด?” หญิงสาวถามขึ้นทันใด
“เรื่องนี้ ข้าเองก็ไม่รู้”
เหลียนเช่อส่ายหัวพลางเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าใด กรณีเช่นเรา
คงไม่อาจจับจองเองได้ในยามนี้!”
เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้มพลางกล่าว
“หากเรามีเงินขึ้นมาจริงๆ
เราก็สามารถลองทำได้
หากจะลองจับจองดูจริงๆ ก็น่าจะเป็นพื้นที่แถบเขตภูเขา
ไม่ใช่พื้นที่เพาะปลูกที่ไม่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ข้าคาดว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะถูกกว่าผืนดินทั่วไปด้วย!”
จ่ายเงินเพื่อให้สามารถออกโฉนดได้ นับเป็นสิ่งที่น่าลองทำ.....
“ทว่ามันอาจจะไม่คุ้มค่าก็เป็นได้”
เหลียนเซ่อโพล่งขึ้นมา “หลังจากพลิกฟื้นและจับจองที่ดินรกร้างเป็นที่ดินทำกินแล้ว ย่อมต้องมีภาระจ่ายภาษีทุกๆปี! ไม่แน่ว่าที่ดินหนึ่งมู่อาจต้องเตรียมเงินค่าภาษีไว้ 300 เหวิน”
“...” ยุคโบราณแต่เดิม มีการเก็บภาษีมากมายหลายประเภท! หากมีธนาคารทางด้านารเกษตรให้กู้ คงจะดีไม่น้อย!
พี่น้องทั้งสี่วุ่นกับภารกิจอยู่พักใหญ่
ในที่สุดก็ขุดมันเทศออกมาได้ทั้งหมด เหลียนเซ่อและเหลียนฟางโจวนำมันเทศมาใส่ตะกร้า ส่วนเหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อก็เอาตะกร้าสานไม้ไผ่มาด้วย
ทุกคนต่างหิ้วตะกร้าใส่มันเทศด้วยแขนข้างหนึ่ง
พวกเขาช่วยกันขนมันเทศไปและกลับอย่างน้อยสี่เที่ยว
ประหนึ่งตัวเองเป็นมดงาน ด้วยความพยายามอย่างยากลำบาก ในที่สุดพวกเขาก็นำมันเทศกลับบ้านได้หมด
เหลียนฟางโจวกองมันเทศเป็นกองสูง ในห้องใต้หลังคาจนเสร็จสิ้น
การเก็บมันเทศในห้องใต้หลังคาที่แห้ง จะทำให้มันไม่เน่าเสียง่าย เหลียนฟางโจวทำให้การเก็บรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นความชื้นในหัวมันเทศจะค่อยๆระเหยออกไปอย่างช้าๆ น้ำตาลในมันเทศนั้นจะตกผลึกมากขึ้น ยิ่งปล่อยไว้
เมื่อถึงเวลากินจะยิ่งหวานขึ้น
สำหรับกรรมวิธีการกินมันเทศนั้นมีหลายวิธี นอกจากจะต้มเป็นโจ๊กหรือเผาในเตาแล้ว ยังสามารถนำมาเชื่อม หรือนำมาฝานเป็นชิ้นบางๆแล้วทอดในน้ำมันได้ด้วย
นอกจากนี้ยังสามารถนำไปนึ่งและหั่นเป็นชิ้นๆแล้วนำไปตากแดดให้แห้ง หากนำไปบดจนเป็นผงจนกลายเป็นแป้งมันเทศ หรือนำมาบดเป็นเนื้อมันเทศ จะสามารถนำไปทำเค้กและขนมอบหลากหลายรสชาติ ...
ทว่าเมื่อหันกลับมามองสถานการณ์การเงินของสกุลเหลียนในทุกวันนี้ กรรมวิธีการกินของเหลียนฟางโจวคงทำได้เพียงแต่คิดเท่านั้น
แป้งมันเทศและเค้กมันเทศและขนมอบไม่ได้เป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกลเกินเอื้อม หากจะนำไปเชื่อม แล้วน้ำตาลเล่า? ครั้นจะไปทอดในน้ำมัน ต้องใช้น้ำมันแค่ไหน? เหลียนเซ่อคงได้กินหัวนางเป็นแน่!
สิ่งที่ทำได้กับมันเทศครานี้คือ
นำไปตากแห้ง
โครงการมากมายในหัวของเธอครานี้ยังไม่อาจทำได้
เพราะติดที่กระบวนการ
ถึงแม้จะสามารถนำมันเทศมาประกอบอาหารได้หลากหลายขึ้น มีรสชาติดีขึ้น แต่โดยพื้นฐานแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารทานเล่นระหว่างมื้อ ไม่สามารถทำให้อิ่มท้องได้! ทุกวันนี้พวกเขาพี่น้องกินมันเทศเพื่อให้ท้องอิ่มเท่านั้น!
เพราะฉะนั้น เธออาจหาโอกาสทำอาหารทานเล่นหลายสิบอย่างนี้ ในช่วงเวลาสำคัญเช่น ฉลองเทศกาลปีใหม่
หลังกินมื้อเย็นเสร็จเร็วกว่าปกติ
เหลียนฟางโจวบังคับให้เหลียนเซ่อพาไปนอกเมืองเพื่อไปหาหลานชายหลงซินเจียด้วยกัน จุดประสงค์เพื่อถามเรื่องเขาเซียนเติ้งซาน
หลานชายหลงซินเจียเป็นครอบครัวที่มาจากต่างแคว้น
ไม่มีที่ดินทำกินของตนเอง มีที่ปลูกบ้านเล็กน้อยเพียง 2-3 มู่
นับว่ายากจนกว่าสกุลเหลียนเสียอีก ดำรงชีวิตอยู่ในกระท่อมหลังคามุงหญ้าแห้ง ทำให้คาดเดาได้ว่าสภาพครอบครัวนี้ขัดสนเพียงใด
ทว่าครอบครัวนี้กลับทำให้เหลียนฟางโจวชื่นชมอย่างที่สุด หลานชายที่ชื่อชางซิงกับภรรยาทั้งคู่อยู่กันตามอัตภาพ
กัดฟัน ส่งซุนหมิงบุตรชายอายุเพียง 13 ปี ไปเรียนหนังสือในเมือง ได้ยินมาว่ามีผลการเรียนดี และจะเรียนจบในปีหน้า เป็นหนึ่งในห้าของนักเรียนที่จะได้ทุนเรียนต่อ
ด้วยเพราะว่าทั้งคู่ต้องมีภาระใช้เงินทุกๆปีเพื่อเหตุผลดังกล่าวนี้
เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถซื้อผืนดินทำกินอันอุดมสมบูรณ์ได้ ทำให้ชางซิงต้องเสี่ยงชีวิตไปล่าสัตว์ที่เขาเซียนเติ้งซานครั้งแล้วครั้งเล่า
เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อมาถึงยามที่ ทั้งคู่สามีภรรยากำลังนั่งประจำโต๊ะเก่าๆกินอาหารมื้อเย็นกันอยู่
บนโต๊ะไม่เห็นว่ามีผักสดอันใด มีเพียงผักดองจานเล็กๆสีคล้ำ โจ๊กมันเทศสองถ้วย
เหลียนฟางโจวร้องเรียกพลางส่งยิ้ม
“ท่านลุงซุน” ทั้งชางซิงและภรรยามี่อ้าว
ต่างตะลึงงัน
“!” เขากับภรรยารีบยกมือเช็ดปาก
ผุดลุกขึ้นยืนเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“นี่ไม่ใช่เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อหรอกรึ? พวกเจ้ามามี.....”
ซุนชางซิงเป็นคนต่างแคว้น เขาจะสุภาพกับทุกคนในหมู่บ้าน เนื่องจากอาศัยอยู่ใกล้ๆหมู่บ้าน โดยทั่วไปแล้วเขาจะไม่ค่อยสุงสิงกับคนในหมู่บ้านเท่าใดนัก
อย่างเช่นในเวลานี้ เขาค่อนข้างมึนงง คิดไม่ออกว่าพี่สาวคนโต
และน้องชายคนรองของสกุลเหลียน มาเกี่ยวข้องกับเขาตอนไหน?
จากที่เห็น ซุนชางซิงอดมองภรรยาตนเองไม่ได้
ว่าเป็นผู้เชิญสองพี่น้องมาหรือไร?
มี่อ้าวก็สงสัยเหมือนกัน สั่นหัวให้สามีช้าๆ
ครั้นแล้วซุนเชียงซิง ก็หัวเราะให้พวกเขา มี่อ้าวก็ยิ้มทักทายพลางนั่งลง “ที่บ้านข้าไม่ค่อยเรียบร้อย อย่าได้ถือสาเลยนะ!”
“ท่านลุงซุน ท่านป้าซุนเกรงใจเกินไปแล้ว! แท้จริงแล้วพวกเรามารบกวนพวกท่านตอนเวลามื้ออาหาร! พวกท่านกินให้เสร็จก่อนเถิด พวกข้าจะรอคอยพูดคุยธุระ พวกท่านจะได้ไม่กินข้าวสาย!” เหลียนฟางโจวกล่าวพร้อมรอยยิ้มขออภัยกับเรื่องดังกล่าว แล้วฉุดเหลียนเซ่อให้นั่งลง
ซุนชายชางซิงไม่รู้จุดประสงค์ในการมาของสองพี่น้อง แล้วเขาจะกินข้าวลงได้เช่นไร? จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าพูดธุระของเจ้าก่อนเถิด!”
เหลียนฟางโจวเห็นเขาดูสับสนวุ่นวาย จึงไม่อ้อมค้อม เธอเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “
ไม่ทราบว่าท่านลุงซุนจะไปเขาเซียนเติ้งซานอีกเมื่อใด? พวกเราจะขอไปกับท่านลุงซุนด้วย”
“อะไรนะ?” ซุนชางซิงและมี่อ้าวเบิกตากว้าง
อึ้งงัน
“เจ้าพูดว่าอันใดนะ?” ซุนชางซิงประหลาดใจแบบคาดไม่ถึง
“พวกเจ้าต้องการไปเขาเซียนเติ้งซานรึ? ใช่หรือไม่?”
สีหน้าเขารู้สึกระแวดระวังขึ้นทันใด
เป็นไปได้หรือที่พี่น้องคู่นี้ต้องการไปล่าสัตว์? พวกเขาทำได้จริงๆรึ? …
นั่นไม่ดีแล้ว เขาเองไม่อยากมีคนมาหารเพิ่มด้วย!
“แน่นอน
พวกเราไม่ได้ต้องการไปล่าสัตว์
จะมีใครมีความชำนาญในเรื่องนี้กว่าท่านลุงซุนเล่า!” เหลียนฟางโจวชี้แจงด้วยรอยยิ้ม “พวกเราแค่ต้องการไปดูว่า มีเห็ดและมีพืชผลอื่นๆบนภูเขาไหม? จะได้นำมาทำเป็นอาหารฉลองเทศกาลปีใหม่”
เธอกล่าวเพิ่มเติม
“สถานการณ์ในครอบครัวพวกเรา
พวกท่านคงทราบดี.....”
ซุนชางซิงและมี่อ้าวอดมองหน้ากันและกันไม่ได้ และก็อดเห็นใจไม่ได้ด้วย
แม้ทั้งสองครอบครัวจะมีสถานการณ์แวดล้อมไม่เหมือนกัน ทว่าครอบครัวที่สุขสบาย ย่อมสุขสบายเหมือนๆกัน ส่วนครอบครัวที่อาภัพอับโชค ย่อมมีแต่โชคร้ายมาหาไม่ได้ขาด
พวกเขาทั้งสองเป็นพวกอาภัพอับโชค
พูดได้เลยว่าคงพบเจอแต่ความลำบาก
ถ้อยคำของเหลียนฟางโจวดูจะกระตุ้นให้พวกเขาเห็นอกเห็นใจได้ง่าย
ซุนชางซิงถอนใจเบาๆ เกือบจะตอบรับ มี่อ้าวผู้ภรรยาพลันสะดุ้ง รีบชิงเอ่ยขึ้น
“นี่? เจ้าสองคนพี่น้องยังเด็กอยู่ แล้วหนทางไปยังเขาลูกนั้นก็ค่อนข้างไกลนัก พวกเจ้าจะเดินกันไหวหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น ที่นั่นมันอันตรายเกินไป!”
มี่อ้าวพูดไปพร้อมส่งสายตาเป็นสัญญาณให้สามีไม่หยุด
ไม่ว่าอย่างไรเหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อไม่มีทางทำอะไรพวกนางได้? สกุลพวกเขาเป็นคนต่างแคว้น การไปช่วยคนต้อยต่ำลำบาก ที่ไหนพวกเขาจะไปหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวกันเล่า?
ซุนชางซิงเข้าใจความหมายของภรรยาทันที
“ฮ่าฮ่า” จึงหัวเราะเพื่อต้องการบอกปัด
เหลียนฟางโจวรีบพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านลุงซุน ท่านป้าซุน แท้จริงแล้ว ข้าขอแค่เพียงให้ท่านลุงซุนนำทางพวกเราให้สามารถไปเองได้ พวกเราสองพี่น้องหาใช่คนไร้เดียงสา จะไปคอยวิ่งวุ่นก่อความเดือดร้อนในสถานที่นั้นรึ? ยิ่งไปกว่านั้น ท่านพาพวกเราไปที่นั่นแค่ครั้งเดียว ครั้งเดียวเท่านั้นก็พอ! แล้วท่านก็รออยู่แถวนั้น”
เหลียนฟางโจวกล่าวเสร็จ
ก็หันไปมองรอบๆ แล้วเดินออกไป จากนั้นเธอก็ขนข้าวหนึ่งตะกร้ามาวางไว้ที่ทางเข้าตรงประตู
และตามมาด้วยแตงโมที่หั่นครึ่ง สามารถมองเห็นเนื้อที่ชุ่มฉ่ำภายในได้
“พวกเราสองพี่น้องละอายนักที่ทำให้การเป็นผู้นำทางของท่านลุงซุนต้องเป็นหมัน เรื่องของเรื่องคือพวกเราไม่คุ้นเคยกับเขาเซียนเติ้งซาน จึงต้องการถามทางท่านลุงซุน อยากให้ท่านแนะนำเราว่ามีที่ใดที่เราต้องระวังบ้าง ที่ใดไปได้
ที่ใดไปไม่ได้! เฮ้อ..ข้าวนี้คงไม่สามารถให้ได้แล้ว เชิญท่านลุงซุนและป้าซุนตามสบายเถิด ไม่ต้องส่งพวกข้า...” เหลียนฟางโจวยิ้มให้อย่างเก้อเขิน
ซุนชางซิงและมี่อ้าวเห็นข้าวหนึ่งตะกร้าอดจับจ้องด้วยตาเป็นประกายไม่ได้
ข้าว..ถือเป็นของที่แพงอย่างน่าเวทนาที่สุดและเป็นของหายากที่สุดสำหรับคนที่ไม่เคยมีผืนนาข้าวเป็นของตนเอง เห็นข้าวแล้วก็เหมือนกับเห็นเงินทำให้ตาพวกเขาเป็นประกายอย่างอดไม่อยู่ หัวใจพลันเต้นโครมคราม นี้คือสิ่งที่น่าหลงใหล ชวนให้หลงใหลอย่างที่สุด
นับว่าสาวน้อยคนนี้ ขอร้องสำเร็จแล้ว! ++++++++++++++++++++
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ ^-^
ชอบเรื่องนี้มากๆค่ะ มาต่อเร็วๆนะคะไรท์ พลีสสสสส
ตอบลบชอบนางฉลาดมากๆเลย
ตอบลบอ่านไปก็สงสารคนสมัยก่อน อยากให้นางเอกเป็นเกษตรกรแถวหน้าพาชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านให้ดียิ่งขึ้น
ตอบลบขอบคุณค่า
ตอบลบขอบคุณค่ะ จะได้อะไรจากการไปขึ้นเขาหนออ
ตอบลบพระเอกเราจะออกมาตินนางเอกเข้าป่ารึเปล่า หรือว่าหลังจากนี้อีก
ตอบลบขอบคุณคะ...ติดตามผู้แปลทุกวันเลยคะ...ลุ้นว่าจะลงเรื่องนี้เมื่อไหร่...เป็นแฟนคลับเรื่องนี้คะ...เป็นกำลังใจให้คะ...สู้ สู้ คะ...แปลดีมากเลยคะ
ตอบลบอ่านเรื่องนี้แล้วคิดว่าคนชนบทสมัยก่อนนี่ลำบากกันจริงๆ พวกอ่อนแอก็จะถูกเอาเปรีบอีก
ตอบลบอ่านไปก็ลุ้นว่านางเอกจะทำอย่างไรให้ชีวิตครอบครัวของตัวเองดีขึ้น
ตอบลบขอบคุณค่ะ
ตอบลบชอบและคิดตามตลอดเลย
ลุ้นอยู่ว่าสุดท้ายนางจะกลายเป็นนักพัฒนาชุมชนหรือเปล่า หรือจะเป็นอย่างอื่น แบบเดาไม่ออกเลย
ปล. HNY นะคะ
ขอบคุณค่ะชอบมากเลย
ตอบลบขอบคุณค่ะ
ตอบลบสนุกมากค่ะ ขอบคุณนะคะที่แปลให้ได้อ่านกัน
ตอบลบขอบคุณค่ะ เข้ามาส่องทุกวัน วันไหนอัพนี่ยิ้มแป้นเลยชอบสำนวนอ่านแล้วลื่นไหล
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบขอบคุณค่ะ...สนุกมากรอไรท์มาอัพต่อค่ะ
ตอบลบรออ่านตอนต่อไปค่ะ ขอบคุณค่ะ
ตอบลบขอบคุณค่ะ
ตอบลบแม่นางช่างเป็นคนเข้าใจโลก
ตอบลบ