วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา - บทที่ 37 เขาคือใคร

         ใช่ วันนี้โชคดีจริงๆที่เจอพี่ชาย”  เหลียนเซ่อเอ่ยสำทับอีกคน
          เหลียนฟางฉิงกระพริบตา  เงยใบหน้าเล็กๆขึ้นมองพลางพูดขึ้น “ได้ยินพี่ชายข้าเล่าว่า ท่านขับไล่พวกอันธพาลไป 6 คน จริงหรือไม่?”

          เหลียนเช่อไม่เอ่ยปากใดๆ  เพราะเขามีความสงสัยเล็กน้อย  ยามเมื่อมองชายแปลกหน้า
          ป้าสามโพล่งขึ้น “เจ้าฟื้นแล้วนี่ ดีขึ้นแล้วใช่ไหม?”
          ป้าสามจ้องหน้าชายแปลกหน้าเขม็ง ดวงตาสว่างวาบ ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้  พลางเพ่งมองนิ่งๆ  นางไม่ได้กล่าวอะไรออกมา  แต่ดูคล้ายกับจะกินหน้าฝั่งตรงข้าม
          บุคคลผู้นั้นรู้สึกหวาดหวั่น  อ้าปากอีกครั้งพูดเสียงตะกุกตะกัก  ภายใต้สายตากดดันของป้าสาม  เขาจำต้องพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “ข้า..เอ่อ..ดีขึ้นแล้ว!”
          “ดีจัง!” ป้าสามปรบมือพลางเอ่ยขึ้น “เจ้าช่วยชีวิตพวกเรา  พวกเราช่วยชีวิตเจ้า ก็ถือว่าหายกัน จริงไหม?”  ยามนี้ก็มืดค่ำแล้ว  เราไม่กดดันเจ้าหรอก  รุ่งเช้าพรุ่งนี้เเจ้าค่อยจากไปก็ได้!”
          ป้าสามพูดอย่างมีเมตตาล้นเหลือ
          “!ขอบคุณท่าน...”
          ชายแปลกหน้ายังกล่าวไม่ทันจบ  เหลียนเซ่อชิงเอ่ยขึ้นเสียก่อน “พี่ชายท่านนี้อย่าได้เกรงใจเช่นนั้น  ท่านเพิ่งฟื้น  ทว่าบาดแผลยังไม่หายดีทีเดียวอาจต้องพักให้เต็มที่ซักหลายวันหน่อย!
          เหลียนเซ่อกล่าวจบ  ก็หันไปส่งสายตาอ้อนวอนเหลียนฟางโจว “พี่ใหญ่  ท่านผู้นี้ได้รับบาดเจ็บเพราะเรา  เราไม่อาจไม่ดูดำดูดีได้!”
          เหลียนเซ่อว่าดังนั้น  เหลียนฟางโจวให้แปลกใจเล็กน้อย  อย่างไรก็ดี เป็นเพราะเขาเพิ่งจะเอ่ยขอร้องเหลียนฟางโจวขนาดนี้เป็นครั้งแรก  หญิงสาวเห็นดวงตาคู่นั้นของน้องชายมีความปรารถนาเต็มเปี่ยม  ไม่อาจฝืนทนปฏิเสธได้  ครั้นแล้วจึงพยักหน้าพลางเอ่ย “เอาตามที่เจ้าบอกก็แล้วกัน!”
          ครั้นแล้วเธอส่งยิ้มให้ชายผู้นั้น พลางเอ่ยอย่างอบอุ่น “ท่านก็พักอยู่ที่บ้านพวกเราสักหลายวัน  จนท่านหายดีก็แล้วกัน!”
          “นี่... ข้าบอกเจ้าว่า...” ป้าสามเอ่ยขี้นอย่างไม่พอใจ
          ถ้อยคำที่เตรียมจะพูดกับเหลียนฟางโจวถูกกลืนลงคอไปเงียบๆ  เมื่อหลานสาวเอ่ยเสียงนุ่ม “ป้าสาม.. อยากให้ข้าและน้องรองส่งท่านกลับบ้านพรุ่งนี้ ใช่หรือไม่?”
          ป้าสามหุบปากทันที กระแอมพลางพูดเสียงนุ่ม “เจ้าก็อยู่พักสักหลายวันหน่อย จนหายดี..เอ่อ..ข้ายังไม่ได้กล่าวทักทายเจ้าเลย!”  ซ้ำยังพึมพำเสียงต่ำ “ชิ..รู้จักแต่พูดขู่ชาวบ้านดีนักนะ...”
          ทั้งเหลียนฟางโจว เหลียนเซ่อ และชายแปลกหน้าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
          ฝ่ายเหลียนเซ่อเองนั้นให้ยินดีปรีดาเป็นอันมาก  กุลีกุจอดึงบุคคลผู้นั้นให้นั่งลง  พลางเอ่ยเสียงดัง “ข้าไปเอาชามมาให้นะ!”  ว่าแล้วจึงเดินเข้าครัวไป
          ข้าวที่หุงเสร็จแล้วมีเพียงพอให้คนในบ้านกินเท่านั้น  ทว่าเด็กหนุ่มตักข้าวให้ชายผู้นั้นเป็นอันมาก  พลันบรรยากาศเริ่มเคร่งเครียดทันใด
          เหลียนเซ่อผลักชามข้าวไปตรงหน้าชายผู้นั้นเบาๆ พลางเอ่ยว่า “พี่ชาย..เชิญ!”
          เหลียนฟางโจวเห็นดังนั้น ครั้นแล้วจึงตักข้าวในชามของตนเองครึ่งหนึ่งให้เหลียนเซ่อ เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ดีแล้ว  เจ้ากินก่อนเถิด! อาหารคงไม่พอ  คอยข้าอีกสักหน่อย  ข้าจะไปทำบะหมี่ผัดมาเพิ่ม!”
          “พี่ใหญ่ข้าไปช่วยก่อไฟให้!” เหลียนเช่อเห็นพี่ชายคนโตเอาใจใส่แขกแปลกหน้าผู้นี้ยิ่งนัก  จึงวางตะเกียบลง แล้วอาสาไปช่วยก่อไฟ
          “เอาใจกันจริงๆ!” ป้าสามดุเสียงต่ำ มือจับตะเกียบคีบหมูผัดพริกเขียวให้เหลียนฟางฉิงพลางพูดขึ้น “เจ้าไม่หิวหรือไร? ข้าหิวนัก กิน กิน  พวกเรากินกันก่อน!”
          คืนนี้มีเนื้อหมูผัดพริกเขียว  และอีกอย่างคือผัดกะหล่ำปลี  นับเป็นของดีที่นานๆจะได้กินสักครั้ง
หมูผัดพริกเขียว
ผัดกระหล่ำปลี
          เหลียนเซ่อเห็นดวงตาของคนผู้นั้นเรืองวาบออกมาเล็กน้อย  ชัดเจนว่าตัวเขาก็หิวจัด  ชายอาคันตุกะลังเลเล็กน้อย  ครั้นแล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “กินกันเถิด!”
          “เหลือให้พี่ใหญ่กับพี่รองนิดเดียวเอง!” เหลียนฟางฉิงรู้สึกฉุนยามเอ่ยขึ้น  เอาตะเกียบ แบ่งกับในจานแยกเป็นสองส่วนส่วน  ส่วนหนึ่งเก็บไว้ให้พี่ๆ  อีกส่วนให้คนที่เหลือกิน เหลียนฟางโจวนึกถึงสภาพของบุคคลนั้น  เมื่อช่วงกลางวัน  ครั้นแล้วจึงรีบลงมือทำบะหมี่อย่างเร่งด่วน  ซอยพริกเขียวและกระเทียมเป็นชิ้นบางๆ  เฉือนมันหมูออกมา 3-4 ชิ้นเพื่อเจียวเป็นน้ำมัน  ใส่พริกและกระเทียมลงไปผัดเกิดเสียงดังฉี่ฉ่า
          เหลียนเช่อหนังอยู่บนเก้าอี้เล็กๆ ช่วยดูเปลวไฟผ่านช่องเล็กๆของเตา  ความร้อนจากเปลวไฟแลบเลียใบหน้าเด็กชาย  เขานั่งเท้าคาง  ดวงตากลมโตสว่างวาบ  มองเหลียนฟางโจวพลางถามขึ้น “พี่ใหญ่  คนผู้นั้นช่วยชีวิตพี่จริงๆรึและเขาเก่งฉกาจขนาดนั้นเลยรึ?”
          เหลียนเช่อคิดขึ้นอย่างสุดแสนจะเหลือเชื่อ  มองสภาพเขาแล้ว  ไม่น่าเป็นเช่นนั้นได้เลย!
          “อืม” เหลียนฟางโจวพยักหน้าพลางยิ้ม  หั่นผักขณะเอ่ยขึ้นเบาๆว่า “วันนี้...ถ้าไม่มีเขา เราอาจประสบเคราะห์กรรมแสนสาหัส  ข้าวของทุกอย่าง และเงินทองต้องถูกแย่งชิงไป  ยามกลับมาบ้านลุงหวาง  ยังต้องจ่ายเสียหายในส่วนลา และเกวียนอีกด้วย!”
          “!”  เหลียนเช่อได้ยินแล้วให้รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาบางส่วน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เคราะห์ดี ที่พบคนดีตัวโตเช่นนี้  ช่างโชคดีจริงๆ! ป้าสามนี่จริงๆเลย  คอยจะขับเขาออกจากบ้านท่าเดียว  อืม  หากเขาอาศัยอยู่บ้านเราคงดีนะพี่  ภายหลังคงไม่มีใครกล้ารังแกพวกเราอีกแล้ว!”
          อะไรนะ? เหลียนฟางโจวสะดุ้งทันใด  เด็กชายคนนี้  กล้าพูดจริงๆเลย  ซ้ำหน้าตาเต็มไปด้วยความคาดหวังฉายชัด!
          เหลียนฟางโจวอดเหยียดยิ้มอย่างขบขันไม่ได้  โคลงศีรษะอย่างไม่อยากจะจริงจังกับวาจาของน้องชายคนเล็กมากนัก  รู้สึกคล้ายกับเปลวไฟกำลังจะมอด  จึงรีบพูดขึ้น “เร่งไฟไปเรื่อยๆ”
          ฝ่ายเหลียนเช่อ ก้มตัวลงเติมฟืนในเตาอีก 2-3 ชิ้น  และไม่ได้กล่าวอันใดอีก
          ใช้เวลาทำบะหมี่ผัดไม่นานนัก  เหลียนฟางโจวเดินถือบะหมี่ผัดชามโตออกมา  บะหมี่ผัดหมูสามชั้นหั่นบางๆ โรยหน้าด้วยพริก กระเทียม  กลิ่นหอมฉุยโชยมาพร้อมกับควันกรุ่นร้อน  ลอยเข้าจมูกของทุกๆคน
บะหมี่ผัด
          ดวงตาของทุกชีวิตในที่นั้นอดเป็นประกายไม่ได้  ย่อมต้องรู้สถานการณ์ของบ้านนี้ดีว่า   หนึ่งปีถึงได้ลิ้มรสบะหมี่สักครั้ง  ยังไม่นับรวมรสชาติเนื้อหมูอีก  นี่คือของหายากแท้ๆ!
          “หอมจังเลย!” เหลียนฟางฉิงอดไม่ได้ต้องพยายามสูดกลิ่นเข้าจมูกมากขึ้น
          ป้าสามเพิ่งกินอิ่ม  ทว่าเมื่อเห็นบะหมี่ผัดชามโต  ส่งกลิ่นหอมฉุยเช่นนี้  พลันเกิดรู้สึกท้องหิวขึ้นมาทันใด  ครั้นแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ที่ไหนเอาแต่ชามใหญ่ให้เขากิน มา  เอามาให้ข้ากินด้วยสักหนึ่งชามเถิด!”
          “พี่ใหญ่และพี่รองยังไม่พอกินเลย!” เหลียนฟางฉิงยู่ปาก
          ตัวเหลียนฟางโจว แม้จะไม่สบอารมณ์กับป้าสามนัก  คิดว่านางคงเสียใจแน่หากไม่ได้กิน  ทว่าก็ยังไม่อยากตามใจนางมากนัก  มิเช่นนั้น นางจะกลายเป็นคนได้คืบจะเอาศอกได้   เช่นนั้นแล้วเหลียนฟางโจวคิดเสียว่าไม่ได้ยินวาจาของนาง จึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข้าตั้งใจทำมาแค่บางส่วน  คงไม่พอให้ทุกๆคนได้ลิ้มลอง!  เช่นนั้นพรุ่งนี้เย็นเราจะทำบะหมี่กินกันอีก ดีหรือไม่?”
          “ดี ดีจัง!” เหลียนฟางฉิงปรบมือขึ้นอย่างรื่นเริง  หัวเราะชอบใจนัก
          ป้าสามพลอยหัวเราะตามไปด้วย เอ่ยขึ้น “พรุ่งนี้เย็นน่าจะทำเป็นบะหมี่น้ำนะ!”
          ครั้นแล้วเหลียนฟางโจวหยิบตะเกียบคีบบะหมี่ให้คนผู้นั้นครึ่งชาม  แล้วผลักชามไปตรงหน้าเขา พลางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “รีบกินสิ ประเดี๋ยวจะเย็นชืดเสียก่อน!”
          ชายผู้นั้นคราแรกสะดุ้งงัน  ต่อมาจึงยิ้มอย่างเก้อกระดาก  ประสานมือขึ้นคาราวะ “ขอบคุณยิ่งนัก แม่นางน้อย!”
          “ไม่ต้องสุภาพถึงขนาดนั้น!”  เหลียนฟางโจวกลั้นยิ้ม คนผู้นี้ จริงๆแล้วน่าสนใจดี!
          แม้เขาจะหิวจัด ทว่ากลับค่อยๆกินด้วยท่าทีสงบ  ไม่เพียงจะไม่กระวนกระวาย  ยิ่งไปกว่านั้น  ท่วงท่ายังดูน่ามองนัก
          ใช่ ดูน่ามองมาก
          ไม่อาจพูดได้ว่าสง่างาม  แต่ชัดเจนว่าไม่หยาบกระด้าง  ถึงแม้เขาสวมเสื้อผ้าเก่าซอมซ่อ   ทว่าความสุภาพยังคงแฝงอยู่ในทุกอณู  ดูมีเสน่ห์ดึงดูดนัก  คนผู้นี้ให้ความรู้สึกดูแล้วเพลินตายิ่ง
          เป็นชั่วขณะหนึ่งที่เหลียนฟางโจวค่อนข้างเหม่อลอย  ในใจบังเกิดความคิดเงียบๆว่า คนผู้นี้  เกรงว่าไม่ใช่คนธรรมดาสามัญทั่วไป  ไม่รู้ว่าไฉนถึงได้ประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้  ฝีมือเช่นนั้น  เป็นไปได้ว่าจะไม่ใช่คนธรรมดาอย่างเราๆ...
          “อะแฮ่ม !” ป้าสามกระแอมไอดังขึ้นมา  เหลียนฟางโจวหันขวับมามองนางโดยไม่รู้ตัว เห็นดวงตานางจ้องเธอเขม็ง
          คราแรกเธอสะดุ้ง  พลันคิดขึ้นมาได้ว่า ตนเองเอาแต่จ้องมองคนผู้นั้นอยู่เมื่อครู่ก่อน  จิตใจค่อนข้างล่องลอย  กิริยาอาการของเธอตกอยู่ในสายตาของป้าสามตลอด ทำให้ชวนเข้าใจผิดนัก

          ใบหน้าเหลียนฟางโจวเริ่มเห่อร้อนขึ้น  พลันรู้สึกเก้อเขินขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
---------------------
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ และการติดตามนะคะ
ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ค่ะ ^-^

18 ความคิดเห็น:

  1. ป้าสามชอบเป็นก้างจัง...นางเอกกำลังเพลิน...ตรุษจีนนี้ มั่ง มีศรี สุข นะคะ

    ตอบลบ
  2. กับข้าวน่ากินมากก สงสารท่านแม่ทัพผู้ตกอับ แม่นางฟางโจวรีบรวบหัวรวบหางไวๆน้า

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณจ้าไรท์เวลานางเอกทำอาหารไรท์บรรยายซะน่ากินแถมมีรูปประกอบอีกจนรีดอ่ะอันไหนทำตามนางได้รีดก็เอาไปลองทำกินนะ พระเอกเรายังไม่ถอดรูปขอทานนางเอกก็เริ่มสนใจแล้วลุ้นกันต่อไปว่าพระเอกจะเข้ามาอยู่แบบไหน

    ตอบลบ
  4. ดูดูไปป้าสามตลกดีเหมือนกันนะ เตรียมรับความ
    ฟินได้ตอนไหนหนอ

    ตอบลบ
  5. เรื่องนี้ห้ามอ่านตอนหิวเด็ดขาดเดี่ยวขาดใจตาย 55555

    ตอบลบ
  6. ขอบคุณค่ะ รอติดตามตอนต่อไป ^^

    ตอบลบ
  7. คาดว่าอีกไม่นาน นางเอกน่าจะต้อนพระเอกเข้ามาอยู่ในฮาเร็ม

    ตอบลบ
  8. ขอบคุณมากค่ะ ได้อ่านจุใจ สมใจได้เจอพระเอกแล้ว

    ตอบลบ
  9. ขอบคุณนะคะพระเอกมาซะที

    ตอบลบ
  10. ขอบคุณนะคะพระเอกมาซะที

    ตอบลบ
  11. ป้าสามเจ้ากี้เจ้าการจริงๆ เดี๋ยวรอแม่ทัพขอทานแปลงโฉมเป็นชาวนาก่อนเถอะ ขี้คร้านจะจ้องหุ่นจ้องกล้ามจ้องหน้าตาเป็นมันหุหุ

    ตอบลบ
  12. ขนาดยัวไม่ถอดรูบยังน่ามอง อร๊าย

    ตอบลบ
  13. รอตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  14. มาอ่านตอนตีหนึ่งนี่คือหิวววววว

    ตอบลบ
  15. อยากจับพ่อพระเอกอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณจัง 555

    ตอบลบ
  16. อาสามเป็นห่วงชื่อเสียงของหลานสาวจากใจจริง ช่วยระแวดระวังให้ ในฐานะญาติผู้ใหญ่ก็ถือว่าทำถูกต้องน่าชื่นชมดีแล้ว ดันโดนว่าเป็นก้าง เจ้ากี้เจ้าการเสียนี่ ต้องให้นางเอกเจอแต่ญาติผู้ใหญ่แบบลุงใหญ่กับป้าสะใภ้ จ้องแต่จะทำลายชื่อเสียงหลานสาว กดหลาน ๆ ให้โงหัวไม่ขึ้น ไม่ดูดำดูดี ไม่สนใจ จ้องจะเอาเปรียบหลานอย่างเดียวหรือไง นางเอกลำบากขนาดนี้ยังต้องยืนหยัดเป็นที่พึ่งให้น้อง ๆ อยู่คนเดียว ถึงน้อง ๆ จะพยายามช่วยแบ่งเบาภาระแต่ก็ยังเด็กกันอยู่มาก มีอาสามมาช่วยเป็นห่วง ช่วยคิดช่วยดูแลระแวดระวังชื่อเสียงให้นางเอกเพิ่มอีกคนก็ดีแล้ว

    ตอบลบ