วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา - บทที่ 46 ข้ายังไม่มีสามี ที่่ไหนจะมีชายชู้ได้เล่า

          เหลียนลี่คิดว่านั่นเป็นเพราะฮูหยินเฉียววู่วามเกินไป  ทว่าอดพิจารณาเหลียนเสี่ยวม่านไม่ได้  ครานี้นางช่างสงบและสุขุมนัก  เช่นนั้นที่นางวิ่งแจ้นมาที่บ้านเขา ก็เพื่อจัดฉากน้ำตาท่วมจอเป็นแน่

          ฮูหยินเฉียวเป็นฝ่ายควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
          ทว่าที่เขารู้  สีหน้าท่าทางของภรรยายามนี้ดูเหมือนไม่ได้กำลังโกหก ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่จำเป็นต้องโกหกต่อหน้าเขา
          นั่นหมายความว่าสิ่งที่นางพูดคือเรื่องจริง                                        
          ทั้งสองคนนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง
          ฮูหยินเฉียวเอ่ยขึ้น”จู่ๆนางก็วิ่งมาที่บ้านเราเพื่อสร้างเรื่องทั้งหมดโดยไม่มีเหตุอันควร  เราไปกระทบกระทั่งกับนางจนมีเรื่องขัดแย้งจริงๆรึ?”
          “หญิงชั้นต่ำคนนี้!” ลมหายใจฮูหยินเฉียวสะดุด  รู้สึกมึนงงเล็กน้อย
          เหลียนลี่ก็โกรธแค้นจนพูดไม่ออก ให้รู้สึกเจ็บใจนัก  คนที่เคยเป็นลูกไล่มาตลอด  ทว่าครานี้กลับสามารถวางแผนการจัดฉากเองได้  กลายเป็นนังเหลียนเสี่ยวม่านสองสามีภรรยาให้งุนงงสงสัยนัก ไม่รู้เลยว่า เหตุใดน้องสาวคนนี้ถึงได้วิ่งแจ้นมาหา แล้วมาสร้างเรื่องก่อกวนพวกเขา! เช่นนี้จะไม่ให้แค้นใจได้อย่างไรเล่า?
          “นังคนต่ำช้านั่น!  คนที่นางจ้องเล่นงาน คือเจ้าที่เป็นพี่ชายและข้าที่เป็นพี่สะใภ้ไงเล่า! ข้าต้องกลับไปถามนาง! ข้าต้องถามว่าเหตุใดนางถึงแจ้นมาบ้านเรา แล้วมาส่งเสียงเอะอะโวยวายโดยไม่มีเหตุอันควรเช่นนั้น!” ฮูหยินเฉียวรู้สึกจุกแน่น จนต้องพ่นล่มหายใจออกมา
          “เจ้าดันกลับมาเล่นงานข้าด้วย!”  เหลียนลี่บีบแขนภรรยาอย่างเย็นชา  ปล่อยให้บางคนอารมณ์เย็นลงก่อน จึงเอ่ยขึ้น “วันนี้เจ้าเอะอะโวยวายมากนัก แค่นี้ยังไม่พออีกรึ จึงต้องลงมือกับข้า!”
          “ท่านยังไม่ลืมอีกรึ!” ฮูหยินเฉียวส่งเสียงกรีดร้อง ทีนางยังโดนตบไปตั้งสี่ฉาดเลย
          จะให้ลืมรึ? ไม่แน่นอน
          “ยังมีเวลาเอาคืนอีกมาก!” เขาแค่นเสียงออกมา พลันก้าวฉับๆเข้าบ้าน           
          ฮูหยินเฉียวไม่อยากรอนาน  นางอยากกลับไปเดี๋ยวนี้  ไปตบหน้านางป้าสามสัก2-3ฉาดให้หายแค้น  ทว่าวันนี้นางดิ้นรนต่อสู้มาเป็นนานสองนาน  จึงแทบไม่มีเรี่ยวแรงเหลือ ยังไม่ต้องพูดถึงหัวสมองที่ตอนนี้ค่อนข้างสับสนมึนงงนัก
          สองสามีภรรยาที่ถูกป้าสามเล่นงานจนปวดเศียรเวียนเกล้า ไม่ได้ตระหนักว่าในบ้านครานี้มีแสงสว่างลอดออกมา  ช่างน่าแปลกนัก ไม่มีคนอยู่ในบ้าน แล้วไฉนถึงมีแสงสว่างได้เล่า?
          เมื่อเข้าไปในห้อง พวกเขาถึงได้เข้าใจ เมื่อเห็นภาพอันน่าทึ่ง ที่นั่งไว้ตรงกลางห้องโถงคือเหลียนฟางโจว  ทั้งสองตกใจยิ่งนัก
          “เจ้า...เจ้ามาอยู่ในบ้านนี้ได้อย่างไร!?” ฮูหยินเฉียวถามขึ้น
          เหลียนฟางโจวรอจนบางคนสงบสติอารมณ์ลง จึงแย้มยิ้มออกมาอย่างมาดร้าย ถือชุดกาน้ำชาและทุ่มลงมาบนพื้นดัง “เพล้ง” ภาชนะดังกล่าวแตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ
          ฮูหยินเฉียวตกใจร้องเสียงหลง  เด็กสาวทุ่มถ้วยชาสี่ใบลงพื้น แตกละเอียดเป็นชิ้นๆอย่างสบายอกสบายใจ
          “ข้าจะสู้กับเจ้า!”  ฮูหยินเฉียวเมื่อเห็นเหลียนฟางโจวทุ่มกาน้ำชาและถ้วยชาสี่ใบเป็นเสี่ยงๆในพริบตาเดียว ของรักของนางครานี้กลายเป็นผุยผงไปเสียแล้ว  นางจึงกรีดร้องขึ้นแล้วทุ่มกายทั้งหมดใส่เหลียนฟางโจว
          สองตาของนางจับจ้องแต่เหลียนฟางโจวเท่านั้น  แท้จริงแล้วยังมีอีกคนที่นางมองข้ามไป นั่นคืออาเจี่ยน
          อาเจี่ยนมายืนขวางหน้าเหลียนฟางโจวอย่างเงียบกริบ แต่ว่องไวนัก ยกมือขึ้นอย่างนุ่มนวล โบกมือไปด้านหนึ่งคล้ายกับไล่แมลงวัน  ฮูหยินเฉียวชนเข้าไปเต็มรัก  จึงหงายหลัง เซถลาไปหลายก้าวกว่าจะหยุดตัวเองจนยืนมั่นคงได้
          ครั้นแล้วนางถึงได้สังเกตุเห็นอาเจี่ยน ส่งสายตาเจ็บใจจับจ้องไปยังชายหนุ่มร่างสูง  หลังจากที่ชนกันแล้ว  อาเจี่ยนมีท่าที่สงบนิ่ง ทว่าแววตาหาได้สงบนิ่งตามไปด้วยไม่  ทั้งตัวของคนผู้นี้แข็งแกร่งราวกับหินผา  ยืนนิ่งเฉยอยู่ที่เดิม  เท้าไม่ขยับเขยื้อนไปเลยแม้แต่นิด
          “เหลียนฟางโจวเจ้าไม่ห่วงหน้าตาตัวเองเลยหรือ  ริอาจแอบเลี้ยงชายชู้ไว้ใกล้ตัว  ไม่คำนึงถึงชื่อเสียงวงศ์ตระกูล  ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะพาชายชู้เข้ามาในบ้านญาติผู้ใหญ่ของเจ้า!” ฮูหยินเฉียวหันหน้าไปจ้องเหลียนฟางโจว ด้วยสายตาประสงค์ร้าย
          ใบหน้าเหลียนฟางโจวปรากฏโทสะขึ้นมาวูบเดียวแล้วหายไป  ควรจะกล่าวว่ามีสีหน้าบึ้งตึงเพียงครู่เดียวแล้วหายไปมากกว่า เด็กสาวส่งยิ้มบาง  สีหน้าเย็นเยือกประดุจน้ำแข็ง “ดูท่าว่าป้าสามจะยังป่วนท่านน้อยไปนะ  พรุ่งนี้นางคงไปสถานศึกษาในเมืองเพื่อไปหาญาติผู้พี่ข้า เพื่อบอกความจริง และชี้แจงเหตุผลเอาให้ละเอียดไปเลย!”
          ฮูหยินเฉียวสะดุงเฮือก  กวาดสายตามองหลานสาวและอาเจี่ยน เชิดคางขึ้นยกยิ้มเยาะพลางกล่าวว่า “ดี! พูดสิพูดเลย! ข้าคิดว่าเรื่องของเจ้าคงต้องถูกแฉออกมาก่อนด้วยเป็นอันดับแรก!”
          ฮูหยินเฉียวปรายตามองอาเจี่ยน พลางแค่นเสียง “เจ้าไม่เคยรับรู้จริยธรรมและธรรมเนียมปฏิบัติของผู้หญิง  เก็บชายชู้ไว้ใกล้ตัว  เพื่อทำตัวสำส่อนในบ้าน พูดสิ พูดเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกไปเลย!”
          ฮูหยินเฉียวพูดอย่างสำราญใจ  จ้องเหลียนฟางโจวเขม็ง ใจนึกอยากกระทืบเหลียนฟางโจวให้เจ็บปวดนัก คงจะทำให้จิตใจนางเป็นสุขขึ้นทันใด
          ไม่เพียงนาง  แม้แต่เหลียนลี่ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็เหยียดยิ้มขึ้นมานิดหนึ่ง ผู้หญิงของเขาเปลี่ยนไปกลายเป็นคนฉลาดหลักแหลมขึ้นมาแล้วจริงๆ
          เหลียนฟางโจวทำหน้าประหลาดใจแล้ว ประหลาดใจอีก พลันส่งยิ้มเยาะแถมล้อเลียน มองหน้าป้าเฉียว ถามขึ้นเสียงเนิบ “จริยธรรมและธรรมเนียมปฏิบัติของผู้หญิงรึ?  ชายชู้รึ?  ข้ายังไม่เคยออกเรือน  ข้าต้องคำนึงถึงจริยธรรมและธรรมเนียมปฏิบัติของผู้หญิงด้วยหรือข้ายังไม่มีสามีนี่นา  เขาจะเป็นชายชู้ข้าได้รึ? อาเจี่ยนจริงๆแล้วเป็นแรงงานระยะยาวของบ้านข้า  และข้ายังมีหนังสือสัญญาขายตัวเป็นทาสเป็นหลักฐาน! ท่านกล่าววาจาหยาบคายกับข้าอีกแล้ว ดูท่าว่าพรุ่งนี้พวกเราคงต้องเข้าเมืองจริงๆกันเสียแล้ว!”
          เด็กสาวรอให้ฝ่ายตรงข้ามสงบสติอารมณ์ลงก่อน จึงส่งยิ้ม เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง พลางเอ่ยขึ้น “ข้ายังไม่เคยแต่งงาน  อาเจี่ยนก็ยังไม่เคยแต่งงาน  แล้วหากข้าจะแต่งให้เขา แล้วอย่างไรเล่า? จะมีใครกล้าพูดว่าไม่รึ?”
          ฮูหยินเฉียวและเหลียนลี่อับจนคำพูดโดยฉับพลัน แทบไม่สามารถตั้งรับได้
          เหลียนฟางโจวพูดเช่นนี้  นี่มันใช่เหตุผลหรือ!
          ฝ่ายอาเจี่ยนยามได้ยินเสียงเข้มดุของเหลียนฟางโจว  รู้สึกใจกระตุกแปลกๆ  จู่ๆก็เกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว  อดหรี่ตาเหลือบมองไปยังเด็กสาวเงียบๆไม่ได้ ภายในใจรู้สึกถึงความหวานน้อยๆ ผุดขึ้นมาโดยไม่อาจอธิบายได้
          ฮูหยินเฉี่ยวและเหลียนลี่แทบจะบ้าตาย ไม่มีทางเถียงชนะนางได้เลย
          โดยปกติแล้วในช่วงแรกๆหลังจากบิดามารดาเหลียนฟางโจวได้จากไป  ฮูหยินเฉียวและเหลียนลี่นั้นถือเป็นญาติผู้ใหญ่ของนาง  ควรจะเป็นที่พึ่งให้แก่นาง และดูแลนาข้าวของสี่พี่น้องไปด้วย
          อย่างไรก็ดีฮูหยินเฉียวและเหลียนลี่คิดว่า ในภายภาคหน้าทั้งสองต้องเตรียมสะสมสินเดิมให้กับหลานสาวทั้งสอง รวมทั้งยังต้องหาภรรยาให้กับหลานชายอีกสองคนด้วย  ดูแล้วไม่ได้ผลประโยชน์อะไรสักอย่าง
          แม้ว่าที่ดินขนาดสองมู่ของสี่พี่น้องจะน่าดึงดูดใจ  ทว่าพวกเขาคิดกันเอาเองว่า สี่พี่น้องป็นแค่เด็กโต  จะเข้าใจสิ่งใดเล่าในเวลาเพียง 12ปี  ทั้งสองก็น่าจะสามารถหาวิธีฮุบที่ดินทั้งหมดมาเป็นของตนได้  จึงไม่จำเป็นต้องเลี้ยงดูพวกหลานๆ  ดูท่าเป็นความคิดที่แยบยลมากมิใช่หรือ?
          เพราะฉะนั้นเมื่อเหลียนฟางโจวแสดงทีท่าเชื้อเชิญให้พวกเขามาเป็นที่พึ่ง  ให้ป้ากับลุงเป็นผู้อุปการะสี่พี่น้อง  เหลียนลี่พร้อมกับฮูหยินเฉียวจึงพูดว่ายังไม่ต้องการ แสดงเจตจำนงว่าให้ตระกูลมีสองบ้าน  แล้วทั้งสองบ้านให้แบ่งสมบัติของตระกูลออกไป  สองเรื่องนี้ถือว่าทำผิดธรรมเนียมของตระกูลยิ่งไปกว่านั้น น้องชายและน้องสะใภ้ก็จากไปแล้ว แม้ว่าไม่มีผู้ใหญ่ ทว่ายังมีบ้านกับผืนนา เหลียนฟางโจวอายุ15 เหลียนเซ่อวัย 12 ไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว พวกเขาสามารถดูแลตัวเองได้แน่นอน  ไฉนยังต้องการที่พึ่งอีกเล่าตัวเขาสองสามีภรรยายังต้องมีภาระส่งเสียลูกชายให้เรียนสูงๆอีก  จริงๆแล้วก็ไม่มีกำลังไปช่วยเหลือแล้ว....
          เรื่องนี้คนในหมู่บ้านย่อมรู้กันทั่ว
          ตอนนี้ฮูหยินเฉียวและเหลียนลี่ต้องการกลับมาจัดการเรื่องแต่งงานให้กับเหลียนฟางโจว อีกครั้ง  มันจึงเป็นไปไม่ได้แล้ว
          ส่วนป้าสามน่ะหรือ? ป้าสามออกเรือนไปแล้ว  ไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของที่บ้านเดิมได้!
          เพราะฉะนั้นหากเหลียนฟางโจวต้องการเลือกสามี ก็สามารถทำได้แน่นอน 
          เหลียนฟางโจวปล่อยให้ป้ากับลุงสงบสติอารมณ์ลงสักพัก เธอเหลือบมองพวกเขา  แล้วจึงหลุบตามองพื้น  ในดวงตามีแต่ความเหยียดหยามและดูแคลน  จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “อาเจี่ยนเราไปกันเถิดพรุ่งนี้พวกเราและป้าสามจะเข้าเมืองกัน!”
          เหลียนฟางโจวยกเท้าเตรียมจะก้าวออกเดิน อาเจี่ยนเหลือบมองสองสามีภรรยา และเตรียมเดินตามเหลียนฟางโจวไป
          “ฟางโจว หลานใหญ่ของลุง!” เหลียนลี่ครานี้กลัดกลุ้มหนัก จึงตัดสินใจได้ เขาไม่อาจปล่อยให้เหลียนฟางโจวย่างกรายไปที่สถานศึกษาในเมืองได้  หาไม่แล้วชื่อเสียงของบุตรชายคงไม่เหลือหลอ
          เหลียนฟางโจวทำเป็นไม่ได้ยินวาจาของเหลียนลี่  ยังคงก้าวฉับๆต่อไป
          “หลานใหญ่! หลานรัก!” เหลียนลี่ปรี่เข้าไปขวางอย่างรีบเร่ง  ด้วยความหวั่นวิตก ขอร้องและพยายามดึงแขนเหลียนฟางโจว
          มือเขายังไม่ทันได้แตะตัวเหลียนฟางโจว มือของอาเจี่ยนยกขึ้นปัดแขนเขาได้ทันควัน  ทั้งยังแข็งแกร่งราวลูกกรงเหล็ก
          การเคลื่อนไหวของอาเจี่ยนลื่นไหลเป็นธรรมชาติมาก  ทั้งท่วงท่ายังดูสบายๆเหมือนไม่ได้ใช้ความพยายามเลย  บางทีดูไปเหมือนไม่น่าจะมีความแข็งแกร่งอะไร  ทว่าเหลียนลี่และฮูหยินเฉียวกลับทำอะไรไม่ได้เหมือนเดิม  รู้สึกว่าตัวเองชนเข้ากับอะไรสักอย่างที่ทรงพลัง ต่างคนต่างเซถลาไปข้างๆสองก้าวอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว
         ------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์และการติดตามนะคะ
พอดีเห็นรีดทักกันมาว่าพระเอกไม่มีบทเลย และผู้แปลก็อัพช้าด้วย จึงลงให้อีกตอนหนึ่งค่ะ  
พระเอกมีบทแล้ว เป็นทั้งลูกจ้างเป็นทั้ง bodyguard  นางเอกจ้างคุ้มจริงๆค่ะ
            

19 ความคิดเห็น:

  1. พระเอกเรื่องนี้ไม่ค่อยพูดเลยแต่คนเป็นแม่ทัพก็แบบนี้สินะจะให้พูดเป็นต่อยหอยได้ไง

    ตอบลบ
  2. ....มีแววหวานในดวงตา สงสัยจะเริ่มสะดุดรักเข้าซะแล้ว

    ตอบลบ
  3. ....มีแววหวานในดวงตา สงสัยจะเริ่มสะดุดรักเข้าซะแล้ว

    ตอบลบ
  4. ในที่สุดพระเอกเราก็มีบทขึ้นมาแล้ว//ขอบใจจ้าไรท์

    ตอบลบ
  5. อาเจี่ยนประทับใจฟางโจวในโหมดแม่เสือจัดการลุงป้าสินะ ถึงขั้นขายตัวเป็นสามีทาสตลอดชีวิตกันเลย

    ตอบลบ
  6. แววท่านแม่ทัพในอนาคตหากได้ครองคู่กับนางเอก คงไม่พ้นพ่อบ้านใจกล้าอีกคนเป็นแน่!

    ตอบลบ
  7. เป็นสามีในอนาคตด้วยยยย ^^

    ตอบลบ
  8. อร๊ายยยย มีความฟิน~
    ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  9. ชอบๆ อดใจรอตอนต่อไปไม่ไหวแล้วค่ะ อิอื

    ตอบลบ
  10. ท่านแม่ทัพน่ารักกก

    ตอบลบ
  11. ได้แม่ทัพเป็นบอดี้การ์ด นางช่างใจกล้านัก อิอิ

    ตอบลบ
  12. พระเอกมาแล้ว แถมรู้สึกหวานลึกๆในใจด้วย อิอิ
    มาอัพอีก นะ นะ นะ รอลุ้น

    ตอบลบ
  13. อาเจี่ยนหวั่นไหวก่อนสะแล้ววว ฮิ้ววว

    ตอบลบ
  14. เริ่มมีความน่ารักของคู่นี้มาเบาๆค่ะ ว้ายย

    ตอบลบ
  15. พระเอกพูดน้อยต่อยหนักสินะ ><

    ตอบลบ
  16. ท่านแม่ทัพ นอกจากยะความจำเสื่อม ยังจะเป็นใบ้อีกรึ แหมๆ คงจะกลัวดอกพิกุลร่วง มีแต่นางเอกเรา พูดเยอะสุดล่ะ อีกเป็นภรรเมียท่านแม่ทัพคงจะเกรงใจนางน่าดู อิอิอิ

    ตอบลบ
  17. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  18. ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ