วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 49 โครงการเผาถ่าน

          จะเป็นอะไรได้อีกเล่า? เมื่อเห็นเสื้อผ้าของเหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนยังเรียบร้อยเป็นปกติดี ไม่ยุ่งเหยิง  ย่อมรู้ว่าเป็นข่าวดี เหตุการณ์ราบรื่น
          เหลียนฟางโจวยิ้มแป้นออกมา เอ่ยขึ้น “เรียบร้อยแล้วล่ะ!  สู้อดทนเคร่งเครียดกันมาหลายวันแล้ว ยามนี้หิวข้าวเอาจริงๆเลย!”

          “ดี ดี มากินข้าวกันก่อน!” ป้าสามรู้สึกโล่งอกขึ้นทันใด  ทว่ายังอดรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจไม่ได้ นางอยากรู้แทบตายแล้วว่าเหลียนฟางโจวจัดการกับหญิงแก่จอมหลอกลวงนางนั้นเยี่ยงไร
          อย่างไรก็ดีนางรู้ว่ายามนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะคุยเรื่องนี้  เพราะว่าเหลียนฟางโจวจะไม่พูด หากอยู่ต่อหน้าน้องน้อยทั้งสองคน  คงต้องคอยเอาหลังมื้อเย็น
          ยามนี้ก็มืดค่ำแล้วด้วย ไม่เพียงแต่เหลียนฟางโจวเท่านั้น คนทั้งบ้านต่างก็หิว เมื่อได้ยินเหลียนฟางโจวบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อย ครั้นแล้วจึงต่างลงนั่งประจำที่เพื่อกินอาหาร มีเพียงป้าสามที่ยังกระวนกระวายใจไม่หยุด  นางกำลังรอฟังข่าวร้ายของฮูหยินเฉียวอย่างใจจดใจจ่ออยู่!
          เหลียนฟางโจวลอบมองป้าสาม  ให้แอบขำในใจเงียบๆ  ทำทีเป็นไม่รู้ไม่ชี้
          หลังจากมื้อเย็น ป้าสามอดรนทนไม่ไหว รีบเอ่ยขึ้น “ฟางโจว ฮูหยินเฉียวไม่ได้สร้างเรื่องลำบากให้เจ้ารึ?”
          ตอนเริ่มต้นบทสนทนา ดวงตาของป้าสามอดลุกวาบไม่ได้  กระพริบตาเป็นนัยส่งไปให้เหลียนฟางโจว
          เหลียนฟางโจวไม่ทันเห็นสัญญาณของนาง จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ นางจะรังแกข้าได้ง่ายๆเยี่ยงไร?  ข้าขอคุยธุระกับอาเจี่ยนสักหน่อย  ป้าสาม...เราค่อยกลับมาคุยในรายละเอียดภายหลังอีกทีก็แล้วกัน!”
          ป้าสามมีท่าทีลังเล ใจหนึ่งหาได้อยากบังคับเอากับหลานสาวไม่  หากแต่อีกใจยังรู้สึกว้าวุ่นไม่หยุด
          อาเจี่ยนครั้นได้ยินว่าเหลียนฟางโจวมีบางสิ่งจะพูดกับตน  ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นเดินตามไป
          เหลียนฟางโจวยืนอยู่กับชายหนุ่มที่ประตูรั้วบ้าน พูดคุยกันอยู่สักครู่  ครั้งแรกอาเจี่ยนดูลังเล ต่อมาจึงพยักหน้ารับปาก เหลียนฟางโจวจึงเบาใจ เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านเข้าบ้านไปก่อน  พอดีข้ามีเรื่องต้องไปบ้านป้าจาง!” ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับ  ครั้นแล้วจึงเดินเข้าข้างใน
          ป้าสามไม่กล้าไปกวนยามเหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนสนทนากัน  ครั้นได้ยินเสียงเคลื่อนไหว จึงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงอาเจี่ยนเดินเข้ามาคนเดียว  จึงรีบเอ่ยขึ้น “ฟางโจวเล่า?”
          อาเจี่ยนที่ไหนจะเข้าใจว่าป้าสามกระหายจะคุยเรื่องที่บ้านฮูหยินเฉียวแค่ไหน?  รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยกับสีหน้าวิตกกังวลของนาง รีบเอ่ยขึ้น “นางพูดว่ามีเรื่องต้องไปบ้านป้าจาง
          ป้าสามรู้สึกสลดหดหู่โดยพลัน “บ้าเอ๊ย!” พึมพำเสียงต่ำ “ไปขลุกอยู่บ้านนั้นแทบจะวันเว้นวันเลย!”
          ที่เหลียนฟางโจวไปบ้านป้าจางนั้น  ไม่ได้ไปเล่นสนุกอย่างแน่นอน เธอมีเรื่องต้องการปรึกษาหารือกับพวกเขา
          ยามนี้เข้ากลางเดือนสิบแล้ว แม้ว่าอากาศยังไม่ถึงกับหนาวเย็นมาก ทว่าอุณหภูมิบนภูเขาลดต่ำลงมากแล้ว โดยปกติ ยามนี้ย่อมไม่มีเห็ดให้เก็บแล้ว
          หลายวันที่เก็บเห็ดกลับมานี้ เหลียนฟางโจวหาได้ตั้งใจจะนำออกขายไม่ เธออยากคอยจนกระทั่งถึงกลางเดือนสองเสียก่อน แล้วจึงค่อยนำออกขาย ราคาขายย่อมจะพุ่งสูงขึ้นมากเป็นแน่
          ถึงอย่างไร สินค้าพวกนี้ล้วนเป็นของตากแห้ง ยื้อไว้นานสักพัก ก็ไม่เสียหายอันใด
          เช่นนั้น  เธอต้องหารายได้ทางอื่นเสียแต่เนิ่นๆ
          ทว่าเหลียนฟางโจวครานี้ถือเป็นแขกของบ้านป้าจาง  ทั้งได้รับการต้อนรับอันอบอุ่น ทันทีที่เธอมาถึง ป้าจาง ลุงลี่ ฮูหยินจ้าวและคนอื่นๆต่างยิ้มแย้มทักทายเธอ  เชื้อเชิญให้นั่งคุยอย่างคุ้นเคยสนิทสนมกันมาก
          ฮูหยินจ้าวจ้องมองเหลียนฟางโจวด้วยดวงตาสดใส  รีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จะมาคุยเรื่องนำเห็ดไปขายในเมืองพรุ่งนี้หรือไร? ข้าเตรียมตัวพร้อมแล้วนะ!”
          ฮูหยินจ้าวในใจคันยุบยิบนัก  อยากเอาเห็ดไปขายเสียตอนนี้เลยถ้าทำได้  นางนั่งรอนอนรอนับเงินมาเนิ่นนานแล้ว!  คิดถึงกระสอบเห็ดที่เก็บมาได้  ซึ่งจะเปลี่ยนไปเป็นเหรียญเงินจำนวนมากขึ้นมาทีไร ใจนางให้ตื่นเต้นราวกับจะโบยบินออกมาให้ได้ทุกที
          “ฮูหยิน  ไม่ต้องเร่งรีบไป คอยอีกสักหน่อยนะ! พอดีคืนนี้ข้ามีเรื่องอื่นอยากมาหารือด้วย!” เหลียนฟางโจวเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
          ป้าจางเหลือบมองมองลูกสะใภ้ด้วยสายตาโมโห เอ่ยขึ้น “เจ้า เอาแต่งุ่นง่านกังวลราวกับผีเข้าไปได้! ก่อนนั้นไม่ได้บอกแล้วหรือว่าจะขายทุกอย่างในเดือนสอง? กลับมาถามเอาอีกแล้ว!”
          “ข้าไม่เห็นฟางโจวมา คิดว่าจะเปลี่ยนแผน!” ฮูหยินเจ้ายิ้ม
          เหลียนฟางโจวครั้นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่ายามนี้ยังไม่ได้ขายเห็ด ทว่าลุงลี่ ป้าจาง ข้าอยากคุยเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องทำเงินเหมือนกัน ไม่ทราบว่าลุงและป้าเต็มใจจะทำร่วมกันหรือไม่?!”
          ลุงลี่ได้ยินเหลียนฟางโจวพูดจึงมองหน้าภรรยา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฟางโจวเจ้ามีอันใดก็จงพูดออกมาตามสบายเถิด!”
          ลุงลี่ครั้นได้ฟัง จึงเข้าใจแล้วว่าคงไม่ใช่เรื่องเก็บเห็ดหรืออะไรที่ง่ายๆเทือกนั้น
          ครั้นแล้วเหลียนฟางโจวจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “งานนี้ต้องการเวลาดำเนินการสั้นๆในช่วงต้นฤดูหนาว  ข้าคิดว่า หากเราเผาถ่านได้บางส่วน  แน่นอนว่า จะไม่ต้องกังวลเรื่องการขายเห็ดเลย ข้า…!”
          “ว่าอันใดนะ?” เหลียนฟางโจวยังไม่ทันพูดจบ ลุงลี่ และลูกชาย ลี่ซาน สองคนพ่อลูกส่งเสียงร้องขึ้นราวกับนัดกันไว้ล่วงหน้า ด้วยความประหลาดใจ ป้าจางและฮูหยินจ้าวต่างตกตะลึง
          “เจ้ากำลังพูดอันใดนะ? เผาถ่านหรือ?” ลุงลี่แทบไม่อยากจะเชื่อ
          “ใช่.เอ่อ..”ป้าจางเป็นผู้ที่มีปฏิกริยาตอบรับออกมาคนเดียว ทำให้เหลียนฟางโจวรู้สึกหวั่นใจ พยักหน้าลงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว รู้สึกใจไม่ดีแล้ว
          “ฟางโจวลุงลี่หัวเราะเบาๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เผาถ่านเป็นงานที่ต้องใช้ความชำนาญ ไม่ใช่ว่าทุกคนในบ้านเมืองนี้จะทำได้หรอกนะ! ที่ใกล้ๆพื้นที่นี้ มีเพียงสองสามครอบครัวที่ทำกัน  นั่นเป็นพวกที่เขาทำสืบทอดกันมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ  ไม่มีใครเต็มใจจะสอนคนอื่นหรอกนะ!”
          “ใช่ ในหมู่บ้านเราไม่มีครอบครัวไหนใช้ถ่านเลย!  หากต้องการใช้มันในหน้าหนาว ย่อมต้องจ่ายเงินเกือบเท่ากับค่ากินอยู่ทั้งปี  ไม่ต้องไปคิดเรื่องนี้ให้เสียเวลาเลย! ลี่ซานที่อยู่ที่นั่นด้วยรู้สึกขบขัน
          ที่บ้านสกุลลี่ยามนี้มองว่า  เหลียนฟางโจวเป็นเด็กช่างคิดเพ้อฝันไปไกล  หาได้รู้เลยว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยากลำบาก  จึงได้พูดออกมาง่ายดายนัก  ครั้นแล้วจึงอธิบายให้นางเข้าใจด้วยรอยยิ้ม
          ฮูหยินจ้าวถอนหายใจเบาๆ ในใจแอบผิดหวังเงียบๆ  นางคิดว่าเหลียนฟางโจวจะมีแนวคิดดีๆที่ทำเงินได้มานำเสนอเสียอีก!
          ลี่จวนหันไปมองพี่สะใภ้ แล้วยกยิ้มเงียบๆ
          อย่างไรก็ตาม พวกเขาดูท่าจะไม่เชื่อถือเหลียนฟางโจวเอาจริงๆเสียด้วย
          เหตุผลที่เธอนำเสนอโครงการนี้  ก็เพราะว่าในชาติภพก่อนหน้า เหลียนฟางโจวเคยมีโอกาสไปทำงานแถบชนบทบ่อยๆ  เรื่องการเผาถ่านนี้ เธอเคยไปเห็นมาด้วยตาตนเองแล้ว ในตอนนั้นเธอรู้สึกสนใจใคร่รู้มาก  ซ้ำยังจงใจอาสาเข้าไปช่วยงานเขาอีก  คอยเสาะแสวงหาความรู้จากเพื่อนชาวหมู่บ้านอย่างตั้งอกตั้งใจ
          ในยุคสมัยใหม่ที่นางจากมา  มีหลายสิ่งที่ใช้สร้างความอบอุ่นในช่วงหน้าหนาวมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นถ่านไม้ในยุคของเธอที่ทำขายนั้น  ผลิตด้วยเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม  ทว่ายังมีคนในชนบท ที่ยังยึดถือวิถีการเผาถ่านในเตาเผา ซึ่งทำด้วยอิฐแบบตะวันออกตามประเพณีดั้งเดิมอยู่  ซึ่งทั้งสิ้นเปลืองเวลาและมีปัญหาในการผลิต ใช้แรงงาน ใช้เวลา  ต้นทุนไม้ที่จะเอามาเผาก็มีราคาสูง  และเทคนิคก็ล้วนเป็นของโบราณ  จึงเหลือคนทำอาชีพเผาถ่านในลักษณะนี้ไม่มากแล้ว
          ดังนั้น เหลียนฟางโจวจึงสอบถามข้อมูลอย่างสนใจใคร่รู้กับเพื่อนชาวหมู่บ้าน เพื่อนชาวหมู่บ้านไม่เพียงไม่หวงความรู้  กลับคิดว่าเธอเป็นคนเมืองอาจเข้าใจยากสักหน่อย  จึงอธิบายให้เข้าใจอย่างละเอียดละออไม่มีกั๊ก  ซ้ำยังพร่ำสอนในประเด็นที่ต้องระวังและเอาใจใส่รวมทั้งเรื่องอื่นๆอีกมากมายด้วย
          ตัวเธอนั้นเป็นคนเฉลียวฉลาด และมีความทรงจำดี ใครจะรู้เล่าว่าวันนี้จะได้ใช้ความรู้อันนี้เข้าแล้ว
          เพราะถ้อยคำในวันนั้นของเหลียนเซ่อ  จึงทำให้เธอรู้ว่าการเผาถ่านในยุคโบราณนี้เป็นงานเทคนิคระดับสูง ไม่ใช่ตาสีตาสาจะทำกันได้  โดยเฉพาะผู้หญิงยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ไม่ต้องกล่าวให้มากความเธอเองก็อยู่ในร่างเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น!
          เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าการเผาถ่านขายจะทำเงินได้มากกว่า  ทว่าก็ต้องเจอกับอุปสรรคจากการไม่รู้ว่าจะอ้างเหตุผลอย่างไรกับคนทั้งหลายดี  อีกทั้งจะให้เธอและเหลียนเซ่อเผาถ่านกันตามลำพังย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  เพราะงานนี้เป็นงานที่ใช้แรงหนักหนาสาหัสเอาซะจริงๆ!
          วันนี้ในสมองเธอปิ๊งไอเดียได้ว่า ทางออกดีที่สุด คืออ้างอาเจี่ยน
          เธอไม่สามารถอ้างอิงตัวเองได้  ทว่าหากอ้างอาเจี่ยนย่อมสามารถเป็นไปได้แน่!
          ดังนั้น เธอจึงเพิ่งบอกเรื่องนี้กับอาเจี่ยนไปคร่าวๆ  เธอผลักเรื่องนี้เข้าไปในหัวอาเจี่ยนแล้ว เมื่อเวลามาถึงเธอก็จะให้อาเจี่ยนพูดกับพวกเขาตามที่เธอบอกไว้ล่วงหน้า  เธอจะคอยยืนอยู่ข้างๆอาเจี่ยนเพื่อคอยบอกบท  จึงไม่ต้องกลัวว่าอาเจี่ยนจะพูดผิดเลย
          ทันไดนั้นความมั่นใจของเหลียนฟางโจวก็กลับคืนมา  ให้อาเจี่ยนพักอยู่ด้วย ถือว่าทำถูกต้องแล้ว!  สิ่งที่จะต้องทำต่อมาก็คือ คอยผลักดันอาเจี่ยนให้เดินไปข้างหน้าเท่านั้น
          ไฉนเธอจึงไว้วางใจอาเจี่ยนถึงปานนี้  เหลียนฟางโจวหาได้คิดในข้อนี้เลยไม่
          “ท่านลุง  ที่ท่านกล่าวมา ข้าเข้าใจ ทว่าตัวข้านั้นไม่ได้ล้อเล่นเลย  ข้าหมายความตามนั้นจริงๆ!” เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้ม เอ่ยขึ้น “ที่จริงแล้วข้าไม่รู้เรื่องนี้หรอก คนที่รู้คืออาเจี่ยน!”
          “อาเจี่ยนรึ?” ลุงหลี่ ป้าจาง และคนทั้งครอบครัว ต่างตะลึงงัน เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
          พวกเขาไม่มีใครรู้เรื่องที่อาเจี่ยนความจำเสื่อม  เรื่องนี้จะให้ใครรู้ไม่ได้  เพราะว่าความจำเสื่อมก็คือการไม่มีความทรงจำ  การจะไปรู้วิธีทำสิ่งต่างๆโดยการคิดเอาเอง หรือจากจิตใต้สำนึก จึงเป็นไปไม่ได้
          “ใช่! คืออาเจี่ยน!” เหลียนฟางโจวพยักหน้าหงึกหงัก ยิ้มสดใส

          “สิ่งที่เจ้าพูดมาคือเรี่องจริงรึ?” โอ อย่างนี้ก็เยี่ยมไปเลย! เช่นนั้นพวกเราก็ไปเผาถ่านพรุ่งนี้กันเลยเถิด! “ พ่อแม่สามียังไม่ทันตื่นจากภวังค์ ฮูหยินจ้าวกลับร้องออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจเสียแล้ว
--------------------------------------------------
ขอบคุณทุกการติดตาม และทุกคอมเมนต์ค่ะ ^-^

13 ความคิดเห็น:

  1. อื่ม จบจากลุงป้า ยังมีป้าสาม กะฮูหยินจ้าว ถถุถ

    ตอบลบ
  2. ทำไมไม่ทำกับอาเจี่ยนสองคนก็น่าจะทำได้นังฮูหยืนจ้าวผู้โลภมากได้กลับมาสร้างปัญหาอีกแน่ๆ

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณคะ ได้รับความรู้อีกเรื่องแล้ว

    ตอบลบ
  4. เอาอินังฮูหยินจ้าวไปเก็บบบบ

    ตอบลบ
  5. เดี๋ยวนี้อะไรๆก็อาเจี่ยนนะ อิอิ

    ตอบลบ
  6. ทุกยุคทุกสมัยทุกสังคมจะมีคนแบบฮูหยินจ้าวเสมอ และเป็นตัวที่น่ารำคาญมากเก็บเข้ากรุได้ปะ

    ตอบลบ
  7. ยัยฮูหยินเจ้าเสนอหน้าเจ๋อทุกเรื่อง

    ตอบลบ
  8. เผาถ่านไม่ได้ใช้แรงงานมากขนาดน้าน เตาผีใช้คนเดียวก็ได้แระ

    ตอบลบ
  9. มีอาเจี่ยนนี่ดีจริงๆ

    ตอบลบ
  10. อาเจี่ยนนี่สารพัดประโยชน์จริงๆ
    เบื่อฮูหยินจ้าวค่ะ นางโลภมาก ไม่ชอบนางเลย หวังว่าคนเขียนคงให้บทเรียนนางบ้างนะคะ

    ตอบลบ
  11. ทำไมไม่ทำกันเองนะ จะใจดีไปไหนนี่
    ขอบคุณผู้แปลค่ะ

    ตอบลบ
  12. ชอบ แนงเอก นะ และก็ ชอบท่านแม่ทับมาก ต้องแบบนี้สิถึงจะเป็นแม่ทัพ แต่ ยัยเจ้า กับ พวกท่านป้านี้ ถ้าผมเขียนเองนะ ตายไม่ดีซักคนน่าลำคาน

    ตอบลบ
  13. เข้ามานั่งรอแม่นางน้อยฟางโจว เจ้าคะ

    ตอบลบ