วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 68 ระดมทุน

            เงิน 60 ตำลึงนี้หากเอาไปซื้อของ  คงซื้อได้แต่ของธรรมดาทั่วไป  เช่นที่ดิน 1 มู่  ราคา 4 ตำลึง  เช่นนั้นเงิน 60 ตำลึง สามารถซื้อที่ดินได้ราว 15 มู่ ( ราว 6 ไร่) ซึ่งที่ดินที่จะหาซื้อทั้งหมดนี้ล้วนใช้เพื่อการปลูกฝ้ายทั้งสิ้นแม้ว่าความคิดดั้งเดิมของเธอจะแตกต่างจาก  ความคิดในตอนนี้มาก  ทว่าเธอคงทำได้เพียงเท่านี้!

            หนึ่งปีข้างหน้านี้  ครอบครัวเธอคงต้องลงแรงทำงานให้หนักขึ้น  เธอเชื่อว่าหลังผ่านไปหนึ่งปีสถานการณ์ของครอบครัวคงจะดีขึ้นมาก
            เมื่อเหลียนฟางโจวบอกว่าต้องใช้เงินตำลึงที่เก็บไว้ทั้งหมด   รวมไปถึงเงินที่จะได้จากการเผาถ่านในอนาคตด้วย  เพื่อจะนำไปซื้อเมล็ดฝ้าย  คนทั้งบ้านต่างตกตะลึงกันไปทั้งหมด
            คราแรกป้าสามไม่เห็นด้วย  รีบเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนและเกรี้ยวกราดว่า “ฟางโจว..เจ้าจะทำตัวโง่งมเช่นนี้ไม่ได้นะ!   เรื่องนี้ทุกคนในหมู่บ้านต่างถกเถียงกันมากว่าสองวันแล้ว  ทุกคนต่างปรารถนาเอาตัวเองหลีกลี้ให้ไกลจากเรื่องนี้กันทั้งนั้น   หาได้มีใครอยากเป็นตัวตั้งตัวตีไม่ หากเรื่องนี้เป็นเรื่องดีจริงๆ  ทางขุนนางราชสำนักคงให้เจ้าของที่ดินรายใหญ่   หรือพวกคนใหญ่คนโตในแถบชนบททำไปเสียแต่เนิ่นๆแล้ว   ไยพวกเขาจะมานึกถึงคนธรรมดาเฉกเช่นพวกเราเล่า?   ข้าได้ยินว่าพวกเจ้าของที่ดินที่ร่ำรวยมั่งคั่งเหล่านี้ได้ปรึกษาหารือกับขุนนางที่ปกครองเมืองมาก่อนแล้ว   บางรายวางแผนซื้อเมล็ดพันธุ์ไว้เฉยๆ โดยไม่ลงมือปลูก  เมื่อถึงเวลาก็เสียภาษีไปตามธรรมเนียม   บางรายถึงขนาดปฏิเสธที่จะซื้อเมล็ดพันธุ์เสียด้วยซ้ำเฮ้อ..ขุนนางราชสำนักมีแต่จะกลั่นแกล้งรังแกประชาชนเช่นพวกเรา  ใครเล่าจะกล้าบอกเราว่าเราจะไม่ได้เงินจากการปลูกพืชพวกนี้?!  การที่เจ้าซื้อที่ดิน  นับว่าเป็นความคิดที่ดี  แต่ไม่ใช่เพื่อปลูกดอกไม้นรกพวกนี้   ดอกไม้สามารถเอามาทำเสื้อผ้าได้เสียเมื่อไร  ใครที่อาจหาญปลูกย่อมเสียหายย่อยยับ  ทั้งยังโดนมองเป็นคนโง่เง่าอีกด้วย!”
            “พี่ใหญ่...ที่ป้าสามกล่าวมา   ก็มีส่วนจริงนะ   ไฉนท่านจึงอยากปลูกฝ้ายนี้เล่า?”  เหลียนเซ่อถามขึ้น
            เหลียนเช่อและเหลียนฟางฉิงยังเด็กนัก  จึงแค่ฟังผ่านๆ  ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไร
            เหลียนฟางโจวเอ่ยเสียงเนิบ “ข้าอยากลองดู  ข้าคิดว่าขุนนางราชสำนักคงไม่หลอกลวงประชาชนนี่หาใช่เรื่องเล็กไม่เพราะเกี่ยวข้องกับคนเป็นอันมาก   พวกเขาไม่กลัวว่าจะเป็นต้นเหตุของความหายนะหรอกรึอีกทั้ง...ฝ้ายสามารถเอามาทำเสื้อผ้าอาภรณ์ได้  การเตรียมการขนาดนี้   ยังจะทำไปเพื่อโกหกหลอกลวงได้รึข้ามองว่านี่คือเรื่องจริง!  อย่างต้นปอยังสามารถนำมาปั่นเป็นด้าย  และถักทอเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ได้เลย  เมื่อมองไปยังต้นปอสูงๆที่ขึ้นบนพื้นดิน  จะมีผู้ใดนึกถึงหรือว่ามันสามารถเอามาทำผ้าผ่อนได้เราลองดูกันสักตั้งเถิดซื้อเมล็ดพันธุ์กลับมาก่อน  พอถึงปีหน้าเราจะลองปลูกดู  และคงต้องทุ่มเทแรงกายเพื่องานหนักกันไม่ใช่น้อยแน่!”
            เหลียนเซ่อฟังเสียงเหลียนฟางโจวเสมอ  ครั้นแล้วจึงพยักหน้าเอ่ยขึ้น  “ข้ามองว่าพี่ใหญ่พูดจามีเหตุผล  การลองพยายามดู  หาใช่สิ่งที่ผิดไม่ซ้ำปีหน้าคอยให้อากาศอุ่นขึ้น  เราสามารถขึ้นเขาเซียนเติ้งซานได้   เพื่อเก็บเห็ดและของป่าไปขายทำเงิน ซ้ำตัวข้าจะถือโอกาสไปล่าสัตว์ด้วยพี่เจี่ยนเคยบอกว่าถึงช่วงนั้นคงหยุดเผาถ่านแล้ว  ข้าจะให้พี่เจี่ยนพาข้าขึ้นเขาลูกนั้น! ”
            อาเจี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยขึ้น “ได้ยินว่าเขาเซียนเติ้งซานคือสถานที่ที่ดี   ข้าเองก็อยากเข้าไปหาประสบการณ์ลึกๆข้างในด้วยเหมือนกัน!”  สำหรับเรื่องการปลูกฝ้าย  เนื่องจากเขาไม่ใช่คนที่นี่   จึงไม่อยากแสดงความคิดเห็นใดๆ
            “พูดอะไรเช่นนั้น!” ป้าสามกลุ้มอกกลุ้มใจ  พยายามโน้มน้าวเหลียนฟางโจวให้คล้อยตาม   ทว่าเมื่อตัดสินใจไปแล้ว  ไหนเลยเหลียนฟางโจวจะยอมเปลี่ยนใจ  ซ้ำเหลียนเซ่อเองยังสนับสนุนพี่สาวอีกด้วย   ป้าสามจึงกลายเป็นคนเดียวในบ้านที่เดือดเนื้อร้อนใจ   นางจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า  “หากเจ้าอยากปลูกฝ้ายเอามากจริงๆ  แล้วเมล็ดพันธุ์เล่า?  อาจไม่มีเมล็ดพันธุ์พอให้ปลูกมากนักก็ได้!”
            “เรื่องนี้ไม่ง่ายหรอกรึ ก็แค่ไปซื้อมาถึงอย่างไร.. ก็มีคนเป็นอันมากไม่อยากปลูกมัน!”  เหลียนเช่อพูดขึ้น “ซ้ำพี่ใหญ่ยังส่งถ่านไปให้ท่านลุง  ท่านลุงคงจะช่วยเราเรื่องนี้เป็นแน่!”
            “เจ้าเด็กคนนี้นี่!” ป้าสามได้ยินแล้วถลึงตามองเหลียนเช่อ
            เหลียนฟางโจวหลบตาแล้วรีบถามขึ้น “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่า ข้าส่งถ่านไปให้พวกเขา?”
            แม้ว่าวันนั้น  เธอจะให้น้องเล็กทั้งสองไปเก็บถ่านให้ที่ห้องใต้หลังคา  ทว่าเธอไม่ได้บอกพวกเขาว่าจะส่งถ่านให้ฮูหยินหนิวชี่  เธอแค่ต้องการให้ฮูหยินหนิวชี่ระลึกถึงความดีของเธอ  แค่นั้นก็พอใจแล้ว  ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้ใครรู้
            “ข้ารู้! ข้ารู้!” เหลียนฟางฉิงโพล่งขึ้น “แม่นางจางหยานเป็นผู้เล่า!”
            จางหยาน ลูกสาวจางลี่เจิ้งรึ?  เหลียนฟางโจวประหลาดใจอยู่เป็นครู่  เช่นนั้นคงต้องปล่อยเลยตามเลย!
            เธอครุ่นคิดสักพัก จึงเอ่ยขึ้น “ฉิงเอ๋อร์  เช่อเอ๋อร์ คอยช่วยข้าเก็บถ่านอีกสักตระกร้าหนึ่ง  พวกเราจะส่งไปให้ลุงและป้าใหญ่ด้วย!”
            “ทำไมเล่า?  ข้าไม่อยากเลย!” เหลียนฟางฉิงเม้มปาก เหลียนเช่อก็ไม่เห็นด้วย
            “เป็นสิ่งดี  ครอบครัวเราเก็บเศษถ่านมากมายกลับมา  ใช้ได้เพียงพอตลอดฤดูหนาวอยู่แล้ว  แค่แบ่งให้พวกเขาสักส่วนหนึ่ง  หาได้กระทบกระเทือนอันใดไม่!  เชื่อฟังพี่นะ!” เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
            “ทราบแล้ว พี่ใหญ่! เช่นนั้นประเดี๋ยวข้าและน้องฉิงจะไปจัดการให้!” เหลียนเช่อเอ่ยขึ้น
            เหลียนฟางฉิงพ่นลมออกจากปาก  ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
            “เจ้านี่...ช่างใจกว้างดุจแม่น้ำเสียจริง!” ป้าสามค้อนตาใส่เหลียนฟางโจว   กำลังจะกล่าวประโยคถัดไป  ทันใดนั้นนางฉุกคิดได้ว่า  เหลียนฟางโจวคงมีเจตนาต้องการเปลี่ยนเรื่อง จึงตั้งใจบอกเช่นนั้นครั้นแล้วจึงล้มเลิกความคิดที่จะพูดต่อ “ฟางโจว   ฝ้ายพวกนั้น..หากเจ้าลงมือทำไปแล้ว เกิดล้มเหลวขึ้นมา..เฮ้อ คงเสียหายหลายแสน  เสียทั้งที่ดิน  เสียทั้งเงินทอง  มิหนำซ้ำยังต้องถูกหัวเราะเยาะอีก!   เราควรแบ่งที่ดินบางส่วนปลูกฝ้าย  จึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง   หากเกิดปลูกฝ้ายแล้วได้ผลดีขึ้นมา  ค่อยปลูกเพิ่มขึ้นในภายหลังก็ยังไม่สาย!”
            สิ่งที่ป้าสามเสนอมา นับว่าถูกต้อง  เหลียนเซ่อมองหน้าเหลียนฟางโจว อย่างไรก็ตามหากเหลียนฟางโจวยังคงดึงดันความคิดเดิม  เขาย่อมสนับสนุนพี่สาวอยู่ดี
            “ป้าสาม เรื่องนี้..ข้าได้ตัดสินใจไปแล้ว!” เหลียนฟางโจวถอนหายใจ “ใจข้ายังอยากยืมเงินเพื่อซื้อที่ดินเพิ่มอีกซักหน่อย  ช่างน่าเสียดายนักที่ไม่อาจหยิบยืมใครได้คราแรกคงต้องทดลองปลูกฝ้ายบนที่ดินขนาด 10 มู่ไปก่อน!”
            พอหญิงสาวกล่าวจบ  ทุกคนต่างตกตะลึงอีกครา
            “เจ้าเอาจริงหรือ”  ใจป้าสามเต้นกระตุกทันใด รีบถามขึ้น “เจ้าจะยืมเงินจริงๆรึ?”
            “เป็นเช่นนั้น!” เหลียนฟางโจวพยักหน้าตอบป้าสาม  
ป้าสามโพล่งขึ้น “เจ้าก็เห็น  คนที่เขาเต็มใจให้ยืมเงิน  ก็ต่อเมื่อเจ้าสามารถอธิบายเหตุผลให้เขากระจ่างได้ถ้าบอกแค่ว่าจะทดลองดู  ใครที่ไหนจะเต็มใจให้ยืมเงิน   เห็นได้ชัดแล้วว่าเรื่องนี้  ไม่อาจทำได้  จงล้มเลิกความคิดนี้เสียเถิด
            เหลียนฟางโจไม่ได้สนใจถ้อยคำที่ป้าสามแนะนำเธอเลยด้วยซ้ำ  เพียงแต่ยึดโอกาสนี้เอาไว้ แล้วรีบถามขึ้น “ข้าไม่รู้ว่าจะอธิบายกับป้าสามอย่างไรดี?”  ตราบใดที่ยังมีแสงแห่งความหวัง  เธอย่อมทุ่มเทด้วยแรงความพยายามทั้งหมด
            ครั้นแล้วป้าสามจึงเอ่ยขึ้น “เจ้าจำไม่ได้แล้วรึเจ้ามีญาติที่ชื่อฟางฉิง  สี่ปีก่อนแต่งเข้าเป็นลูกสะใภ้ให้กับคนสกุลซู่ในเมืองซ่วงหลิวที่อยู่ใกล้เมืองยู่เหอของเรา! ทว่าสกุลซู่ที่เป็นสกุลของสามีนาง  ทั้งร่ำรวยและมียศฐาบรรดาศักดิ์สูง!  มีที่ดินอุดมสมบูรณ์มากมายมหาศาล  มีร้านค้านับไม่ถ้วนมารดาเจ้าและมารดานางต่างเป็นลูกพี่ลูกน้องฝ่ายหญิงกัน  ยายของเจ้าและยายของนางเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน!”
            เมื่อเหลียนเซ่อได้ยิน  ก็นึกขึ้นได้ในทันที เอ่ยว่า “แต่ก่อน ท่านแม่เคยเอ่ยให้พวกเราฟังด้วย  บอกพวกเราว่าท่านน้าเคยตามท่านยายมาอยู่กับท่านแม่ช่วงระยะสั้นๆ ตอนที่ท่านแม่เพิ่งแต่งงาน อย่างไรก็ดีเมื่อสองสามปีก่อนท่านยายทั้งสองได้ล้มป่วยและถึงแก่กรรม!  จึงไม่ได้มีการติดต่อญาติที่ชื่อฟางฉิงอีก   แต่ก่อนท่านแม่เคยได้ให้ความช่วยเหลือเรื่องเงินแก่นางด้วย  ภายหลังครอบครัวนางย้ายไป  ได้ยินมาว่าแต่งให้กับคหบดีผู้มั่งคั่งแห่งเมืองซ่วงหลิว  เป็นเพราะว่าอยู่ห่างไกลกันมาก  จึงไม่ได้มีการติดต่อไปมาหาสู่กันอีกเลย!”
            เมื่อเหลียนฟางโจวได้ยินเช่นนั้น  ให้รู้สึกสับสนไปเล็กน้อย  ทว่ามีสองส่วนที่เข้าใจได้คือ  ความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างญาติทั้งสองฝ่าย...ที่ขาดการติดต่อกันมานานมาก   ญาติผู้นั้นที่อยู่ห่างไกลนักเป็นผู้ที่นางควรไปขอยืมเงิน   แม้ว่าเมื่อก่อนญาติรุ่นก่อนจะมีสายเลือดเดียวกัน   แต่ในยามนี้เธอเกรงว่าเรื่องการขอยืมเงินคงเป็นสิ่งที่ยากลำบากเช่นกัน  อย่างไรก็ดี  ในใจของเหลียนฟางโจวตัดสินใจที่จะลองดูสักครั้ง  บางทีอาจสำเร็จก็ได้ใครจะไปรู้?    
  ---------------------------------------------------
  ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ

  มีผู้อ่านถามมาว่าไรท์ไปเมืองจีนมารึเปล่า  คำตอบคือใช่ค่ะ ไรท์ได้ไปเยือนเทศบาลนครฉงชิ่ง ซึ่งอยู่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ติดกับมณฑลเสฉวน  สำหรับเมืองที่กล่าวในเรื่องนี้ มีเมืองยู่เหอ ที่ครอบครัวนางเอกอยู่  และเมืองช่วงหลิวที่ญาตินางเอกอาศัยอยู่  ซึ่งน่าจะกลายเป็นอำเภอๆหนึ่งของเมืองเฉิงตู ซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑลเสฉวน  เนื่องจากเทศบาลนครฉงชิ่งอยู่ติดกับมณฑลเสฉวน  อาหารการกินจึงใกล้เคียงกัน  ไรท์ไปถึงที่นั่นได้พบเจอเมนูอาหารที่มีกล่าวไว้ในนิยายเรื่องนี้  เช่นหมูผัดพริกเขียว  ผัดกะหล่ำจีน  เกี๊ยว (รูปภาพหาดูในตอนก่อนหน้าได้นะคะ) พบว่ารสชาติอร่อย ถูกปากมาก และเป็นอาหารจานหลักของที่นั่นด้วยค่ะ  ทำให้ฟินเป็นอย่างยิ่ง  พอคิดถึงพระเอกที่บ้านแกอยู่ปักกิ่ง แล้วระเหเร่ร่อนมาถึงภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ก็นับว่าไกลพอดู เลยทำให้ญาติพระเอก กว่าจะตามหาพระเอกเจอ ก็เสียเวลาไปนานมากเลยค่ะ ^-^

9 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณจ้าไรท์ลุ้นว่านางเอกจะไปยืมเงินไหมพระเอกหลงมาตั้งไกลนี่เองญาติถึงหาไม่เจอแต่ถ้าไม่หลงมาไกลขนาดนี้ก็คงไม่ได้เจอนางเอกแน่ๆ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณคะ...ไปเที่ยวครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่ดีนะคะ ได้เห็นสิ่งแวดล้อมของนางเอกด้วยน่าสนุกคะ

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณคะ ลุ้นว่าน้องฟางสามารถปลูกฝ้ายได้ผลปะ

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณค่ะ หวังว่าทริปหน้าของไรต์จะนำประสบการณ์ดี ๆ มาฝากกันอีกนะคะ มโนตามคำบอกเล่าแล้วอยากไปเที่ยวจีนมั่ง

    ตอบลบ
  5. วัาว เหมือนไปเทึ่ยวตามรอยนิยายเลย บทอาเจี่ยนมาแค่พอให้กระชุ่มกระชวย ความสัมพันธ์ยังไม่คืบหน้าเลย สงสัยรอนางเอกตั้งตัวก่อน

    ตอบลบ
  6. ฟางโจวใจดีไปแล้วว

    ตอบลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ28 มีนาคม 2560 เวลา 11:43

    ฟินอะ ตามรอยของกินในนิยาย

    ตอบลบ