วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 69 โดนโกง

         “เป็นนางนั่นแหละ!”  ป้าสามตบมือขึ้น พลางเอ่ย คราที่ข้ายังอยู่ในสกุลเถียน  ได้ยินคนในบ้านนั้นพูดกัน  คงไม่ผิดเป็นแน่ ได้ยินว่าสกุลซู่ทางฝั่งสามีของนางทั้งมั่งคั่งและมีอำนาจสูง เป็นชนชั้นสูงที่สุดในเมืองซ่วงหลิวเลยทีเดียวซ้ำนางยังมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับพวกเจ้า  หากได้พบปะกันอีกครั้ง  คงเห็นด้วยกับคำขอของเจ้าเป็นแน่!”
            “ทว่าหลายปีมานี้..ญาติทั้งสองฝั่งหาได้มีการไปมาสู่กันไม่  เราคงจำไม่ได้หรอกว่าญาติที่ชื่อฟางฉิงนั้น  หน้าตารูปร่างเป็นเช่นไร   หากพวกเราบุ่มบ่ามไปขอยืมเงินเข้า  มันไม่น่าจะดี....” เหลียนเซ่อพูดขึ้นอย่างลังเล
            เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว  ถึงอย่างไร  ความคิดปลูกฝ้ายก็ช่างเย้ายวนจิตใจมากเหลือกำลังนัก  เหลียนฟางโจวกัดฟัน  พลางเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเรื่องนี้ไม่สมควรรอช้า  ข้าจะออกเดินทางไปกับน้องรองในวันพรุ่งนี้   พวกเจ้าอยู่เฝ้าบ้านกับป้าสามให้ดี!”  เหลียนฟางโจวมองไปที่น้องเล็กทั้งสอง
            “ข้าไปด้วย!” อาเจี่ยนที่ไม่เคยเปิดปากมานาน พลันเอ่ยขึ้น “เนื่องจากหนทางไกลนัก หาใช่ใกล้ๆไม่  ข้าจะร่วมเดินทางไปกับพวกเจ้าด้วย!”
            ทุกคนต่างยังนึกถึงวันนั้น  วันที่อาเจี่ยนกลับมาจากการไปเจรจากับสกุลจ้าว  เหลียนฟางโจวจึงไม่คิดปฏิเสธเขา  ครั้นแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดี! เช่นนั้น...เราสามคนจะร่วมเดินทางไปด้วยกัน!”
            เหลียนฟางโจวชะงักไปนิด  พูดขึ้นว่า “ส่วนเรื่องงานเผาถ่าน  ข้าจะเป็นผู้ไปบอกกับป้าจางเอง!”  ถึงครอบครัวนางจะได้ส่วนแบ่งจากงานนี้น้อยลง  ก็หาเป็นปัญหาอันไดไม่
            หลังจากคนทั้งสามปรึกษาหารือ  เรื่องแผนการกันสักพัก  เหลียนฟางโจวจึงรีบเร่งไปหาป้าจางที่บ้านทันที   ทั้งนี้เพื่อแจ้งเรื่อง  รวมทั้งความจำเป็นให้กระจ่างทั้งสองฝ่าย  เมื่อกลับมาถึงบ้าน  จึงถามขึ้นว่าส่งถ่านไปให้ลุงและป้าใหญ่หรือยังได้ฟังเหลียนเซ่อแจ้งว่าส่งไปเรียบร้อยแล้ว
            เช่นนั้นคืนนี้จึงไม่มีเรื่องอันใดที่ต้องหารือกันอีก
            เช้าวันรุ่งขึ้น  เหลียนฟางโจว อาเจี่ยน และเหลียนเซ่อ สามชีวิตต่างรีบเร่งออกเดินทาง  ในหมู่บ้านไหนเลยจะมีรถม้าให้บริการ  คนทั้งสามจึงต้องวางแผนเดินทางเข้าเมือง  เพื่อไปหาเช่ารถม้าโดยสารกันอีกทีหนึ่ง
            คราที่ไปถึงตัวเมือง  พระอาทิตย์เพิ่งขึ้น  ตอนเช้าหมอกลงจัด   อากาศช่างหนาวยะเยือกนัก
            จากนั้นทั้งสามคนต่างสั่งบะหมี่ที่ขายริมถนนมากินคนละหนึ่งชาม  เมื่ออิ่มหนำสำราญดีแล้ว  จึงพากันไปที่ย่านรถม้า  เพื่อเลือกรถม้าสำหรับเช่าโดยสาร
            หลังจากต่อรองราคากันอย่างรวดเร็ว  คนทั้งสามจึงออกเดินทางไปยังเมืองซ่วงหลิวทันที
            เหลียนฟางโจวค่อนข้างว้าวุ่นใจนัก  ทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะว่า  ผู้ที่เรียกว่าญาตินั้น  ตัวเธอเองหาได้มีความทรงจำเกี่ยวกับบุคคลผู้นั้นประทับอยู่ในสมองเลยแม้แต่นิด   ยามนี้นางกลายเป็นคนร่ำรวยและมียศศักดิ์สูงไปเสียแล้ว  ตัวเธอเองกำลังจะเดินทางไปเจรจาเพื่อขอกู้ยืมเงินนางในวันนี้แล้ว   ทว่าอีกฝ่ายจะยอมเชื่อถือในตัวเธอหรือไม่!   ชาวบ้านหากรู้เข้า  ก็คงคิดว่างานนี้  เธอคงต้องกลับมามือเปล่าเป็นแน่!
            หากไม่เป็นเพราะโอกาสของความรุ่งโรจน์อันหาได้ยาก  เหลียนฟางโจวแทบไม่ยากจะคิดทำเรื่องเช่นนี้เอาเสียเลย   เธอหาได้อยากโยนศักดิ์ศรีตัวเองทิ้งไปเช่นนี้ไม่
            “ใช่แล้วเหลียนฟางโจวถามขึ้นทันใด “ก่อนที่ญาติเราจะแต่งงานออกไป   ข้าไม่รู้ว่าสถานการณ์ของครอบครัวนางเป็นอย่างไรบ้างควร...”
            เหลียนเซ่อส่ายหัว  เอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ทราบกระจ่างนัก  แต่ที่แน่ๆ  ในตอนนั้นนางหาใช่คนร่ำรวยไม่”
            เหลียนฟางโจวไม่เอ่ยถามอันใดอีก  ในใจครุ่นคิดไปเงียบๆ  สกุลซู่เต็มใจจะรับญาติของเธอเป็นสะใภ้เพียงหนึ่งเดียวหรอกหรือดูท่าเรื่องนี้จะมีลับลมคมในมากเกินไป  เป็นไปได้ว่าญาติของเธอคนนี้คงไม่น่าเป็นภรรยาเอก   นางคงจะเป็นเพียงอนุภรรยากระมังหากเป็นเช่นนั้น   เรื่องขอกู้ยืมเงินคงจะยากลำบากแล้ว!
            ขณะที่เหลียนฟางโจวครุ่นคิดอยู่ในใจ  เหลียนเซ่อกลับถามโพล่งขึ้นมา “พี่ใหญ่ ที่ป้าสามบอกว่าสกุลซู่รวยมาก  ไฉนถึงได้แต่งญาติที่ชื่อฟางฉิงไปเป็นลูกสะใภ้เล่าแต่ถึงอย่างไรป้าสามคงไม่น่าปดเรากระมัง?”
            สองพี่น้องต่างคิดคาดเดาไปต่างๆนาๆ  ซ้ำถกเถียงกันเสียงไม่เบานักไปเรื่อยๆ   นานเป็นพักใหญ่  ก็ไม่อาจหาสาเหตุออกมาได้  แทนที่สถานการณ์จะดีขึ้น  กลับทำให้เกิดความสงสัยในใจมากขึ้นไปอีก
            ในที่สุดอาเจี่ยนไม่อาจอดรนทนได้อีกต่อไป  จึงเอ่ยพลางหัวเราะเบาๆ  “พวกท่านจะเดากันไปเพื่ออันใดเหลืออีกครึ่งทางก็จะไปถึงที่หมายแล้ว  คอยไปจนถึงตอนนั้น  จะยังไม่รู้อีกเชียวหรือซ้ำเป้าหมายของเราคือเพื่อขอยืมเงิน   เรื่องที่ญาติผู้นั้นจะแต่งงานเข้าไปมีสถานะอย่างไร   กับเรื่องที่เราจะไปเจรจา  หาได้มีประเด็นเกี่ยวโยงกัน... มิใช่รึ?”
            เมื่อชายหนุ่มร่างสูงกล่าวจบ  เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อต่างหัวเราะให้กัน
            “ท่านกล่าวถูกต้องแล้ว   ประเดี๋ยวพวกเราก็รู้เอง!”  เหลียนฟางโจวยิ้ม  จากนั้นทั้งสามคนจึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องสัพเพเหระ   และเรื่องกิจวัตรประจำวันของครอบครัวแทน  ทั้งนี้เพื่อเป็นการฆ่าเวลาและคลายเหงา
            ทันใดนั้น  จู่ๆรถม้าที่ทั้งสามโดยสารมา  ก็หยุดวิ่งอย่างกระทันหัน
            ห้องโดยสารสั่นไหวอย่างรุนแรง  เหลียนฟางโจวใช้ไหล่ของเธอดันผ้าม่านรถม้าออก  เพื่อมองออกไปข้งนอก   สิ่งที่เห็นในคลองจักษุ  ปรากฏภาพสองข้างทางเป็นภูเขา  แสดงว่าพวกเธอเพิ่งจะเดินทางมาได้เพียงครึ่งทางเอง!
            “เกิดอันใดขึ้น?” เธอถามสารถีรถม้าโดยพลัน
            คนขับรถม้ากระโดดลงจากรถ  แล้วตรวจสอบที่ล้อรถ  จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “รถข้ามีปัญหาแล้ว  แม่นาง   เกรงว่าจะเกิดความเสียหาย  หากยังฝืนวิ่งต่อไป!”
            “อ้าว..เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!”  เหลียนฟางโจวขมวดคิ้วมุ่น  ครั้นแล้วจึงลงจากรถ
            เหลียนเซ่อและอาเจี่ยน  ทั้งสองคนต่างตามลงมาดูด้วย
            “มันแย่มากอย่างนั้นเชียวหรือพอจะซ่อมได้หรือไม่?”  เหลียนเซ่อถาม
            “ก็อย่างที่น้องชายเห็นนี่แหละ!”  คนขับรถม้าหัวเราะ  พลางเอ่ยว่า “เรื่องซ่อม ถึงอย่างไรก็ต้องซ่อม   ทว่ายามนี้อยู่ในที่ห่างไกลเช่นนี้  จะหาร้านซ่อมได้อย่างไรเล่าเฮ้อ...ข้าช่างโชคร้ายยิ่งนัก  งานนี้ถือว่ามาเสียเที่ยวเสียแล้ว   ถึงได้เงินค่าจ้างมา..ทว่ากลับไม่คุ้มค่าซ่อมรถเอาเสียเลย  มิหนำซ้ำม้าข้าหากวิ่งทางไกลๆเช่นนี้   ยามเสร็จสิ้นการเดินทาง  ยังต้องกลับไปพักตั้งหลายวันอีก  หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้เสียแต่ทีแรก  ข้าก็คงไม่มาหรอก....”
            เหลียนฟางโจวได้ยิน คนขับรถม้าบ่นกระปอดกระแปดครั้งแล้วครั้งเล่า  ทุกถ้อยคำไม่พ้นเรื่องเงินทอง  เธอจึงนิ่งขรึมลง  ไปยืนข้างๆ เพื่อพิจารณาดูให้ชัดๆว่าคนขับรถผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นคนเช่นไร?
            เหลียนเซ่อเป็นกังวลนัก   เมื่อเห็นว่ารถม้าเกิดปัญหา   จึงมองด้วยสายตากลัดกลุ้ม
            ส่วนอาเจี่ยนลองตรวจดูรถม้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนสักครู่หนึ่ง  พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “รถม้าท่านคันนี้  ดูแล้วไม่น่ามีปัญหาอันใดนี่  ท่านบอกว่ามันเสียหายได้อย่างไร?”
            คนขับรถม้ามองหน้าชายหนุ่มอย่างตกตะลึงในทันที  เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “มันจะไม่เสียหายได้อย่างไรเจ้าไม่ได้ยินเสียงแปลกๆดังออกมาจากรถม้า  เมื่อครู่ก่อนหรอกรึรถข้าเอง  ไยข้าจะไม่รู้เล่า? หากรถม้าสภาพยังดี แล้วข้าจะหยุดวิ่งได้อย่างไรเจ้าจะไปรู้อันใด  อย่าได้พูดจาส่งเดชดีกว่า!”
            “เรื่องนี้”  ครั้นแล้วอาเจี่ยนจึงพูดตัดบท “เช่นนั้นเจ้านั่งในรถม้า  ข้าจะขับให้เอง
            “ไม่ดีแน่!” สารถีโพล่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว  “นี่มันรถม้าของข้านะ  ม้าก็เป็นของข้า  ข้าจะแน่ใจได้อย่างไร   หากว่าเจ้าขับรถม้าอย่างสะเพร่า  ไม่ระมัดระวัง  ขับส่ายไปส่ายมา  ทั้งรถทั้งม้าของข้าได้มีอันตรายกันพอดี!”
            อาเจี่ยนอยากจะพูดตอบโต้นัก   ทว่าเหลียนฟางโจวกลับดึงแขนเสื้อเขาเบาๆให้หยุด  เธอตัดสินใจเงยหน้าจ้องมองคนขับรถม้าเขม็ง  พลางถามขึ้น “ท่านบอกมาตรงๆดีกว่า  ว่าจริงๆแล้วท่านต้องการอันใดกันแน่?”
            เมื่อเหลียนฟางโจวพูดออกไปตรงๆ อย่างไม่เสียเวลาอ้อมค้อมเช่นนี้  คนขับรถม้าได้ยินแล้วค่อนข้างตะขิดตะขวงใจและอับอายนัก  เขาจ้องหน้าเธอเขม็ง พลางตะโกนเสียงดัง “เจ้าหมายความว่ากระไร?”
            “นี่..ข้าเป็นคนถามเจ้านะ”  เหลียนฟางโจวหัวเราะ  “บอกมาตรงๆดีกว่ารถคันนี้เจ้าจะวิ่งต่อ หรือไม่วิ่งต่อ?”
            แม้ว่าคนขับรถม้าจะว้าวุ่นใจและอับอาย  ทว่าเขาจำต้องอดกลั้นไว้  แต่เดิมใครบอกให้เขาคิดอุตริเช่นนี้เล่า?
            เขาไม่ได้อยากจะเสียเวลา  อธิบายแก้ต่างมากขนาดนี้เสียหน่อย   แผนเดิมในใจของเขาก็คือ  รถม้าชำรุด  หากดึงดันวิ่งต่อไป  อาจเป็นสาเหตุทำอันตรายใหญ่หลวงแก่รถม้า  มิหนำซ้ำจะทำให้ม้าเหน็ดเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกด้วย  ส่วนตัวเขาก็จะยิ่งลำบากเหนื่อยยากมากขึ้น  เพราะฉะนั้น  ราคาค่าจ้างคงไม่อาจเป็นเหมือนกับที่ตกลงตอนแรกได้  ด้วยสามประเด็นนี้  เขาจึงจำต้องขึ้นค่าโดยสาร!
            อาเจี่ยน และเหลียนเซ่อต่างตกตะลึงงัน  ส่วนเหลียนฟางโจวสแยะยิ้มออกมาอย่างเดือดดาล
            ที่น่าโมโหก็คือน้ำเสียง และสีหน้าที่ไม่เต็มใจบริการของคนขับรถม้า  หากเหลียนฟางโจว ยอมจ่ายเงินเพิ่ม   พวกเธอยังต้องขอบคุณคนขับ   ซ้ำยังต้องอดทนกับอารมณ์ของเขาอีก
            หากคนขับรถม้าคิดละโมบน้อยกว่านี้   เหลียนฟางโจวคงจะยังให้น้ำหนักกับการเร่งรีบเดินทาง  และยอมกล้ำกลืนฝืนทนจ่ายเงินเพิ่มเป็นแน่   ทว่าแต่เดิมตกลงกันที่ค่าจ้างเหมาต่อเที่ยว  เป็นเงิน 4 เฉียน  ทว่าในตอนนี้เขากลับขอเพิ่มค่าจ้างเป็นเงิน 2 ตำลึงกับอีก 4 เฉียน จึงทำให้พวกเหลียนฟางโจว เดือดดาลเป็นอันมาก
            “จะไม่ขูดรีดกันเกินไปหน่อยรึราคาก็ตกลงกันไว้อย่างชัดเจนแล้วตั้งแต่คราแรก   เจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร!  ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี! “  เหลียนเซ่อพูดขึ้น
            “ข้าไร้เหตุผลเยี่ยงไร?” คนขับรถม้าเอ่ยขึ้น  “ข้าได้แจกแจงเหตุผล ที่ต้องขอเพิ่มเงิน ไปให้พวกเจ้าฟังเมื่อครู่ก่อนแล้วมิใช่รึ?  ข้ายังพูดไม่กระจ่างหรือไรมีตรงไหนที่บอกว่าข้าไม่มีเหตุผลข้าขอเพิ่มเงินอีกแค่ 2 ตำลึง เท่านั้นเอง  เงินแค่นี้ ข้ายังไม่พอกินเสียด้วยซ้ำ  แค่เพียงพอจะซ่อมรถม้าอย่างขอไปทีเท่านั้น!”

            ทั้งๆที่อาเจี่ยนได้บอกไปแล้ว  ว่ารถม้าหาได้มีการชำรุดเสียหายอันใดไม่   แต่สารถีผู้นี้กับทำเป็นมองข้ามไปเสียสิ้น
   -----------------------------------------------------------
   ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ และทุกการติดตามนะคะ

15 ความคิดเห็น:

  1. คนอย่างนี้ต้องเจอเหลียงฟางโจว...ขอบคุณคะ

    ตอบลบ
  2. เอาล่ะ ทีนี้มาดูกันว่านางเอกจะแก้ปัญหายังไง

    ตอบลบ
  3. คนขับรถม้าผู้ละโมบและแถไม่ขึ้น ฮอลลลล~
    คนเขียนช่างนึกเรื่องปวดตับได้ตลอดเวลา

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณผู้แปลที่สละเวลามาแปลให้อ่าน ชอบเรื่องนี้มาก

    ตอบลบ
  5. ขอบคุณคะ รอลุ้นคะ

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ28 มีนาคม 2560 เวลา 11:42

    นางเอกทำบาปไว้เยอะ เลยเจอแต่อุปสรรคในชีวิต

    ตอบลบ
  7. ชีวิตน่าสงสาร เจอแต่คนแบบเนี้ย หาคนดีๆ ยากแท้ รออ่านตอนต่อไปค่ะ มาอัพไวๆ นะคะ

    ตอบลบ
  8. อ่านชื่อตอนแล้วมโนไปไกลว่าใครโกงนึกว่าญาติที่จะไปหา555คาดไม่ถึงคนแต่งจะเล่นอย่างนี้ ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  9. ฟางโจวจะจัดการยังไงละ

    ตอบลบ
  10. ขอดูไหวพริบนางหน่อยว่าจะแก้ไขอย่างไร นางจะไปฟ้องศาลได้ไหมเหมือนแท็กซี่มิเตอร์บ้านเราที่โกงผู้โดยสารอ่ะ

    ตอบลบ
  11. ขนาดเดินทางยังมีปัญหา เมื่อไรจะสบายซะที

    ตอบลบ
  12. ก่อนอขอตื้บไอ้คนขับก่อนค่อยเจรจาดีมั้ย

    ตอบลบ