วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 70 เปลี่ยนใจมาเดิน

           คนขับรถม้ากล่าวเสริมเพิ่มเติมว่า “พวกเจ้าก็แค่นั่งบนรถม้าให้สบาย  และสนใจเรื่องเงิน 2 ตำลึงเท่านั้น!  รีบๆปรึกษากันให้ไวเลย  เพราะยังเหลือระยะทางอีกไกลที่ต้องเดินทางอยู่นะ!”
            ที่สารถีรถม้าพรั่งพรูไปทั้งหมดนี้  ก็เพื่อเป็นการเตือนคนทั้งสาม   เนื่องจากที่หมายยังอยู่อีกไกล  ลูกค้าของเขาจะเดินทางโดยไม่โดยสารรถม้าไปได้รึ?

            เหลียนฟางโจวหันไปมองอาเจี่ยน  ตามด้วยเหลียนเซ่อตามลำดับ  ทั้งสามคนต่างใจตรงกัน  นั่นคือ..คงไม่อาจให้สารถีผู้นี้เอาเปรียบได้อีกต่อไป  ในเมื่อพวกเธอต่างก็มีศักดิ์ศรีของตนเองเหมือนกัน!
            “เช่นนั้น...รถม้าคันนี้พวกเราคงไม่นั่งแล้วล่ะ  ถึงอย่างไร  ยามนี้พวกเราไม่มีกิจธุระอันใดที่ต้องเร่งรีบเดินไปก็ดีเหมือนกัน!”  เหลียนฟางโจวเอ่ยขึ้น
            “บ้าบอสิ้นดี!” คนขับรถม้าหัวเราะเยาะ  น้ำเสียงเนิบนาบ  เพื่อเห็นแก่คนทั้งสาม  เขาจึงเอ่ยด้วยความหวังดี  “จะเดินไปด้วยสองขา  กว่าจะไปถึงย่อมมืดค่ำเป็นแน่   ซ้ำยังต้องไปหาโรงเตี๊ยมเข้าพักอีก!  เผลอๆต้องเสียเงินมากกว่า 2 ตำลึง!  ไยพวกเจ้าถึงหาเรื่องใส่ตัวกันนัก!
            “พวกข้ายินดีอย่างน้อยที่สุด  ก็รู้สึกสบายใจ!” เหลียนฟางโจวเอ่ยตัดบท
            เหลียนเซ่อเตรียมตัวหิ้วสัมภาระออกเดิน  ครานี้จึงหันกลับมาเอ่ย “พี่ใหญ่ พี่จะเสียเวลาพูดกับเขาไปไยพี่เจี่ยน  พวกเราออกเดินกันเถิด!”
            เหลียนฟางโจวและอาเจี่ยน หันมามองตากัน  ครั้นแล้วจึงออกเดินตามเหลียนเซ่อไป
            “พวกเจ้าไม่อยากสิ้นเปลืองเงินทองมิใช่รึ?  เฮ้ จริงๆข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าคิดอะไรอยู่นะ?!  พวกเจ้าดูไม่ใช่คนร่ำรวย  ไฉนต้องโมโหโทโสด้วยเล่า!”  คนขับรถม้าผู้นั้นเริ่มลนลาน  ร้องตะโกนตามหลัง
            ทั้งสามคนไม่สนใจสารถีผู้นั้นอีก  ถึงได้ยินเสียงตะโกนก็ไม่เหลียวหลังกลับไปมอง
            “ประเดี๋ยวพวกเจ้าจะล่าช้าเอานะ  ข้าเห็นได้ชัดเลย หากพวกเจ้ายังเดินต่อไปเช่นนี้  กว่าจะไปถึงที่หมาย  ย่อมค่ำมืดเป็นแน่นี่..หนทางข้างหน้าเป็นทางเปลี่ยวนะ  ค่ำมืดอาจเจอสัตว์ป่า  พวกเจ้าต้องระวังให้จงหนัก เฮ้ยอยากตายรึไง!”  คนขับรถม้าพยายามตะโกนเรียกอีกครั้ง
            เหลียนเซ่อฮัมเพลงออกมาอย่างสบายอกสบายใจ  เอ่ยว่า “แหม ข้าเองก็กำลังอยากเจอสัตว์ป่าอยู่พอดีเลย  จะได้ถือโอกาสฝึกวิทยายุทธ์ไปในตัวด้วย
            อาเจี่ยนหัวเราะ  “วรยุทธ์เจ้าพัฒนาขึ้นมากแล้ว  จะสังหารสุนัขป่าย่อมไม่คณามือเป็นแน่  อา..ทว่าหากเป็นเสือ หรือหมี เกรงว่าคงจะไม่ไหวเอานะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
            “พี่เจี่ยน  แล้วเมื่อใด ข้าถึงจะสามารถสังหาร เสือ หรือหมีได้เล่า?”
            “บอกได้ยากอยู่นา  ขึ้นอยู่กับบทเรียนขั้นต่อไป  ข้าจึงจะพอบอกได้.....
            อยู่ดีๆ บุรุษทั้งสองก็เอาแต่ถกเถียงกันเรื่องการฝึกยุทธ์  เหลียนฟางโจวอึ้งงันไปทันใด  หากคนขับรถม้ามาได้ยินเข้า  คงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี?
            หลังจากเดินผ่านพ้นพื้นที่เนินสูงมาได้สักพัก  ตรงทางเดินริมถนนข้างหน้ามีต้นเฟิงฉู่ยักษ์เก่าแก่ต้นหนึ่ง (ต้นเมเปิ้ล) ซึ่งเต็มไปด้วยกิ่งก้านพุ่มใบดกหนา  วัดดูคร่าวๆด้วยตา  ใหญ่ราวๆ 3-4 คนโอบ กิ่งก้านและใบที่ดกหนาเกือบจะปกคลุมทั้งถนน

            เมื่ออาเจี่ยนเห็นภาพนั้น พลันประกายตาลุกวาบ พลางเอ่ยขึ้น “ไปตรงโน้นกันเถิด จากข้างหน้าดูแล้วไม่ไกลนัก  พวกเราสามารถเดินไปถึงได้ภายในครึ่งชั่วยาม (1 ชั่วโมง)!”
            เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อ  ทันทีที่ได้ยิน  ทั้งสองตระหนักชัดว่า  แต่ก่อนอาเจี่ยน คงเคยระหกระเหินผ่านมาตามทางนี้เป็นแน่   ครั้นแล้วเหลียนฟางโจวจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดีนักพวกเรารีบเดินกันเถิด!”
            “อืม! จะได้เลี่ยงไม่ต้องเจอหน้ากับคนขับรถผู้นั้นอีก  ชอบทำให้หงุดหงิดนัก! เอ๋ ดูเหมือนว่าเขายังไม่ได้รับค่าโดยสารเลยนะ!” เหลียนเซ่อนึกขึ้นได้  พลันสะดุ้งร้องออกมาในทันใด
            เหลียนฟางโจวอมยิ้ม  เลิกคิ้วขึ้น  พลางเอ่ย “ใจเย็นๆ  มิต้องกังวลไป  เราไม่ได้เป็นเบี้ยล่างเขาเสียหน่อย!”
            อย่างไร เป็นเขาที่ต้องตามมาง้อพวกเราเองการที่คนขับรถผู้นั้นมีความช่ำชองในเอาเปรียบคนเช่นนี้  ย่อมไม่ใช่ครั้งแรกเป็นแน่  คิดสักนิดย่อมเข้าใจได้ชัดทีเดียว
            เหลียนเซ่อประหลาดใจได้ครู่เดียว  ทั้งยังไม่ทันได้พูดอันใดต่อ  พลันได้ยินเสียงฝีเท้าม้าย่ำเข้ามาไกล้ขึ้นเรื่อย   สักครู่ก็ได้ยินเสียงรถม้าตามมา  เมื่อหันหน้าไป  พลันมองเห็นคนขับรถม้ากำลังบังคับรถม้าเข้ามา
            “เฮ้” คนขับรถม้าผู้นั้นขับรถม้าตามมาช้าๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้มกับคนทั้งสาม  “ว่ายังไง...เดินด้วยเท้าเช่นนี้รู้สึกได้รสชาติดีหรือไม่?  แล้วเปรียบเทียบกับนั่งรถม้าแบบไหนดีกว่ากันเล่า?   เช่นนี้แล้ว...พวกเจ้าจะไปถึงตัวเมืองเมื่อใดกันนี่  ข้ากลัวว่าสองขาของพวกเจ้าคงจะย่ำแย่เอาเสียก่อน  ไหนเลยพวกเจ้าจะทำสิ่งใดได้อีกเล่าเอาล่ะ  ใครๆเขารู้กันทั่วว่า ข้านี้เป็นคนใจดีมีเมตตา   พอเห็นพวกเจ้าอยู่ในสภาพนี้  ข้าย่อมรู้สึกทนไม่ได้  เจ้าก็ให้ข้าสัก 6 เฉียนสิ  ข้าจะยอมขาดทุนบางส่วน  แล้วจะส่งพวกเจ้าให้ถึงที่เป็นการแถมให้!”
            “ส่งให้ถึงที่เป็นการแถมให้!”  เหลียนฟางโจวยิ้มหยัน ถอนหายใจเบาๆ “ลืมมันเสียเถิด  พอเห็นเจ้าต้องมาทนทุกข์สงสารพวกเราเช่นนี้  พวกเรารู้สึกว่าไม่ถูกต้องต่อเจ้านัก   เช่นนั้น..เจ้าจะไปไหนก็ไปเถิด!”
            เหลียนเซ่อและอาเจี่ยนหัวเราะเบาๆ   เหลียนเซ่อพูดเสียงต่ำ “เจ้าอุตส่าห์ลงทุนมาเกลี้ยกล่อมพวกเราถึงที่นี่!  ทั้งๆที่พวกเราเพิ่งจะเดินไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม  เจ้าช่างใจดีเกินไปแล้ว!”
            สารถีรถม้าสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด จึงเอ่ยขึ้นทันใด “เจ้าจะรู้อะไรถนนเส้นนี้ใครคือผู้ชำนาญ เป็นเจ้า หรือข้าเจ้าคิดเองเออเองเช่นนี้  หากมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นบนถนนเส้นนี้ขึ้นมา  อย่าได้มาต่อว่าข้าก็แล้วกัน!”
            “พวกเราไปกันเถิด!”  เหลียนฟางโจวเอ่ยขึ้น
            คนขับรถม้าเห็นพวกเขามีจิตใจเข้มแข็งดุจเหล็กกล้าอย่างเห็นได้ชัด  ไม่เต็มใจเดินทางโดยรถม้าอีกแล้ว จึงตะโกนขึ้น “ช้าก่อน!”  แล้วรีบตามไปขวางไว้  พลางเอ่ยว่า “ค่าโดยสารเล่า?”  เจ้าต้องให้ข้า 4 เฉียนตามที่ตกลงกันไว้มิใช่รึ?  ไม่นั่งรถแล้ว  ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ให้เงินนะอย่างนี้มันเหมือนแทงข้างหลังกันนี่!”
            “พวกเรายังไปไม่ถึงตัวเมืองเลย  ไฉนเจ้าจะเอาเงิน 4 เฉียนได้เล่า!” เหลียนเซ่อเอ่ย
            เหลียนฟางโจวพูดขึ้น “น้องชายข้ากล่าวถูกต้องแล้ว!  ค่าโดยสารนี้เราย่อมจ่ายแน่นอน นั่งรถมาสักพักจะจ่ายเท่าใดดีน้า! อืม นึกได้จากที่เจ้าบอกว่า  ต่อให้เราเร่งรีบเท่าใด  ก็คงไปถึงที่หมายมืดค่ำแน่   หากเทียบกับรถม้าของเจ้า  เดินทางได้เร็วกว่าที่พวกเราเดินราว 5 เท่า  แสดงว่าเรานั่งรถได้ระยะทางเพียงนิดเดียว!  ทว่าทั้งเส้นทางการเดินทาง  คิดค่าจ้างเป็นเงิน 4 เฉียน  เช่นนั้น..ระยะทางเล็กน้อยเท่านี้ควรคิดเป็นเงินสัก...
            เหลียนฟางโจวยืนนับนิ้ว 1 2 3 4 เมื่อคิดคำนวณจนเสร็จ  จึงเอ่ยขึ้น “เอาเป็นว่า! เราเสียเงินให้เจ้า 50 อีแปะก็แล้วกัน!”
            “เจ้า..”  คนขับรถม้าเกือบจะร้องออกมา ย่นจมูกขึ้น  ใบหน้าซีดเผือด  คิดเพียงว่าหญิงสาวสติฟั่นเฟือนไปแล้ว  ครานี้โทสะของเขาพลุ่งพล่านนัก  “เจ้าช่างไม่เอากำไรเลยนะ!  นั่งมาไกลกว่าครึ่งทางเห็นๆ  อย่างน้อยที่สุดควรให้เงินข้า 3 เฉียนสิ!”
            คนทั้งสามไม่เอ่ยอะไร เพียงแต่จ้องหน้าสารถีรถม้าเขม็ง
            คนขับรถม้าทั้งโกรธ ทั้งกลัดกลุ้ม และอับอาย ทั้งใบหน้าแดงเถือก โบกมือ พลางพูดขึ้น “เช่นนั้น..เอามาให้ข้า 2 เฉียนก็แล้วกัน!”
            “เช่นนั้น..ที่เจ้าพูดมาก่อนหน้า หมายความว่าเจ้าหลอกลวงพวกเราหรอกรึ?” เหลียนฟางโจวปล่อยให้ตัวเองระงับสติอารมณ์ก่อน จึงเอ่ยขึ้น
            คนขับรถได้แต่นิ่งเงียบ
            เหลียนฟางโจวเริ่มเบื่อหน่ายกับการเล่นตุกติกของเขาถึงอย่างไรพวกเขาทั้งสามล้วนเคราะห์ร้ายถูกโกงไปแล้ว  คิดได้ดังนี้แล้วจึงล้วงเงินออกมา 2 เฉียนสำหรับค่าเดินทางโดยรถม้าช่วงที่เดินทางมา  รอจนบางคนอารมณ์เย็นลง แล้วเอ่ยขึ้น “เราไม่โกงเจ้าหรอก รถม้าเจ้าข้าก็ไม่กล้านั่งอีกแล้ว  พวกเราไปกันเถิด!”
            เมื่อกล่าวจบหญิงสาวก็หมุนตัวชักเท้าเดินออกไปทันที  ตามมาด้วยอาเจี่ยน และเหลียนเซ่อ  คนขับรถม้าชั่วขณะนั้น พร่ำบ่นมาอีกหลายประโยค  หันหัวรถม้า ขับจากไป
            “พี่ใหญ่ ท่านช่างแน่จริงๆ  ข้าค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย!” เหลียนเซ่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
            “เจ้าคาดเดาได้แม่นยำนัก ว่าเขาจะตามมาพูดเกลี้ยกล่อม?” อาเจียนเอ่ยขึ้น
            เหลียนฟางโจวจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คนผู้นี้พยายามหาหนทางทุกทางเพื่อจะขูดรีดเอาเงินจากพวกเราให้มากขึ้น   จนลืมนึกไปว่า ความจริงแล้ว เขายังไม่ได้รับเงินค่าโดยสารเลยด้วยซ้ำ!”
            คนทั้งสาม ต่างคุยและหัวเราะเฮฮากันไปเรื่อยๆ  หาได้รู้สึกโดดเดี่ยวไม่   ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยชีวิตชีวา   ปราศจากความเหน็ดเหนื่อย
            ที่เห็นจากไกลๆ ข้างหน้ามีเพิงพักคนเดินทางที่ถูกสร้างเอาไว้  อาเจี่ยนจึงชี้ไปข้างหน้า พลางเอ่ยว่า “หากเราไปถึงเพิงพักคนเดินทาง   ที่นั่นมีน้ำดื่มที่ไหลมาจากด้านหลังเขาช่วยดับความกระหายได้!”
            “ดี พวกเรารีบเดินกันให้เร็วขึ้นเถิด!” เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
            เพราะว่าเดิมทีเดินทางโดยรถม้า  จึงไม่ได้สนใจว่านานเท่าไรจึงจะไปถึง  ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้เตรียมน้ำไว้ดื่มตอนเดินทาง  ใครจะรู้เล่าว่า พอไปได้เพียงครึ่งทางก็เจอเรื่องแย่ๆเสียแล้ว  เมื่อคนทั้งสามเดินไปได้สักพัก  จึงค่อนข้างกระหายน้ำ  พอได้ยินอาเจี่ยนพูดขึ้น ทั้งพี่สาวและน้องชายต่างรู้สึกมีกำลังใจขึ้น
            เมื่อใกล้จะถึง  จึงเห็นว่าแท้จริงแล้ว  ตรงสันเขาซึ่งมีเพิงพักคนเดินทางอยู่ใกล้ๆ มีรางน้ำใสอยู่ที่หนึ่ง  โดยมีการใช้ท่อไม้ไผ่รองรับน้ำมาจากทางน้ำที่ไหลบนภูเขา  สายน้ำไหลริน ใสสะอาด กระจ่าง    ค่อยๆไหลมารวมกันกลายเป็นรางน้ำ  ได้ยินเสียงน้ำไหลชัดเจน  ชวนให้ผ่อนคลายนัก

            เพิงที่พักคนเดินทาง มีม้านั่งที่ทำจากแผ่นหิน  ซึ่งอาจเตรียมไว้ให้ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาได้นั่งพักพอหายเหนื่อย  พื้นบริเวณโดยรอบแลดูสะอาดสะอ้านดี

            “พี่ใหญ่! พี่เจี่ยน! ท่านมาดูอะไรนี่สิ!” เหลียนเซ่อชี้ไปพร้อมร้องออกมาทันใด
   -----------------------------------------------
    ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ
   ช่วงนี้มีงานยุ่งมากค่ะ ประกอบกับต้องออกนอกสถานที่บ่อย จึงแปลได้ทีละนิดละหน่อย
   เลยอัพค่อนข้างช้า ต้องขออภัยด้วยนะคะ
   ใจจริงอยากอัพเพิ่มให้อีกตอนค่ะ เพราะจะมีตัวละครสำคัญตัวใหม่ปรากฏตัว  แต่พรุ่งนี้ต้องออกนอกสถานที่อีก คงต้องลากไปวันจันทร์ค่ะ

9 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณค่ะขนาดงานยุ่งยังนึกถึงคนอ่าน///เห็นอะไรอ่ะอยากรู้

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณค๊า มาช้าก็ไม่เป็นไรจ้า รอได้😚😚😚😚

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณค่ะ..เข้ามาส่องทุ้ก..วันเลย

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ2 เมษายน 2560 เวลา 11:24

    มาช้ายังดีกว่าไม่มาค่ะ

    ตอบลบ
  5. ขอบคุณค่ะ เรื่องนี้สนุกมาก ^ ^

    ตอบลบ
  6. ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ ไม่ได้ตามทุกวัน แต่ไม่ลืมค่ะ เข้ามาอ่านเป็นระยะ ชอบมากค่ะ

    ตอบลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ6 เมษายน 2560 เวลา 22:34

    ขอบคุณครับ

    ตอบลบ