วันจันทร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 71 เก็บของได้

            เหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนมองตามมือของเหลียนเซ่อ  พบว่าเป็นห่อผ้าไหมสีหยกเข้มห่อใหญ่  ที่ห่อได้ปราณีตและมัดอย่างแน่นหนานัก  ภายในดูท่าน่าจะมีของบรรจุอยู่มากมาย
            พิจารณาดูแล้วหาใช่สิ่งของที่คนธรรมดาสามัญสมควรมีไว้ในครอบครองไม่
            “ไม่รู้ว่าใครสะเพร่าทิ้งห่อสัมภาระนี้ไว้!”  เหลียนฟางโจวกล่าวจบก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยิบห่อสัมภาระมาถือไว้ในมือ  ห่อผ้านี้ให้ความรู้สึกสัมผัสทั้งหนาและอ่อนนุ่ม ข้างในคงบรรจุสิ่งที่คล้ายขนสัตว์หรือของที่คล้ายๆกัน

            ครั้นแล้วเธอจึงแก้ห่อผ้าเพื่อสำรวจดูของข้างใน  ภายในนอกจากขนตัวซี่เตียวที่ส่องประกายนุ่มลื่น 2 ผืน   แล้วยังมีผ้าพับหนาสีน้ำเงินเข้ม  ตั๋วแลกเงินปึกใหญ่ซึ่งเหลียนฟางโจวนนับได้ 5,000 ตำลึง!   นอกจากนี้ยังมีถุงใส่เงินสีน้ำเงินปักลวดลายด้วยดิ้นเงินที่วิจิตรงดงามมาก  ภายในบรรจุก้อนเงิน 2 ก้อน  แผ่นทองรูปใบไม้เล็กๆ 6-7 ชิ้น และไข่มุกเม็ดเขื่องขนาดข้อนิ้วมือ 2 เม็ด
ตัวซี่เตียว
            ของเหล่านี้รวมกันแล้วคิดเป็นเงินมูลค่ามหาศาล!
            คนทั้งสามต่างพากันตกตะลึงยิ่งนัก
            “เจ้าของห่อสัมภาระนี้คงจะประมาทเลินเล่อเอาการจริงๆ แม้ในหมู่ผู้มีอันจะกิน  ของเหล่านี้ไม่นับว่าเล็กน้อยเลย!” เหลียนฟางโจวนิ่งคิดสักครู่ แล้วจึงเอ่ยขึ้น “ข้าคิดว่าเจ้าของที่ทำของหาย จะกลับมาตามหาเป็นแน่  พวกเราน่าจะคอยเฝ้าห่อสัมภาระนี้ไว้  รอจนเจ้าของกลับมากันเถิด!”
            เดิมทีเหลียนเซ่อรู้สึกหวั่นใจและกระวนกระวายเล็กน้อย  เขากลัวว่าเหลียนฟางโจวจะยึดของเหล่านี้ไว้เองโดยพลการ   ครั้นได้ยินถ้อยคำที่นางกล่าวออกมา   ใจพลันโล่งอกขึ้นมาก   พยักหน้าแล้วรีบเอ่ยขึ้น “ดี!  เช่นนั้นพวกเราคอยอยู่กันก่อนเถิด!”
            แม้อาเจี่ยนจะรู้สึกวิตกกังวล  ในคราแรกที่เห็นสายตาของเหลียนฟางโจวจับจ้องของมีค่ามหาศาลที่ได้มาง่ายๆโดยบังเอิญ  ทว่ายามที่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งล่อใจชิ้นใหญ่   แววตาของหญิงสาวที่จับจ้องไม่เปลี่ยนไปแม้เพียงนิด  ซ้ำยังกล่าววาจาเช่นนี้โดยไม่ลังเลเลย  อาเจี่ยนจึงแอบชื่นชมหญิงสาวในใจเงียบๆ  พลางเอ่ยขึ้น “คงย่อมเป็นเช่นนั้น  ไม่เช่นนั้นแล้ว  เราจะทำอันใดได้เล่า!  และถึงแม้พวกเราจะไม่แตะ  ย่อมมีคนอื่นที่ไม่น่าไว้ใจหยิบฉวยไปอยู่ดี!”
            ไม่ทันไรคนทั้งสามต่างได้ยินเสียงกีบเท้าสัตว์กระหึ่มดังใกล้เข้ามา   เบื้องหน้าตรงพุ่มดอกไม้บานนั้น   ปรากฏร่างชายหนุ่มผู้หนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีน้ำตาลดำเข้ม  สวมหมวกทรงสีเหลี่ยมแบบบ่าวรับใช้   ดูท่าทางรีบร้อนกระวนกระวายอยู่บนหลังม้า  เขาดีดกายลงจากหลังม้า  แล้วรีบรุดเข้าไปในเพิงพักคนเดินทาง
            ยามนี้เหลียนฟางโจวกำลังอุ้มห่อผ้าสัมภาระนั่งอยู่ที่นั่น  บ่าวรับใช้หนุ่มกวาดตามองไปทั่ว  ทันใดนั้น   สีหน้าปรากฏความประหลาดใจและปิติยินดีออกมา  รีบเอ่ยเสียงละล่ำละลักว่า “โอ้ ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ในที่สุดก็พบแล้ว!  แม่นาง  ห่อสัมภาระนี้เป็นของประมุขตระกูลข้า  รีบคืนมาให้ข้าเร็วเข้าเถิด!”
            พอกล่าวจบ  บ่าวรับใช้ผู้นั้นก็ยื่นมือออกมาหมายจะฉวยห่อผ้านั้นทันที
            เหลียนเซ่อและอาเจี่ยนพลอยโล่งอกไปด้วย  เจ้าของห่อผ้าสัมภาระนั้นปรากฏตัวขึ้นในที่สุด  พวกเขาไม่จำเป็นต้องนั่งรออีกต่อไปแล้ว!”
            “ช้าก่อน!”  เหลียนฟางโจวเบี่ยงตัวเข้าบังห่อผ้านั้นเอาไว้
            ชายหนุ่มบ่าวรับใช้ทำหน้าประหลาดใจ  กล่าวอย่างร้อนรนว่า “แม่นางจงวางใจเถิด ของขวัญตอบแทนต้องเป็นของท่านแน่!”
            “ข้าหาได้หมายความเช่นนั้นไม่ !  หากข้าต้องการเที่ยวหาเจ้าของ  เพื่อรอของกำนัลจากท่าน  มิสู้ข้าหอบเอาห่อสัมภาระนี้ไปดื้อๆมิดีกว่ารึ?”  เหลียนฟางโจวเอ่ยขึ้น “ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่าว่าสัมภาระห่อนี้เป็นของท่านจริงๆท่านต้องบอกมาก่อนว่าสิ่งของภายในห่อนี้มีอะไรบ้าง  หากบอกได้ถูกต้อง  ข้าย่อมคืนให้ท่านเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ซ้ำจะได้รู้ว่าในห่อผ้านี้มีของบางชิ้นขาดหายไปบ้างหรือไม่   ทั้งยังเป็นการป้องกันและหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดตามมาภายหลังอีกด้วย!”
            หากเขาแจกแจงว่ามีของบางชิ้นขาดหายไปจริงๆ   ย่อมยากที่จะกล่าวหาว่าคนทั้งสามแอบยักยอกซ่อนเร้นไว้   จะหาใครมาเป็นพยานให้เขาได้เล่า?
            บ่าวรับใช้หนุ่มหวั่นวิตกขึ้นมาในทันใด  และครานี้เขาไม่อาจทอดเวลาออกไปได้แล้ว  จึงเอ่ยขึ้น  “ข้าต้องรีบไปแล้ว! คงไม่มีเวลาว่างพอมาเล่นตามเจ้าอย่างหน้ามืดตามัวหรอกหากไม่ใช่ว่าห่อของนี้เป็นของนายท่านของข้า  ข้าจะรู้ว่ามีห่อสัมภาระถูกลืมทิ้งไว้  แล้วเที่ยวออกตามหาจนมาพบเจ้าได้อย่างไรเล่า?  เจ้าวางใจเถิดว่าเราคือคนในสกุลที่เป็นเจ้าของอย่างถูกต้องชอบธรรม  จะไปทำสิ่งไร้คุณธรรมกับเจ้า ว่าเป็นผู้เอาของไปได้อย่างไร!”
            เหลียนเซ่อเริ่มคืนสติสัมปชัญญะกลับมาจากเหตุการณ์ตรงหน้า พลางเอ่ยว่า “พี่สาวข้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว  เป็นการดี หากพวกเราได้คุยกันให้กระจ่างไปเลย!”
            “เรื่องนี้ต้องคุยกันยาว   ท่านไม่อยากให้เรื่องนี้จบลงหรอกรึ?”  อาเจี่ยนพูดขึ้น
            บ่าวรับใช้หนุ่มหันไปมองอาเจี่ยน  แล้วประเมินในใจตนว่า  หากเขาใช้วิธีช่วงชิงห่อผ้าสัมภาระไปเลย  ดูแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้  จึงฝืนยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ทว่า  สัมภาระห่อนี้เป็นของเจ้านายข้าจริงๆนะ  ข้าไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วภายในบรรจุสิ่งใดอยู่หรอก!”
            “เรื่องนี้ไม่ยาก  แค่ถามเอากับเจ้านายท่านโดยตรงสิ!” เหลียนฟางโจวเอ่ยขึ้น
            บ่าวรับใช้เห็นว่าคงไม่มีหนทางเกลี้ยกล่อมคนทั้งสามได้เป็นแน่แท้  จำต้องพยักหน้ายอมรับ “ดี! เจ้าทั้งสามคนโปรดมากับข้าเจ้านายตระกูลข้ากำลังรอคอยอยู่ข้างหน้าโน้นแล้ว!”
            เหลียนฟางโจวและพวก  เห็นพ้องด้วยกัน  ครั้นแล้วจึงพากันเดินไปกับชายคนนั้น
            เมื่อเดินไปสักพัก  ครั้นแล้วก็เห็นภายใต้ร่มไม้ข้างหน้า  มีบุรุษผู้หนึ่งสวมเสื้อคลุมสีเขียวเข้ม  ผมดำขลับดุจน้ำหมึกเกล้าเป็นจุกสูง   นายน้อยหนุ่มร่างสูงสง่าประดุจหยก  ยืนหันหลังให้พวกเขาอยู่   ใกล้ๆกันนั้นมีม้าตัวสูงใหญ่สีแดงเข้ม รูปร่างสวยงามไม่มีที่ติ  ซึ่งไม่ได้ผูกไว้กับต้นไม้ยืนกินหญ้าอยู่
            เมื่อได้ยินเสียง  บุรุษผู้นั้นค่อยๆหันหน้ากลับมาอย่างเชื่องช้า  ครั้นเห็นบ่าวรับใช้หนุ่ม มากับคนสามคนมาด้วยกัน  จึงสะดุ้งงัน
            เหลียนฟางโจวเงยหน้าขึ้นมอง  บุรุษผู้นั้นมีคิ้วเข้มยาวพาดเฉียงขึ้นไปบนหน้าผาก   ริมฝีปากบางกระจ่างดุจพระจันทร์ส่องสว่าง  ภายใต้เสื้อคลุมสีเขียวเข้ม    เสื้อคลุมตัวในคอกลมเป็นผ้าไหมทอยกดอกเรียบลื่นเป็นเงาสีน้ำเงินเข้ม  ที่เอวคาดเข็มขัดหยก ยิ่งเสริมให้รูปร่างดูสำอางขึ้น  ใบหน้านั้นเล่า ช่างขาวผุดผาดหมดจด  หน้าตาหล่อเหลา  ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายแห่งความสูงศักดิ์ออกมาอย่างไม่เก็บงำ  พาให้ผู้คนไม่กล้าจ้องมองเอาตรงๆ
            “นายน้อย!” บ่าวรับใช้หนุ่มเดินขึ้นมาข้างหน้าหลายก้าว  กระซิบเล่าความอธิบายกับนายน้อยผู้นั้น
            ครั้นบุรุษผู้สูงส่งผู้นั้นฟังจนครบถ้วนกระบวนความแล้ว  จึงพลันอึ้งงันไป  หันมาจับจ้องสำรวจคนทั้งสามอย่างประเมิน
            ท่วงทางและสีหน้าที่เขาแสดงออก  รวมถึงรูปลักษณ์อันหล่อเหลาสง่างาม  นำมาซึ่งความกดดันอันหนักอึ้ง  จนเหลียนเซ่ออดรู้สึกประหม่าไม่ได้  เขาก้มศีรษะเล็กน้อย  ไม่กล้าสบตาคนผู้นั้น อาเจี่ยนยังคงยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่วงท่าผ่อนคลายสบายๆ  เป็นธรรมชาติ  ส่วนเหลียนฟางโจวสบตากับบุรุษผู้นั้นตรงๆ  ก้าวเดินขึ้นมาข้างหน้า 2 ก้าว  เอ่ยอย่างสุภาพด้วยรอยยิ้ม “นายน้อยท่านนี้  จริงๆแล้ว เพียงท่านบอกพวากเราได้ว่าในห่อสัมภาระนี้มีของสิ่งใดบ้างได้อย่างถูกต้องแล้ว  พวกเราจะคืนของให้แก่ท่านอย่างแน่นอน
            นายน้อยเห็นปฏิกิริยาโต้ตอบที่แสดงออกอันแตกต่างกัน ของคนทั้งสาม  นึกแอบงุนงงสงสัยในใจอยู่เงียบๆ  พิจารณาดูอาภรณ์ที่พวกเขาสวมใส่เป็นแบบเรียบง่าย  จึงรู้ว่ามาจากครอบธรรมดาสามัญเป็นแน่   เช่นนั้นเมื่อคนเหล่านี้ได้มาประสบพบเจอคนร่ำรวยมั่งคั่งที่มาจากสกุลสูงส่งเช่นเขา  อย่างไรย่อมไม่ควรมีปฏิกิริยาแสดงออกเช่นนี้
            เขามองสำรวจคนทั้งสามตรงหน้าทีละคน   ท่าทีที่เด็กชายวัยรุ่นแสดงออกดูปกติทั่วไป   หากชายหนุ่มที่ยืนคุมเชิงอยู่  ผู้ซึ่งมีรูปร่างกำยำสูงตระหง่านปานขุนเขา  ดูมีความมั่นใจในตนเองเต็มเปี่ยมอย่างเป็นธรรมชาติ  ไม่เพียงไม่มีวี่แววความขลาดกลัวให้เห็นแม้แต่นิด  ทว่ายังเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขามจนเขาเองรู้สึกได้  เมื่อได้ประจักษ์กับตัวเองแล้ว  เขาอดนึกขันในใจเงียบๆไม่ได้  เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!
            และเด็กสาวรุ่นผู้นี้เล่า  ดูเพิ่งจะพ้นวัยปักปิ่นมาไม่นาน (เด็กผู้หญิงจะปักปิ่นตอนอายุ 15 ปี)  ทว่ากลับมีท่าทางเปิดเผย  ซ้ำยังกล้าสบตาเขาตรงๆ  ไม่มีทั้งท่าทางเย่อหยิ่งหรือประจบเอาใจเลย  ซ้ำยังพูดจาได้ตรงไปตรงมาและฉะฉานนัก
            ชุยเฉ่าซีหัวเราะขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว  ครั้นแล้วจึงจงใจเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จริงๆแล้ว หากข้าจำสิ่งของที่อยู่ในห่อสัมภาระนี้ไม่ได้เล่าแล้วแม่นางจะไม่คืนให้ข้ารึ?”
            บุคคลผู้นี้ยามยิ้มแย้ม หรือหัวเราะ  ราวกับมีลมตะวันออกจริงๆ  ที่พัดผ่านพาให้เหล่าดอกไม้แย้มบาน  ช่างงดงามดึงดูดสายนัก   พาให้ผู้คนตกประหม่าไม่กล้าจ้องมองเอาตรงๆ  ดวงตาดำยาวรีปรากฏแววแห่งความขบขันเจืออยู่รางๆ  สีหน้าเปี่ยมเสน่ห์ลื่นไหลดุจผ้าไหม
            เหลียนเซ่อเห็นแล้วรู้สึกเก้อเขิน
            เหลียนฟางโจวเห็นเขาพูดจาหยอกเอิน  ให้เริ่มรู้สึกหมดความอดทน  จึงเอ่ยขึ้น  “นายน้อยผู้นี้บอกไม่ได้  เช่นนั้น...คนที่ข้าตั้งใจมาพบ  คงหาใช่นายน้อยเสียแล้ว!  พวกเราจะส่งห่อผ้านี้ให้กับเจ้าหน้าที่ทางการแทน  รอให้นายน้อยผู้เป็นเจ้าของตัวจริงไปทวงเอาของสิ่งนี้กับทางการเอาเองเถิด!”
            เมื่อพูดจบ ครั้นแล้วจึงส่งสายตาเป็นสัญญาณให้อาเจี่ยน และเหลียนเซ่อออกเดินตามไป
            “เฮ้!” ชุยเฉ่าซีรีบเข้ามาขวางหน้าพวกเขาทั้งสามคนทันใด  พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  “ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้นเองแม่นางเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน   เจ้าจะไปเจรจาโดยตรงกับพวกเจ้าหน้าที่ทางการเองเนี่ยนะ  เจ้าไม่กลัวการไปพบกับเจ้าหน้าที่พวกนี้หรอกรึ!”
            เหลียนฟางโจวนึกตรองดูอีกที  นางไม่ควรเข้าไปสอดมือยุ่งเรื่องนี้เอาเสียเลย   หากรู้อย่างนี้  สู้ทิ้งห่อผ้านี้ไว้ที่เพิงพักเสียเฉยๆดีกว่า
            “เอาล่ะ ข้าจะบอก! ข้าคิดว่า” ชุยเฉ่าซีเห็นหญิงสาวได้แต่มองและไม่เอื้อนเอ่ยอันใด  พอโดนมองมากๆ  เขาเองเริ่มทนไม่ไหว  ได้แต่คิดอย่างเบื่อหน่าย  จึงเอามือแตะจมูกพลางเอ่ยขึ้น “อืม มีขนตัวซี่เตียวสองผืน และผ้าพับหนึ่ง  ตั๋วเงิน 5,000 ตำลึง  ถุงใส่เงินข้างในมีแผ่นทองรูปใบไม้เล็ก 2-3 ชิ้น และไข่มุก 2 เม็ด และเศษเงินอีกนิดหน่อย!  เท่านี้แหละ แม่นาง

            บุรุษรูปงามถอยหายใจเบาๆ  เอ่ยขึ้นอย่างปลงๆ “สิ่งที่บรรจุอยู่ในถุงใส่เงินจะให้ระบุว่ามีจำนวนเท่าใดนั้น  ข้าไม่อาจจำได้จริงๆ!”
    -------------------------------------------------------------------
   ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ และ การติดตามนะคะ
   ในที่สุดก็มีตัวละครสำคัญปรากฏตัวเพิ่มอีกคนแล้วค่ะ  
   ลองเปรียบเทียบดูนะคะ ชอบแนวคุณชายผู้สูงศักดิ์ หรือแบบคนเหล็กอย่างท่านแม่ทัพ ^-^

14 ความคิดเห็น:

  1. พระเอกใหม่.............อิอิอิอิอิ

    ตอบลบ
  2. แน่นอนว่าท่านแม่ทัพสิคะ

    ตอบลบ
  3. สนุกๆ ขอบคุณค่าา

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณค่าาาาาาา

    ตอบลบ
  5. ชอบปู้ชายแบบชายจริงๆนี่แหละไม่แปรผัน

    ตอบลบ
  6. หนุ่มคนใหม่ใช่ไหมหรือแค่ผ่านมาแล้วผ่านไปแต่ยังไงรีดก็ชูป้ายท่านแม่ทัพ

    ตอบลบ
  7. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  8. คุณชายคือว่าที่พระรองรึเปล่านะ ^ ^

    ตอบลบ
  9. สนุกเนื้อเรื่องค่อยเป็นค่อยไปไม่โอเวอร์

    ตอบลบ
  10. เปลี่ยนเรือได้ไม หรือเหยียบสองลำ

    ตอบลบ
  11. ต้องเป็นแม่ทัพอยู่แล้วค่ะ เรารักมั่นแต่ท่านแม่ทัพเพียงผู้เดียว อิอิ

    ตอบลบ
  12. ไม่ระบุชื่อ6 เมษายน 2560 เวลา 22:38

    ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
  13. เหวยยยย คู่แข่งสนามรักโผล่มาแล้ว

    ตอบลบ