วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 90 ช่วยคน (1)

                 “เจ้าลุกขึ้นเร็วเถิด!”  อาเจี่ยนก้มตัวลงออกแรงฉุดเขาขึ้นมา  เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เจ้าวางใจเถิด ข้าจะช่วยนางให้ได้!  เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว จะใจเย็นลงได้หรือยังเรื่องนี้หาได้ยิ่งใหญ่ขนาดฟ้าถล่มลงมาไม่!”
                  เหลียนเซ่อผู้ศร้าสร้อย  เงยหน้าขึ้นมองอาเจี่ยน  ใจเริ่มสงบลงช้าๆ
                  “จริงๆหรือ?”  พี่เจี่ยนบอกว่าเรื่องนี้หาได้ยิ่งใหญ่ขนาดฟ้าถล่มลงมาไม่  ทว่าในความคิดของเขา  นี้คือเรื่องสำคัญยิ่งจนทำให้ฟ้าถล่มลงมาได้จริงๆ!

                  “อืม”  อาเจี่ยนพยักหน้า แล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถิด  พวกเรากลับกันก่อนจะได้ปรึกษาหารือกันเจ้าต้องเชื่อมั่นในตัวพี่สาวของเจ้า  นางหาใช่คนที่ใครๆจะมาวางแผนเล่นงานตามใจชอบได้นะ
                  “อืม!”  เหลียนเซ่อเริ่มคลายความกังวลลง  เด็กหนุ่มพยักหน้ารับเบาๆ
                  เมื่อพวกเขาหวนกลับมาถึงบ้าน  ก็พบป้าจ้างอยู่ที่นั่นด้วย  เดิมทีพวกเขาตั้งใจจะไปบ้านป้าจางเพื่อแจ้งข่าวอยู่แล้ว   กลัวว่าคนที่บ้านนั้นยังรอฟังข่าวอยู่ด้วยความกระวนกระวายใจอยู่                             
                  “กลับมาแล้วหรือ แล้วฟางโจวเล่า?” ป้าจาง  ป้าสามและน้องเล็กทั้งสองต่างผลุดลุกขึ้นยืนพร้อมกัน  พอมองไม่เห็นตัวเหลียนฟางโจว  หลายคนต่างอึ้งชะงักไป
                  เหลียนเซ่อก้มหน้าเล็กน้อย  ดวงตาแดงก่ำ   เปิดปากคล้ายจะเอื้อนเอ่ย  ทว่ากลับไม่มีเสียงเปล่งออกมา   ด้วยเกรงว่าตนเองจะไม่อาจสะกัดกลั้นเสียงร่ำไห้ออกมาได้
                  อาเจี่ยนเห็นสายตาเต็มไปด้วยคำถามของทุกคน  จึงเอ่ยขึ้น “เจอปัญหาเข้าแล้ว  แต่พวกท่านวางใจเถิดข้าจะช่วยนางกลับมาให้ได้....”
                  เมื่อได้ยินคำว่า “ปัญหา”  และคำว่า “ช่วยเหลือ”  ปรากฏในหลายๆถ้อยความ  ป้าสามและป้าจางจิตใจพลันเครียดเขม็ง  ยิ่งพอฟังอาเจี่ยนเล่าแจ้งแถลงไขจนจบ  สีหน้าของพวกเขาพลันซีดเผือดลงทันใด
                  เหลียนเช่อและเหลียนฟางฉิงต่างจับใจความได้เพียงครึ่งเดียว   ทว่ายามเห็นสีหน้าของพวกผู้ใหญ่เป็นเช่นนั้น   ตนเองย่อมรู้ว่าเกิดเรื่องร้ายแรงเข้าแล้ว  ปากของเด็กทั้งสองเบะออก   อดส่งเสียงร่ำไห้ออกมาไม่ได้
                  “นังโสเภณีแก่แพศยานังชั่วช้าใจดำอำมหิตเรื่องนี้ช่างไร้ศีลธรรมนัก   นางยังกล้ากระทำอีก!”  ป้าสามตะเบ็งเสียงลั่นด้วยความเคียดแค้นชิงชัง  แล้วหันกลับไปปลอบหลานๆชายหญิงตัวน้อย  ขณะที่ปากก็พร่ำพูดอย่างโกรธแค้นว่า “ข้าจะขอคิดบัญชีกับนางเอง!”
                  “ป้าสาม...ท่านไปไม่ได้นะ!”  อาเจี่ยนเรียกเสียงหลง  “ก่อนฟางโจวกลับมา  อย่าได้หลุดเรื่องนี้ออกไปแม้แต่คำเดียว   คอยฟางโจวกลับมาก่อน  แล้วจะทำสิ่งใดต่อไปค่อยมาหารือกันอีกครา!”
                  “ใช่แล้วอาเจี่ยนกล่าวได้ถูกต้องแล้วเรื่องนี้ต้องจัดการให้ดี!”  ป้าจางพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย
                  ป้าสามอึ้งงันไป  แต่แล้วจึงเริ่มเข้าใจ
                  หากเรื่องนี้เกิดรั่วไหลออกไป  ชื่อเสียงของเหลียนฟางโจวจะเหลือรึเรื่องถอนหมั้นนั่นก็คราหนึ่งแล้ว  แม้ว่าผู้คนจะรับรู้ดีว่า  เป็นฝ่ายสกุลหยางที่ทำเกินไป   จึงได้เทคะแนนสงสารให้นาง  หากจะบอกว่าชื่อเสียงนางได้เสื่อมเสียไปแล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้!
                  แต่หากเพิ่มเรื่องนี้เข้าไปอีก  นั่นอาจจะเป็นการทำลายชื่อเสียงนางเข้าจริงๆ..
                  “โอ๊ย!  ข้าอยากจะบ้าตาย   ทำไมเรื่องถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ ข้าอยากตะคอกถามนังแก่ไร้คุณธรรมผู้นั้นนัก  ว่ามันบ้าก่อเรื่องวุ่นวายไปเพื่ออะไร  จริงๆเลย!” ป้าสามพยักหน้าหงึกหงักไม่หยุด  รีบเอ่ยว่า  เกี่ยวกับเรื่องนี้เราต้องรีบหาทางช่วยฟางโจวให้เร็วที่สุดต้องรีบช่วยกันคิดหาหนทางว่าจะช่วยนางอย่างไรดี !”
                  พอกล่าวเช่นนี้  ป้าจางก็พลอยกลัดกลุ้มไปด้วย  หวางจี้ผู้นั้นเป็นเจ้าของร้านขายผ้าไหมหรูหราในเมือง  เป็นตระกูลที่มั่งคั่งมีชื่อเสียงและมีอิทธิพลมาก   หากจะไปถามหาคนที่คฤหาสน์ของสกุลนี้   คงไร้ประโยชน์ เพราะทางนั้นย่อมปฏิเสธไม่ยอมรับเป็นแน่  เกรงว่าต่อให้ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ หรือผู้ที่มีอำนาจในเมือง  เพื่อขอเข้าไปค้น  ก็คงเป็นไปไม่ได้!
                  “เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง  ข้าจะเข้าเมืองไปเสียเดี๋ยวนี้”  อาเจี่ยนเอ่ยขึ้น
                  ป้าสามและป้าจางต่างมองหน้ากัน  พลางเอ่ยว่า “เดินทางระวังตัวด้วย”  ป้าจางอดถามขึ้นมาไม่ได้ “ข้าเกรงว่าเจ้าคงยากจะฝ่าด่านเข้าประตูคฤหาสน์ของหวางจี้ไปได้  ถึงเจ้าเข้าเมืองไปก็คงเสียเที่ยวแล้ว   เจ้ามีวิธีการอื่นใดอีกหรือไม่ ?” 
                  แน่นอนวิธีเข้าไปของเขาก็คือ ใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามกำแพง และเดินบนหลังคาอย่างไรก็ดี  อาเจี่ยนคงไม่แจกแจงรายละเอียดให้กับคนทั้งสองรับทราบหรอก  เพียงแค่เอ่ยว่า “ข้ามีแผน  พวกท่านวางใจเถิด!”
                  การเข้าเมืองไปหลังเที่ยงคืน  ต้องมีเอกสารขอเข้าเมือง  ไม่เช่นนั้นเจ้าหน้าที่จะไม่เปิดประตูเมืองให้   สำหรับเรื่องนี้ป้าจางและป้าสามได้เตรียมการไว้แล้ว  โดยแจ้งว่าเหลียนฟางโจวมีไข้ขึ้นสูง  ต้องขอเข้าเมืองเพื่อเชิญหมอมารักษา  จางลี่เจิ้งจะได้ไม่อึดอัดใจ
                  อาเจี่ยนเดินทางโดยใช้วิชาตัวเบา  จึงทำให้เดินทางได้รวดเร็วนัก  เพียงไม่กี่ชั่วยาม  ก็ผ่านเข้าเมืองโดยสะดวกโยธินในยามใกล้รุ่ง
                  ยามนี้  บนท้องถนนหลายสายเพิ่งตื่นจากการหลับไหล  มีเพียงคนกวาดถนน  และเจ้าของเพิงขายอาหารริมทางเล็กๆ   ที่เพิ่งเริ่มก่อไฟ  และวุ่นวายกับการหุงต้มอาหาร
                  อาเจี่ยนจึงสบโอกาสเข้าไปสอบถามที่อยู่ร้านขายผ้าไหมของหวางจี้ได้โดยสะดวก
                  คฤหาสน์ของหวางจี้มีทางเข้าประตูอยู่ 3 แห่งด้วยกัน  เป็นประตูข้างอยู่ทางด้านซ้ายและขวาของตัวคฤหาสน์อยู่   อีกแห่งหนึ่งก็คือแถวบริเวณสวนขนาดย่อม  ซึ่งไม่นับว่าใหญ่โตนัก  แต่ก็หาได้ยากนักในเมืองนี้
                  อาเจี่ยนมองประเมินคร่าวๆเพื่อหาช่องทางเข้าไปที่สะดวก  แล้วสะกิดปลายเท้าพุ่งทะยานไปยังบริเวณคอกม้าทั้นที
                  ว่ากันโดยทั่วไปแล้ว  ที่พักของคนเลี้ยงม้าย่อมสร้างไว้ข้างๆคอกม้า  เพื่อสะดวกในการดูแลม้า
                  อาเจี่ยนก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า  เหตุไดเขาถึงได้รู้เรื่องคอกม้านั้นดี   ซ้ำยังคล้ายกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ชายหนุ่มมักทำอยู่เป็นประจำ
                  อาเจี่ยนจับคนเลี้ยงม้าไว้เพื่อบีบบังคับให้ชายเลี้ยงม้าบอกตำแหน่งห้องนอนของคู่สามีภรรยาหวางจี้ และหัวจินเต๋าว่าอยู่บริเวณไหน  ครั้นทราบแล้วก็ซัดฝ่ามือใส่คนเลี้ยงม้าจนสลบ  อาศัยเพียงแสงดาวบนท้องฟ้า  เพื่อรุดไปยังเป้าหมาย
                  **
                   ตัดกลับมาทางอีกฝ่าย  หัวจินเต๋าได้นำตัวเหลียนฟางโจวเข้าสู่คฤหาสน์ของหวางจี้อย่างรีบเร่ง   โดยสั่งให้บ่าวรับใช้ที่เป็นเด็กชายและหญิงชราเข้ามาช่วยกันแบกร่างเหลียนฟางโจวไปที่ห้องปีกข้างของเรือน  แล้วประคองให้หญิงสาวที่หมดสตินอนลงบนตั่ง   ทั้งยังกำชับบ่าวเด็กชายและบ่าวหญิงชราให้เฝ้าเหลียนฟางโจวไว้ให้ดี   ส่วนตัวนางก็วุ่นวายกับการตามหานายท่านหวางเพื่อแจ้งข่าวดี
                  ยามนี้นายท่านหวางและฮูหยินเข้านอนไปแล้ว   โดยมารยาทแล้วหัวจินเต๋าควรแจ้งเรื่องนี้ในตอนเช้า  ทว่านางมัวแต่ตื่นเต้นดีใจ  คิดว่าตนเองได้สร้างความดีความชอบขนานใหญ่  มิหนำซ้ำนายท่านยังลุ่มหลงนาง  จนไม่ลืมหูลืมตาในบางครั้งด้วย
                  ส่วนฮูหยินหวางรู้สึกขัดหูขัดตาอนุภรรยาผู้นี้มาก  ทว่าเป็นเพราะนายท่านโปรดปรานหัวจินเต๋า  นางจึงจำต้องกล้ำกลืนฝืนทน
                  สาวรับใช้ประจำห้องนอนของฮูหยินหวาง  ยืนเฝ้าคอยรับใช้อยู่นอกห้องช่วงกลางคืน  ย่อมไม่พอใจที่เห็นหัวจินเต๋าเป็นธรรมดา  เห็นว่านี่มันก็ดึกดื่นมากแล้ว  ซ้ำพรุ่งนี้นางค่อยกลับใหม่ก็ยังไม่สาย  หัวจินเต๋ากลับไร้มารยาท  ซ้ำยังวิ่งแจ้นมายังห้องนอนภรรยาเอกเพื่อตามหานายท่าน   ช่างไม่เห็นแก่หน้าฮูหยินใหญ่เลยสักนิด!
                  สาวรับใช้เริ่มโมโห  ไม่เต็มใจจะแจ้งข่าว   มีแต่พูดบ่ายเบี่ยงให้หัวจินเต๋ากลับไปท่าเดียว   ทว่าหัวจินเต๋าเป็นคนใจกล้าและยโสโอหังนัก   ไหนเลยจะยินยอมเดินจากไปง่ายๆเล่าครั้นแล้วจึงทะเลาะกับสาวรับใช้อยู่ตรงหน้าประตู
                  คนทั้งคู่ทะเลาะกันเอะอะเสียงดังจนได้ยินถึงหูนายท่านหวาง  ทั้งสองสามีภรรยาจึงตื่นขึ้นมาดู                  
                 “ทำอะไรกันนี่ โตๆกันแล้วไฉนยังเทลาะกันเสียงดังเอะเอะไม่หยุด  กลางดึกกลางดื่นป่านนี้ มีเรื่องอะไรไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้ “  ฮูหยินหวางสวมอาภรณ์แบบดั้งเดิม   สาบเสื้อคลุมตัวนอกประดับด้วยผ้าขนสัตว์สีส้ม  กำลังเอามือจัดผมให้เข้ารูปเข้ารอย   เพราะเพิ่งลุกออกมาจากเตียงอุ่น  แก้มทั้งสองข้างจึงขึ้นสีแดงเรื่อๆ  พอเห็นหัวจินเต๋าก็พาลให้อารมณ์เสีย  จ้องมองนางด้วยสายตาชิงชัง
                  นายท่านหวางโดยปกติ  แม้ว่าจะโปรดปรานอนุภรรรยาเพราะว่ายังอ่อนวัยสดใสน่ารักอยู่มาก   ในใจนึกอยากจะเข้าไปปลอบโยนเอาใจ  ทว่าถ้อยคำของฮูหยินใหญ่นั้นก็กล่าวได้สมเหตุสมผล    เขาจึงไม่อยากให้ท้ายอนุภรรยามากเกินไป    จึงแสร้งทำเป็นยืนเฉย!
                  “ไฉนถึงได้กลับมาเอาดึกดื่นป่านนี้ยังไม่รีบกลับห้องไปอีก?  มีเรื่องอันใดไว้ค่อยพูดกันพรุ่งนี้อีกที!  ไปได้แล้ว! “ นายท่านหวางเอ็ดด้วยสีหน้าบึ้งตึง
                  “นายท่าน! “   ไหนเลยหัวจินเต๋าจะสนใจจะสังเกตุสีหน้าของนายท่านหวางเล่า   รีบเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า  “หากอยู่ในเวลาปกติอนุภรรยาคงไม่กล้ารบกวนนายท่านหรอก?   ที่อนุภรรยามาหาเพราะมีเรื่องสำคัญจะเรียนให้นายท่านทราบฮูหยินได้โปรดให้อนุภรรยาได้รายงานสักครั้งได้ไหม?  แค่สัก 2-3 ประโยคเท่านั้น !”
                  “หากเป็นเรื่องสำคัญจริง  ก็ควรเจรจากันวันพรุ่งนี้จึงจะเหมาะสมที่สุด  จะต้องมาคุยกันตอนค่ำมืดดึกดื่นทำไม?”  ฮูหยินหวางแค่นเสียง “เจ้าเอาแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆมารบกวนนายท่านเป็นประจำจนเสียนิสัย !   นายท่านยามกลางวันก็เหนื่อยล้ามากแล้ว  เจ้าไม่ปล่อยให้ท่านหยุดพักเลย  ร่างกายของนายท่านจะทนไหวได้อย่างไร!
                  หัวจินเต๋าไม่กลัวเกรงถ้อยคำตำหนิติเตียนของฮูหยินหวางเลยสักนิด   ยืนฟังเอาหูทวนลมนิ่ง   หางตาไม่เหลือบแลนางแม้นิด  ดวงตาคู่งามเอาแต่จับจองนายท่านหวางด้วยความตื่นเต้นดีใจ
                  นายท่านหวางเห็นหัวจินเต๋าเป็นเช่นนี้  ให้ลังเลเล็กน้อย  พลางเอ่ยว่า “เจ้ามีเรื่องอันใดจะบอกรึ!”
                  “นายท่าน! “  ฮูหยินหวางเห็นสามีจะไปห้องหัวจินเต๋าเพื่อเห็นแก่นาง  ในใจทั้งอับอายและขุ่นเคืองนัก

                  หัวจินเต๋ามีสีหน้ายิ้มแย้มดีใจ  ยอบกายคารวะเล็กน้อย “คืออย่างนี้เจ้าค่ะ” แล้วพานายท่านหวางเดินไปข้างหน้า  เพื่อกระซิบถ้อยคำใส่หูนายท่านหวาง  แจ้งเรื่องราวให้กระจ่าง  และหลบเลี่ยงไม่ให้ฮูหยินหวางรู้
     --------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ
พอดีต้องสะสางธุระปะปัง  เลยมาอัพวันนี้แทนคะ

-ในที่สุดอาเจี่ยนก็ลงทุนทุ่มเท ไม่หลับไม่นอน  ทำตัวเป็นจารชน  เข้าไปช่วยเหลือสาวงาม  ต้องลุ้นในตอนต่อไปว่าจะไปช่วยทันเวลาหรือไม่ ^-^

12 ความคิดเห็น:

  1. โอ้ย นางเต่านี้ก็ร้ายจังจะรีบอะไรนักหนา
    //อาเจียาเท่มักๆๆ ป้ายไฟกระพริบรัวๆ

    ตอบลบ
  2. ขอชูป้ายไฟอาเจี่ยนด้วยอีกคน

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณค่ะไรท์////ตอนนี้อาเจี่ยนเรามีความเป็นพระเอกมากกกก

    ตอบลบ
  4. ทันสิ พระเอกนี่นาาา ^____^

    ตอบลบ
  5. หมั่นใส้หัวจินเต๋ามาก
    อาเจี่ยนมาช่วยนางเอกไวๆน้า

    ตอบลบ
  6. แค่อ่านยังอยากจิกหัวคนเลย แง่มๆ

    ตอบลบ
  7. ตบนังหัว อย่าให้มันรอด รวบพวกเหลียนลี่ลงตะรางไปพร้อมกันเลย ย้ากกก

    ตอบลบ
  8. เชียร์อาเจี่ยนสุดใจ
    รีบช่วยเร็วๆๆๆ

    ตอบลบ
  9. อาเจี่ยนสู้ๆๆๆ ตบเกรียนเลยอาเจี่ยน

    ตอบลบ
  10. อยากฆ่าอีลุงป้าสุดเลวจริงๆ ทำเถอะลงแรงครั้งเดียวตัดปัญหาหอกข้างบ้านไปตลอดชีวิตเลยนะ

    ตอบลบ
  11. ขอบคุณที่แปลให้อ่านค่ะ

    ตอบลบ