วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 91 ช่วยคน(2)

                  ร่างฮูหยินหวางสั่นสะท้านด้วยความคลั่งแค้น  จ้องหน้าหัวชินเต๋าด้วยสายตาชิงชัง  หากไม่ได้ยึดแขนสาวใช้ข้างกายเอาไว้  นางก็คงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว
                  “จริงๆรึนี่!”  ดวงตาของนายท่านหวางทอประกายเจิดจ้า น้ำเสียงตื่นเต้นนัก
                  “เป็นเรื่องจริงสิเจ้าคะ!” หัวจินเต๋าพยักหน้าแย้มยิ้ม รีบเอ่ยว่า “นายท่านอยากเข้าไปดูสักหน่อยหรือไม่เล่า?”
                  หวางจี้นิ่งคิดไปสักครู่  พรุ่งนี้แขกผู้ทรงเกียรติจะเดินทางออกจากเมืองยู่เหอแล้ว  ดังนั้นในเรื่องนี้  ต้องเร่งรีบตัดสินใจโดยเร็วที่สุด  หากเอาใจแขกผู้นี้ให้ดี  ในภายภาคหน้าร้านผ้าไหมของเขาจะได้เป็นผู้จัดหาผ้าไหม แพรพรรณต่างๆให้  เพราะร้านของเขามีสินค้าราคาถูกกว่า  ซ้ำยังมีแบบใหม่ๆให้เลือกมากกว่าด้วย  นี่จะเป็นข้อตกลงทางการค้าครั้งสำคัญยิ่ง !

                  “เช่นนั้น..เรารีบเดินกันเถิด  ไปดูกัน!”   จิตใจของนายท่านหวางฮึกเหิมขึ้นมาทันใด  ครั้นแล้วจึงหันกลับไปเอ่ยกับฮูหยินหวาง “เจ้าเข้านอนไปก่อนเถิดข้ามีเรื่องต้องรีบไปสะสางเล็กน้อย!”
                  ฮูหยินหวางอยากจะฉีกเลือดฉีกเนื้อหัวจินเต๋านัก   ไม่รู้ว่านางกระซิบกระซาบอันใดให้สามีฟัง   ยามนี้ฮูหยินหวางไม่กล้ามีความเห็นเป็นอื่น   มิเช่นนั้นจะกลายเป็นการขัดใจเขาเข้า
                  ฮูหยินหวางพยายามอย่างหนักเพื่อดึงมุมปากที่บิดเบี้ยวกลับมา  เผยให้เห็นรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า  พยักหน้าเอ่ยว่า “นายท่านรีบไปรีบกลับนะระวังเป็นหวัดด้วยหยินซวงเร็วเข้า  ไปหยิบเสื้อคลุมตัวหนามาซิ!”
                  หัวจินเต๋าอดลอบมองหน้าฮูหยินหวางไม่ได้  มุมปากยกยิ้มเยาะหยัน  นางคงจะกล้ำกลืนฝืนทนน่าดู ก็แล้วอย่างไรเล่าข้าเองก็ต้องฝืนทนเหมือนนางเช่นกันนั่นแหละ!
                  หยินซวง..สาวใช้ประจำตัวฮูหยินหวาง  รีบไปหยิบเสื้อคลุมหนาสีน้ำตาลที่คอเสื้อขลิบด้วยขนสัตว์สีเหลืองทองนำส่งให้   ฮูหยินหวางบรรจงสวมเสื้อคลุมให้นายท่านหวางด้วยตนเอง  แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นายท่าน...เชิญ!  แล้วรีบกลับมาไวๆนะ  อย่าได้หักโหมเกินไป!”
                  นายท่านหวางพึงพอใจความดีงามมีคุณธรรมของภรรยาเอกนัก  พยักหน้า อืม” ครั้นแล้วจึงออกไปกับหัวจินเต๋า
                  พอนายท่านหวางและหัวจินเต๋าเดินคล้อยหลังไปเท่านั้น  สีหน้าของฮูหยินหวางพลันมืดครึ้ม  ใบหน้าบูดบึ้ง  ทรุดลงนั่ง  เปล่งเสียงลอดไรฟันออกมาอย่างเคียดแค้นชิงชัง “นางคนชั้นต่ำชักจะกำแหงเกินไปแล้ว  อีกไม่นานข้าภรรยาเอกผู้นี้จะเฉดหัวนังปีศาจนี่ออกไปให้พ้นคฤหาสน์นี้ให้จงได้   เจ้าเตรียมโดนคิดบัญชีทบต้นทบดออกได้เลยเจ้าไปดูสิ   ไปดูนังหญิงสถุลผู้นั้นสิว่านางกำลังแอบสร้างเรื่องอันใดอยู่!”
                  หยินซวงย่อมแปรเจตนาของฮูหยินใหญ่ออก คำว่า ให้ไปดู หมายถึงให้ไปลอบแอบฟังนั่นเอง  และนี่ย่อมไม่ใช่คราแรกที่นางสั่งให้ทำเช่นนี้  สาวใช้ไม่กล้าชักช้า  รีบดำเนินการทันที
                  ฝ่ายเหลียนฟางโจวรู้สึกตัวตื่นตั้งแต่อยู่บนรถม้าแล้ว  ทว่าเธอยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
                  เมื่อตนเองถูกแบกมานอนในห้องนี้  เธอแอบโล่งอก  ซ้ำยังครุ่นคิดหาโอกาสหลบหนีไปด้วย  ใครจะรู้เล่าว่าเด็กชายและหญิงชราสองคนนั้น   จะยืนเฝ้าระวังเธออยู่แทบไม่คลาดสายตาเลย  เธอลอบครวญครางในใจ   ทำได้แต่เพียงคอยเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ
                  “นายท่าน  ที่นี่เจ้าค่ะท่านเดินช้าๆหน่อย!”   หัวจินเต๋าส่งเสียงหัวเราะคิกคักดูน่ารักน่าใคร่  บ่าวเด็กชายและหญิงชรา รีบมาเปิดประตูต้อนรับ
                  เหลียนฟางโจวกำมือข้างกายแน่น   รีบผ่อนลมหายใจคลายความตื่นเต้นลง   ไม่กล้าขยับตัวแม้นิด
                  เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ   ชั่วขณะนั้นเธอได้กลิ่นแป้งหอมที่ฉุนจัด  เหลียนฟางโจวถึงกับต้องกลั้นหายใจเบาๆ
                  “คนนี้น่ะหรือ?”  เสียงชายวัยกลางคนดังขึ้น
                  “ใช่เจ้าค่ะ นายท่าน ท่านว่าดูดีหรือไม่?”  เสียงทรงเสน่ห์ของหญิงสาวนางหนึ่งดังขึ้น  ซึ่งก็คือเสียงของหัวจินเต๋านั่นเอง  ทว่าเหลียนฟางโจวไม่รู้ว่าหญิงนางนี้คือใคร
                  ผ่านไปสักพัก  ได้ยินเพียงเสียงผู้ชายอุทานออกมาด้วยความพึงพอใจ “อา..”  แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เต๋าเอ๋อร์ช่างเก่งกล้าสามารถนัก  เด็กสาวคนนี้สดใสราวกุหลาบแรกแย้ม  ทั้งยังดูน่ารักชวนมอง  ผิวพรรณรึก็ขาวกระจ่างใส ฮ่าฮ่า ดี!  ช่างดียิ่งนัก!”
                  เหลียนฟางโจวให้รู้สึกรังเกียจขยะแขยงนัก   คอยเดาว่าคนพวกนี้จับนางมาเพื่อจุดประสงค์อันใด
                  หัวจินเต๋าหัวเราะคิกคัก  เอ่ยด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน  “ธุระของนายท่าน  ข้าอนุภรรยาย่อม เห็นเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งอยู่แล้ว !  ดูสิ..ข้าอนุภรรยาไม่กล้าชักช้าเลยแม้สักนิด  รีบจับรถม้าบึ่งกลับมาในยามดึกเลยทีเดียว!”
                  คราแรกนายท่านหวางมัวแต่พึงพอใจในผลงาน  จนลืมถามบางจุดที่น่าสงสัยไป   มิคาดว่าหัวจินเต๋าผู้นี้ดันหลุดปากออกมา  จนไปสะกิดเตือนให้เขานึกขึ้นมาได้   หวางจี้จึงเอ่ยถามออกไป  “เจ้าไม่บอกข้า  ข้าก็ลืมไปเลยจริงๆ   เอ...แล้วเจ้าไปทำอีท่าไหนเล่า  ถึงสามารถรีบบึ่งพานางกลับมาในกลางดึกคืนนี้ได้?”
                  หัวจินเต๋าอึ้งงันไป  นางย่อมไม่บอกความจริงกับเขาเป็นแน่  เรื่องของเรื่องก็คือ  ความจริงนั้นเป็นเรื่องที่ไม่น่าเอ่ยถึง พอเห็นดังนี้  นางจึงแกล้งทำเป็นกระเง้ากระงอด  “เดิมทีข้าคิดไว้ว่ารอให้ถึงพรุ่งนี้เช้า  แล้วค่อยพานางกลับมา ทว่าใจของข้าน้อยคอยเฝ้าพะวงคิดถึงแต่นายท่านจนไม่อาจข่มตาหลับลงได้   คงทำได้แต่รีบเร่งกลับมาเท่านั้นนายท่าน  ด้วยเหตุนี้ข้าน้อยถึงได้กลับมาถึงคฤหาสน์สกุลหวางเร็วกว่ากำหนด  ความหุนหันพลั่นแล่นเช่นนี้  ข้าน้อยจะไม่ทำอีกแล้ว!”
                  “โอ๋..ช่างเถิด!  ช่างเถิด!”  หวางจี้ไม่ติดใจสงสัยอีกแล้ว  รีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  “กลับกันเถิด  กลับกันได้แล้วคนดีโถ...เจ้าก็น่าจะรู้ว่าท่านเสี่ยวต้องออกจากเมืองยู่เหอยามเที่ยงพรุ่งนี้  ตัวข้ากำลังนึกกลุ้มใจอยู่ว่าจะเตรียมของขวัญอะไรให้ท่านดีเจ้ากลับเอามาให้ข้าทันเวลาพอดีเลย โฮ่ โฮ่ โฮ่!” 
                  หัวจินเต๋าดีอกดีใจนักหนา ปรบมือส่งเสียงหัวเราะชอบใจ “เรื่องนี้ช่างประจวบเหมาะเสียเหลือเกินอนุภรรยากับนายท่าน   ที่จริงแล้วช่างมีอะไร..นะ
                  “ช่างมีใจตรงกันนะสิ !”  ว่าแล้วหวางจี้ก็ระเบิดหัวเราะออกมาด้วยความถูกใจ                             “ใช่แล้ว!  ใช่แล้วที่แท้เราสองคนมีใจตรงกันนั่นเอง !”  หัวจินเต๋าส่งรอยยิ้มออดอ้อน  แล้วกล่าวประจบประแจงหวางจึ้อีกหลายคำ   หมายจะให้สามีพออกพอใจ
                  “เด็กคนนี้ยังไม่ตื่นอีกรึแล้วเรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่?”  หวางจี้คิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย  พลันถามขึ้น
                  หัวจินเต๋ากระแอมเบาๆ   รีบเอ่ยเสียงเนิบด้วยรอยยิ้มอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสลักสำคัญนัก  “เรื่องนี้ก็คือ...ผู้อุปการะเด็กสาวผู้นี้เป็นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในสกุลเหลียน  เด็กสาวคนนี้เป็นคนอารมณ์ร้ายและนิสัยหยาบกระด้างนัก   ดังนั้นผู้ใหญ่สกุลของนางจึงทำให้นางสลบ  จะได้พาตัวนางมาสะดวกยิ่งขึ้นนายท่าน  ท่านเสี่ยวไม่ได้บอกว่าชอบเด็กผู้หญิงที่หยาบคายและไร้เหตุผลหรอกหรือเจ้าคะ  ก็ได้มาแล้วนี่ไงเจ้าคะ! ฮิฮิ   เป็นไปได้หรือ  ที่ท่านเสี่ยวจะไม่อาจปราบเด็กสาวบ้านนอกสกุลเหลียนผู้นี้  ให้อยู่หมัดได้?
                  หวางจี้เริ่มเขวตาม   จากนั้นคนทั้งสองต่างหัวเราะออกมาพร้อมกัน  ไม่สนใจเรื่องที่ดูไม่ชอบมาพากลอีกแล้ว  พลางเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้น พรุ่งนี้ ตอนรุ่งสางก็ปลุกเด็กคนนี้ให้ตื่น  แล้วพาไปอาบน้ำอาบท่า  แต่งกายด้วยอาภรณ์ดีๆเสีย  จะได้ดูดีขึ้น !”
                  หัวจินเต๋าค้อมกายด้วยรอยยิ้ม  พลางส่งเสียงฉะอ้อน  “นายท่าน!”   แล้วจูงมือ
หวางจึ้เพื่อพากลับห้องนอน
                  เมื่อเหลียนฟางโจวได้ยินถ้อยคำของทั้งสองแล้ว  ให้กระวนกระวายใจนัก  พอได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเขาเดินออกไป   เธอแอบโล่งใจเงียบๆ   แล้วรีบลุ้นให้พวกเขาเดินจากไปเร็วๆ!
                  รุ่งเช้าพรุ่งนี้เธอต้องถูกส่งตัวไปให้ “ท่านเสี่ยว”  เกรงว่าหากรอให้ถึงเวลานั้นแล้ว  ไหนจะต้องถูกปลุกให้ตื่น  ไหนจะต้องมาเตรียมตัว  ทั้งยังต้องเก็บข้าวของอีก  คงมีเวลาไม่พอให้เธอหลบหนี
                  อย่างไรก็ดี  สวรรค์ช่างไม่เข้าข้างเธอเลย  ยามนี้บนเพดานมีฝุ่นตกลงมาบนจมูกเหลียนฟางโจวพอดี   ทันใดนั้นเธอให้รู้สึกคันจมูกยิ่งนัก   แต่ก็พยายามอดกลั้นเอาไว้    จนไม่อาจทานทนไหว  ในที่สุด  ฮัดเช้ย!”  เสียงจามของเธอดังลั่นสนั่นหวั่นไหว!
                  เสียงจามนี้ทำเอาหัวจินเต๋า บ่าวเด็กชายและบ่าวหญิงชรา  รวมถึงหวางจี้ถึงกับ
สะดุ้งโหยง  ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่ตัวเหลียนฟางโจวเป็นตาเดียวกันราวกับนัดกันไว้ก่อน
                  “นางรู้สึกตัวตั้งแต่แรกแล้วนี่นางไม่ได้สลบ!   เสี่ยวเหยาเอ๋อร์ แม่นมอู่  พวกเจ้าเฝ้าคนประสาอะไรกัน!  แม่นางเหลียน  จะทำสิ่งใดก็คิดให้ดีเสียก่อนนะ!”  หลังจากหัวจินเต๋าหายตกอกตกใจแล้ว   สติสตังก็คืนกลับมาทันใด  แค่นเสียงสั่งการคนของนางให้คอยตล่อมจับตัวเหลียนฟางโจว  ปากก็ปรามหญิงสาวไม่ให้วู่วาม
                  ในความคิดนาง  นี้คือเรื่องที่อยู่ในความดูแลของนางอย่างแท้จริง  ผู้ที่ต้องรับผิดชอบคือนางเท่านั้น!  ถึงจะเป็นแค่เด็กสาวบ้านนอก   นางก็ต้องคอยดูแลไม่ให้มีอะไรผิดพลาด
                  เสี่ยวเหยาเอ๋อร์และแม่นมอู่ต่างร้องรับออกมาพร้อมกัน “ขอรับ/เจ้าค่ะ!”
                  ใจของเหลียนฟางโจวตกลงไปที่ตาตุ่มทันใด  เธอรู้ดีว่ายามนี้หากฝ่าด่านออกไปไม่ได้  ตัวเธอย่อมหมดโอกาสรอดแน่นอนเพราะว่า ณที่นี่ยามนี้  เธอหัวเดียวกระเทียมลีบ  ไม่มีพรรคพวกคอยให้ความช่วยเหลือ!
                  เหลียนฟางโจวรีบลุกขึ้นนั่งทันใด  ไม่คอยให้ใครมีเวลาตั้งตัว  เรื่องอะไรจะปล่อยให้หัวจินเต๋าล้อมจับได้  เธอผลักหวางจี้เต็มแรงจนกระเด็นไป   แล้ววิ่งไปหาหัวจินเต๋า  จากนั้นจึงกระชากปิ่นทองจากมวยผมของหัวจินเต๋า มาจี้คอนางในพริบตา  พลางตะโกนขู่เสียงดังก้อง  “ทุกคนอย่าขยับไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ปราณี!”
    -----------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ
-แปลตอนนี้แล้วรู้สึกว่า น่าจะเปลี่ยนจากชื่อตอนว่า 'ช่วยคน'  เป็น  'ช่วยตนเองไปก่อน'  รอตอนหน้านะคะท่านแม่ทัพถึงจะมีบท  เพราะในตอนนี้งบหมดพอดี  เลยไม่พอจ่ายค่าตัวพระเอก ^-^




12 ความคิดเห็น:

  1. ค้างงงงงมากมายค่ะ

    ตอบลบ
  2. ฝุ่นบนเพดานที่ตกลงมา คืออาเจี่ยนใช่หรือไม่!?

    ตอบลบ
  3. ท่านแม่ทัพท่านอยู่บนหลังคาใช่หรือไม่

    ตอบลบ
  4. 5555+งบหมดซะได้ ขอบคุณมากค่ะ ตื่นเต้นวันละนิด จิตแจ่มใส

    ตอบลบ
  5. นางเอกเยี่ยมมาก

    ตอบลบ
  6. สลัดคราบนางเอกมาสวมบทผู้ร้ายจับตัวประกัน
    ช่วยตัวเองเอาชีวิตรอดไปก่อน

    ตอบลบ
  7. ชอบมากนางเอกเรื่องนี้ไม่อ่อนแอเหมือนนางเอกเรื่องอื่น ฉลาดและมีเหตุผล

    ตอบลบ
  8. อยากจะเปย์ช่วยท่านแม่ทัพเหลือเกิน

    ตอบลบ
  9. นี่นางเอกกะพระเอกได้เเต่งกันก่อนหรือหลังรู้ว่าความจริงพระเอกเป็นแม่ทัพอ่ะค่ะ

    ตอบลบ
  10. นี่นางเอกกะพระเอกได้เเต่งกันก่อนหรือหลังรู้ว่าความจริงพระเอกเป็นแม่ทัพอ่ะค่ะ

    ตอบลบ
  11. ฆ่าแม่งให้หมดห้องเลยไม่ต้องมาขู่ให้เสียเวลา แล้วกลับไปเชือดป้าใหญ่กับลุง เสร็จแล้วขนเงินลงเรือหนีไปอยู่เกาะอื่น

    ตอบลบ