เมนู/CONTENT

วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ภรรยาข้าผู้ร้ายกาจเจ้าเล่ห์ -บทที่ 26 หยกกักวิญญาณ

                       หลังจากจัดให้เฟิ่งเฉิงเข้าพักในห้องพักรับรองเรียบร้อยแล้ว  มู่หรงหยุนชูจึงกลับเรือนหยวนชิงเฟิง  เพื่อนั่งรอแขกผู้มิได้รับเชิญ  ที่คาดว่าจะมี   นั่งเก้าอี้ยังไม่ทันอุ่นดี  คนเหล่านั้นก็มาถึงเสียแล้ว
                        “ฮูหยิน..” ผู้คุมกฏทิศบูรพา ทักษิณ ประจิมและพายัพ ทั้งสี่ยืนเรียงแถวอยู่ด้านนอก หน้าประตูห้องหนังสือที่เปิดกว้าง   ด้วยกริยาท่าทางของบุรุษองอาจ ที่สง่างามน่าเลื่อมใสยิ่งนัก  ดูเหมือนว่า   หากนางไม่เชิญ  พวกเขาก็ไม่อาจก้าวล่วงผ่านประตูเข้ามาได้

                        “มีเรื่องอันใดหรือ?”  มู่หรงหยุนชูถามในเรื่องที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
                        “ท่านประมุขสั่งให้พวกเรานำของสิ่งหนึ่งมามอบให้ถึงมือท่านขอรับ”  ผู้คุมกฏทิศบูรพาตอบ  ผู้คุมกฏทิศประจิมล้วงกล่องผ้าลายปักทรงสี่เหลี่ยม ขนาดครึ่งข้อมือออกมา   ประคองถือไว้ในมือทั้งสอง   ปรากฏตัวอักษรบนกล่องว่า เฉิงชาง
                        “คุณหนู  นี่เจ้าค่ะ” ลู่เอ๋อร์นำกล่องผ้าปักลายมาถือไว้  แล้วส่งให้เจ้านายของตน
                        มู่หรงหยุนชูรับกล่องผ้าปักลายนั้น   แล้วเหลือบมองบุรุษทั้งสี่ยืนอยู่ด้านนอก  เปิดฝากล่องผ้าปักลายออกเบาๆ   แล้วเห็นผ้าสีแดงเงางามคลุมอยู่ด้านบน  เมื่อเลิกผ้าออกมา  จึงเห็นเครื่องประดับหยกแกะสลักสีเขียวคราม 1 ชิ้นนอนกลิ้งอยู่   รูปทรงประหลาด ส่วนบนกว้าง  ส่วนล่างลงมาแคบ  ด้านหนึ่งแกะสลักเป็นลายดอกม่านจูชาสีแดงเลือด 1 ดอก  ส่วนล่างลงมา แกะสลักเป็นรูปหงส์ร่ายรำมังกรเหิร  มีตัวอักษร เกอ’  ปรากฏอยู่  หยกนี้แน่นอนว่า  ต้องเป็นป้ายหยกประจำตัวของฉู่ฉางเกอ  ยามนี้คนผู้นั้นมอบสิ่งนี้ให้นาง   เขาคิดอะไรอยู่กันแน่นะ?
ดอกม่านจูชา (ลิลลี่สีเลือด)
                        มู่หรงหยุนชูปิดกล่องผ้าปักลายลง   จับจ้องผู้คุมกฏทั้งสี่ ทิศอุดร ทักษิณ ประจิม และพายัพ “เป็นของดีจริงๆ  เขาส่งป้ายหยกนี้มาให้ข้าเพื่อการใดรึ?
                        ผู้คุมกฏทิศบูรพาเอ่ยว่า “หยกนั้นหาใช่หยกธรรมดาไม่  มันคือหยกกู่ฉียอดแห่งหยก  สามารถขับพิษได้หลายร้อยชนิด  สวมติดตัวไว้สามารถป้องกันพิษเป็นร้อยชนิดมิให้กล้ำกราย  เดิมทีเป็นป้ายคำสั่งของทายาทของประมุขพรรคมาร   เห็นป้ายหยกนี้ก็เหมือนเห็นท่านประมุข  ภายหลังได้แบ่งออกเป็นสองส่วนโดยท่านประมุข  หาคนมาเจียระไนป้ายหยกทั้งสอง  ป้ายหยกทั้งสองนี้  ชิ้นหนึ่งคือหยิน  อีกชิ้นหนึ่งคือหยาง  เมื่อนำมาประกบกันกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งเต๋า  หยกชิ้นที่เป็นหยางนี้  เก็บรักษาโดยท่านประมุข  อย่างไรก็ดีท่านประมุขมีบัญชาให้พวกข้าน้อยนำหยกชิ้นนี้มามอบให้ท่าน  เพราะว่าหยกกู่ฉีชั้นยอดนี้ยังมีชื่อเรียกขานอื่นอีก”
                        “ชื่ออันใดรึ?มู่หรงหยุนชูถามขึ้น
“หยกกักวิญญาณ”  ผู้คุมกฏทักษิณเฉลย
 มู่หรงหยุนซุนได้ยินถ้อยคำที่เอ่ยแล้วจึงเปิดกล่องผ้าปักลายออก  เพื่อหยิบหยกที่ได้รับมาใหม่  ออกมาเพ่งพิศอีกครั้ง    รู้สึกได้ถึงความเย็นดุจน้ำแข็งส่งผ่านจากไปนิ้วมือไปยังท้อง  ให้รู้สึกสบายตัวยิ่งนัก  “ยาเม็ดกลืนวิญญาณ  หยกกักวิญญาณ  ฟังดูแล้วคล้ายของมีประโยชน์ที่ตรงข้ามกัน  “  หญิงสาวพึมพำเสียงต่ำ
                        “ดูคล้ายไม่ใคร่มีประโยชน์  ทั้งที่เดิมทีเคยมีประโยชน์” ผู้คุมกฏทิศประจิมพยักหน้าย้ำอีกครั้ง
                        อันที่จริง มันต้านพิษอื่นได้  ทว่ากับยาเม็ดกลืนวิญญาณนี้....”
                        “ผู้คุมกฏพายัพน้อย!”  ผู้คุมกฏทั้งสามส่งเสียงเตือน  ผู้คมกฏทิศบูรพามุ่นคิ้ว สบตาเขา  แล้วกล่าวกับมู่หรงหยุนชู “ท่านประมุขมีถ้อยคำเล็กน้อยฝากมาถึงท่านด้วยขอรับ”
                        มู่หรงหยุนชูพยักหน้าเล็กน้อย  เป็นสัญญาณให้เขาพูด
                        “ท่านประมุขบอกว่า จงมีชีวิตอยู่เพื่อเจอข้า”
                        มู่หรงหยุนชูยิ้ม  นึกว่าเขาจะพูด มีชีวิตต้องเห็นคน  หากตายต้องเห็นศพ’  เสียอีก  หญิงสาวยกมือขึ้นเสยผมที่เคลียแก้มข้างหนึ่ง  เอ่ยเสียงเรียบ “ท่านกับไปรายงานเถิดว่าภารกิจที่สั่งมาบรรลุแล้ว”
                        “ท่านประมุขให้เราอยู่คุ้มครองฮูหยิน  ตราบใดที่ยังมีผู้คิดปองร้ายฮูหยิน  ต่อให้เป็นพระโพธิสัตว์   พวกเราก็จะลงมือสังหาร  พบพระโพธิสัตว์เมื่อใด  ก็ปลิดชีพเมื่อนั้น  โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย”
                        ใจของมู่หรงหยุนชูเต้นกระหน่ำ  บังเกิดความรู้สึกหดหู่  หลังจากนิ่งเงียบไปเป็นนาน  จึงสั่งสาวใช้ลู่จี “พาพวกเขาทั้งสี่ไปยังห้องรับรอง”
                        “เจ้าค่ะ” ลู่จีรับคำสั่ง
                        “พวกเราขอตัวก่อนขอรับ”
                        ทันทีที่ออกไปจาก เรือนชิงเฟิง  ผู้คุมกฏทิศพายัพต่อว่าที่ถูกห้ามพูด  “ไฉนถึงไม่ให้ข้าพูดให้จบเล่าฮูหยินน้อยต้องพิษยาเม็ดกลืนวิญญาณ  เป็นพิษร้ายแรงถึงแก่ชีวิต  ห้อยหยกหยินไว้กับตัว   มิได้ทำให้พิษภายในจางหายไปจนสิ้นมิใช่หรือนี่แสดงให้เห็นว่าหยกกักวิญญาณมิอาจจัดการยาเม็ดกลืนวิญญาณได้  ไฉนพวกท่านถึงไม่บอกความจริงกับฮูหยินเล่า?
                        ผู้คุมกฏทิศบูรพาโคลงศีรษะโดยไร้คำพูด  ได้แต่แสดงสีหน้าเจ็บปวดเหลือคณานับ  เพราะการพูดมากรังแต่จะเกิดผลร้าย   ผู้คุมกฏทิศทักษิณจึงมิเอื้อนเอ่ยคำใด   ยกเว้นผู้คุมกฏทิศปัจจิมที่เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ท่านประมุขรู้แน่แท้ว่าหยกกักวิญญาณต่อกรกับยาเม็ดกลืนวิญญาณ ไม่ได้ผล  แต่ทว่ายังให้สิ่งนั้นกับฮูหยิน  คงคิดอยากให้ฮูหยินเชื่อมั่นขึ้นอีกนิด  หากเจ้าบอกความจริง  มิเท่ากับทำท่านประมุขเสียเรื่องหรือ?
                        ผู้คุมกฏพายัพถึงบางอ้อทันใด  พลันเกิดความละอายใจขึ้นมา  นึกตำหนิตนเอง ไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้อีก  แต่หลังจากเดินกลับไปกลับมาหลายครั้ง  เขาก็ฉุกคิดขึ้นมา “ก็ดีนี่  การทำร้ายท่านประมุข  มิใช่สิ่งที่เราพึงปฏิบัติเสมอหรือไร?
                        ข้อพึงปฏิบัติพวกนี้หาใช่เรื่องสำคัญเสียแล้ว   ยามนี้ชีวิตฮูหยินตกอยู่ในอันตราย  ยังจะเอาแต่คิดทำลายอันใดอีก
                        จริงด้วย”  ผู้คุมกฏทิศพายัพดูเหมือนเข้าใจแล้ว  จึงพยักหน้า  พึมพำออกมา “แรกสุด เป็นคุณหนูใหญ่   ต่อมาก็เป็นฮูหยิน   ยาเม็ดกลืนวิญญาณทำให้ท่านประมุขมารของเราต้องจมอยู่กับความอาฆาตแค้นใช่หรือไม่?
                        สีหน้าผู้คุมกฏทิศประจิมดำดิ่งลง เอ่ยอย่างฮึดฮัด “อย่าให้ข้ารู้นะ  ว่าผู้ใดคือผู้สกัดยาเม็ดกลืนวิญญาณนี้  มิเช่นนั้น   มิต้องรอให้ท่านประมุขสั่งหรอก    ข้าจะฆ่าล้างตระกูลมันผู้นั้น 9 ชั่วโคตรเลย!”
                        เมื่อได้ยินถ้อยวาจานั้น  ดวงตาผู้คุมกฏทั้งสามคนพลันปรากฏความอึดอัดคับใจพาดผ่าน
                        ขณะเดียวกัน มู่หรงหยุนชูกำหยกกักวิญญาณในมือตนเองแน่น  ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง  ดวงหน้าสงบนิ่ง  ทอดมองไปยังต้นปาเจียวข้างนอก   ทว่าความคิดกับล่องลอยไปไกลลิบเหนือก้อนเมฆแล้ว
                        ถ้อยคำของผู้คุมกฏทิศพายัพ  แม้ว่าจะไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมา  นางก็แน่ใจว่า ยังมีถ้อยความที่ยังไม่ได้พูดออกมา  หยกกักวิญญาณไม่มีผลกับยาเม็ดกลืนวิญญาณ  เรื่องนี้ยืนยันข้อสงสัยของนาง  ว่ายาเม็ดกลืนวิญญาณหาใช่ยาพิษ   แม้มิใช่ยาพิษ  แต่ก็สามารถทำให้ผู้คนติดกับดักแห่งความตายได้โดยไม่รู้ตัว  มันน่ากลัวเสียยิ่งกว่ายาพิษเสียอีก  ทว่าฉู่ฉางเกอนั้นรู้ดีว่าหยกกักวิญญาณไม่สามารถช่วยอะไรได้  ไยเขาถึงยังมอบหยกแก่นางเล่า?
                        มู่หรงหยุนชูถอนหายใจ  พลิกหยกดูด้านหนึ่ง  ถูนิ้วหัวแม่มือบนตัวอักษร เกอเบาๆ  ในใจค่อนข้างยุ่งเหยิง  และแจ่มชัดผสมปนเปกัน  บางครั้งคล้ายอยู่ในม่านหมอก  แต่ก็คล้ายจะจับอะไรได้ในที่สุด  แต่พอดูอีกทีก็คล้ายจับอะไรไม่ติด  ในหัวมีแต่ความวกวนสับสน
                        ไม่ว่าอย่างไร   ป้ายหยกที่ท่านประมุขเจียระไนแบ่งครึ่งแล้วส่งมาให้  ฉู่ฉางเกอห้อยติดตัวมาหลายปี   ดูท่าจะมีความสำคัญไม่ธรรมดา  เอาคืนเขาไปย่อมดีต่อเขามากกว่า  อย่าได้รับรางวัลเลยหากตนเองไม่สมควรได้รับ  เรื่องทำนองนี้  หากละเลยปล่อยทิ้งไว้  จะยิ่งทำให้คนผู้นั้นเข้าใจผิดไปกันใหญ่  ไม่รู้ว่า  เขาคิดจะเอามาเป็นของหมั้นแทนใจหรือเปล่านะ....
                        พลันมู่หรงหยุนชูชะงักไปทันที   รีบส่ายศีรษะรัวๆปฏิเสธความคิดบ้าบอนี้   บังคับตัวเองให้ไม่สนใจความรู้สึกปลี้มปิติที่แผ่ซ่านออกมาโดยไม่มีสาเหตุ    แล้วหยิบหยกเก็บใส่กล่องผ้าปักลายตามเดิม  เพื่อนำไปเก็บไว้ก่อน
                        ไว้เจอตัวเขาเมื่อใด   ค่อยส่งคืนกับเจ้าตัวตอนนั้น  มู่หรงหยุนชู บอกตัวเองเช่นนั้น  แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆช้าๆ  ทำให้อารมณ์ที่ก่อกวนจิตใจนางมาตลอดมอดดับลง   พริบตาเดียว ความสุขุมเยือกเย็นกลับคืนมาสู่ตัวนางอีกครั้ง
        ***
                        ยามนี้หากจะเลิกรากับคนผู้นี้   ยังสามารถทำได้ง่าย   แค่พริบตาเดียวก็หมดเดือนแล้ว  เนื่องจากเดือนนี้ มู่หรงหยุนชูจะเอางาน การปฏิรูปการเงินตรา มอบให้เฉียนซ่งก่วน และนี่ฉิงไปดูแลทั้งหมด   ตัวนางเองจะได้ทุ่มเทศึกษาวิชาแพทย์กับเฟิ่งเฉิงอย่างเต็มตัว  เอาง่ายๆก็คือนางจะกลายเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเฟิ่งเฉิง   ถือล่วมยาเดินไปตามท้องถนน   มีท่าทางดูคล้ายหมอขึ้นมาอีกนิด
            “ป้ายหยกกักวิญญาณนั้น  เจ้าห้อยติดตัวไว้ดีกว่านะ   แม้ว่ามันไม่อาจขับพิษยาเม็ดกลืนวิญญาณได้  ทว่ามันก็พอต้านพิษได้  สามารถชะลอมิให้พิษกระจายตัวเร็วนัก”
                        “ได้ยินว่าหยกกักวิญญาณแบ่งเป็นฝ่ายหยินและฝ่ายหยาง  ท่านเคยเห็นหยกที่เป็นหยินใช่หรือไม่?  มู่หรงหยุนชูวางหนังสือตำรายาในมือลง   จู่ๆก็เงยหน้าขึ้น ถามเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
                        เฟิ่งเฉิงชะงักไปนิด  ทำท่านึกสักครู่ แล้วเอ่ยว่า “เคยเห็น”
                        “เคยเห็นคนที่ต้องพิษยาเม็ดกลืนวิญญาณในแคว้นไหม?
                        เจ้ารู้ได้อย่างไร?
                        มู่หรงหยุนชูยิ้มบางๆ  ไม่ได้ตอบคำถามนั้น  เพียงก้มหน้าตรวจดูตำรายาต่อไป  ไฉนคามพอใจจึงไม่ลดทอนลงนะ
                        ฉู่ฉางเกอสั่งให้แบ่งป้ายหยกออกเป็นสองส่วน   ส่วนที่ให้ฝ่ายหญิงคือหยกฝ่ายหยิน  ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา  บางที  อาจเป็นเพราะหญิงผู้นั้น  ป้ายหยกหยินและหยางจึงได้ถือกำเนิดขึ้น  แม้ว่าความจริงเช่นนี้จะดูสมเหตุสมผลก็ตาม  ทว่าพอมาได้ยินกับหู   ก็ให้อึดอัดใจเสียมิได้
                        บางเรื่อง จริงๆแล้วนางหาได้อยากรู้ให้มากไป  ทำหยกให้ใคร   หรือมอบหยกให้ใครก็ตาม  เดิมทีเรื่องนี้หาใช่เรื่องที่นางต้องกังวลไม่   ทั้งยังไม่ใช่เรื่องที่นางต้องมานั่งวุ่นวายใจ....
                        มู่หรงหยุนชูพลันอารมณ์เสียขึ้นมาทันที   ยามได้ยินเฟิ่งเฉิงเอ่ยขึ้น “คนผู้นั้น   คล้ายเจ้าอยู่บางส่วน  เป็นโรคหลงไหลหมกมุ่นขนาดหนัก  นางมีนิสัยเถรตรงมาก   ทั้งเย่อหยิ่งจองหอง  บางครั้งก็เผด็จการจนผู้คนทนไม่ไหว  จุดนี้ช่างเหมือนกับฉู่ฉางเกอ  ช่างเหมือนกันจริงๆ....”
                        “พอได้แล้ว!”  น้ำเสียงของนางกระชาก  มีร่องรอยโทสะจางๆ
                        เฟิ่งเฉิงหุบปากทันใด   มองหน้านางอย่างตกตะลึง
                        เขานิ่งค้างอยู่อย่างนั้น  มู่หรงหยุนชูก็นิ่งอึ้งกับตัวเองไปด้วยเหมือนกัน  ไม่เคยนึกเลยว่า  ตนเองที่ปกติเป็นคนอารมณ์เยือกเย็น  จู่ๆจะมาหงุดหงิดใส่เฟิ่งเฉิง  ในใจให้รู้สึกขุ่นเคืองนัก   นางรู้สึกไม่พอใจที่ตนเองแสดงอารมณ์ออกมาต่อหน้าคนอื่น   ทว่าเรื่องไม่ปกติยามนี้    ทำให้นางสับสน ไม่รู้จะไปทางไหนดี
                        เงียบไปสักพัก  มู่หรงหยุนชูปรับอารมณ์ให้กลับไปแจ่มใสเหมือนเดิม   ทำเหมือนกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น   พลางพึมพำเบาๆ “วันนี้พอแค่นี้ก่อน   พรุ่งนี้ค่อยว่ากันต่อ”
                        “ได้”  เฟิ่งเฉิงจับจ้องสีหน้าหญิงสาวหลายคราด้วยความสงสัย เอ่ยว่า “งานประลองวรยุทธ์ที่จะจัดขึ้นวันที่ 15 เดือน 8  เหลือเพียงหนึ่งเดือนจะถึงกำหนดแล้ว  หากต้องไป  คงต้องเตรียมตัวก่อนสองวัน”
                        “อืม” มู่หรงหยุนชูพยักหน้า  แล้วไม่เอื้อนเอ่ยคำใดอีก
                        แม้ว่าเฟิ่งเฉิงจะนึกสงสัยในใจนัก   ทว่าพอเห็นใบหน้าไร้อารมณ์เย็นชาหญิงสาว  จึงนึกถึงคำ 4 คำว่า  ‘นิ่งไว้แหละดี’ แล้วล้มเลิกความตั้งใจ  พลางสาวเท้าออกไป
                        พอประตูห้องหนังสือปิดลงแล้ว  มู่หรงหยุนชูจึงนั่งพิงอ่อนแรงบนเก้าอี้   รู้สึกแก่ขึ้นทันใด  พลัน ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วตนเอง   ทว่าไม่อาจนวดคิ้วที่ผูกกันเป็นปมแน่นของตนได้  เพราะนางได้ทาคิ้วเอาไว้ 
                        หญิงสาวรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าอย่างที่สุด  แน่นอนเพราะ.....
        ***
                        ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด    จึงได้ยินเสียงเคาะประตูหลายครั้งดังขึ้นด้านนอก  ปลุกให้มู่หรงหยุนชูสะดุ้งตื่นจากการพักงีบชั่วคราว  หญิงสาวลุกนั่งตัวตรง  จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่  เอ่ยเสียงเบา “เข้ามาได้” 
                        คนที่ผลักประตูเข้ามาคือนี่ฉิง  ในมือหอบสมุดบัญชีมากองหนึ่ง  สีหน้าเหมือนมารดาบังเกิดเกล้าเพิ่งเสีย  เขาวางสมุดบัญชีบนโต๊ะดัง ปัง
                        มู่หรงหยุนชูปรายตาไปยังกองสมุดที่สูงเหนือคางนาง   เบนสายตาไปมองนี่ฉิง “ไม่อยากทำแล้วหรือ?
                        “เดิมทีเป็นท่านที่ยอมเอาชีวิตเข้าแลก  พยายามต่อสู้ให้ได้สิทธิ์เป็นคนจัดการ ‘การปฏิรูปเงินตรา’  ด้วยตนเอง  ไฉนยามนี้ถึงเลิกสนใจแล้วเล่าเอาแต่ครุ่นคิดว่าตนเองต้องพิษยาเม็ดกลืนวิญญาณ   อย่าลืมว่าท่านยังมีความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่  เป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้ราชสำนักอยู่นะ  ต่อให้เกิดเรื่องอันใดขึ้น  ในเมื่อท่านยังมีงานอยู่ในมือ   ท่านก็ต้องทำ   แต่กลับเอางานทั้งหมดมาโยนให้ข้าทำแทนท่าน   มาให้ข้าเป็นที่ปรึกษาทางการเงินแทน!”  นี่ฉิงเอ่ยเสียงกดต่ำ
                        “เดิมทีตอนที่เราร่วมมือกัน  ข้าต่อสู้เสี่ยงชีวิตเพื่ออำนาจสั่งการ  นั่นเป็นเพราะว่าข้าไม่ชอบให้ใครมาชี้นิ้วสั่ง”  นิ่งไปสักพัก มู่หรงหยุนชูเอ่ยว่า “ส่วนในยามนี้  นั่นเพราะว่าเดิมทีข้าไม่ชอบดูแลบริหาร   มีคนมาเคร่งเครียดแทน   ไฉนข้าจะไม่คว้าโอกาสนี้เล่า?
                        นี่ฉิงคับอกคับใจมาก  ตีหน้าขรึม พลางเอ่ยว่า “หากข้าไม่ทำเล่า?!”
                        “หากท่านไม่เต็มใจ  ราชสำนักย่อมส่งคนอื่นมาทำแทน”
                        นี่ฉิงขบกราม  ยืนนิ่งขึงไปพักใหญ่  ขบกรามแน่นข่มกลั้นมิให้ระเบิดเสียงอยู่เป็นนาน  “ท่านไม่กลัวว่าข้าจะเอาเงินท่านไปใช้จนหมดหรือ?
                        พอใด้ยินถ้อยคำที่เอ่ยมา มู่หรงหยุนชูหัวเราะขึ้นมาคราหนึ่ง “ท่านจะดูแลให้ข้าทาสหลายพันชีวิตของสำนักมู่หรงกินข้าวโดยไม่เสียเงินหรือ?
                        จะต่อกรกับพวกพี่ชายเลือดพยัคฆ์   ก็เท่ากับเผชิญหน้ากับกองทัพที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน   หลงจู๊ของสาขาร้านแลกเงินไฮ่เฟิ่งเฉียนทั้งหมด  ล้วนเป็นข้าทาสของสำนักมู่หรงทั้งสิ้น  แต่ละคนล้วนยอมมอบกายถวายชีวิต   หากมีคนนอกสักคนคิดจะมาผลาญเงินของเครือข่ายร้านแลกเงินไปทั้งหมด   ก็คงได้แต่ฝันเสียแล้ว!  หากไม่มั่นใจเช่นนี้  นางจะวางใจให้สายลับของราชสำนักเข้ามาร่วมบริหารจัดการได้อย่างไร
                        นี่ฉิงพอได้ยินที่นางพูด  ก็หัวเราะคล้ายจะคุ้มคลั่ง  จริงๆแล้วเขาไม่อยากเป็นศัตรูกับสำนักแลกเงินไฮ่เฟิ่งเฉียนเด็ดขาด  ทว่าที่เขาต่อว่าไป  เพราะตนเองถูกดูถูกเหยียดหยาม  แน่นอน หากเกิดทำขึ้นมาจริงๆ  เขาคงไม่อาจทำสำเร็จ   ทว่า ด้วยจุดยืนที่แตกต่างกัน   เขาและนางคงต้องปะทะกันวันใดก็วันหนึ่ง
                        ขณะกำลังครุ่นคิด  พลันได้ยินนางเอ่ยว่า “ข้ากำลังเตรียมตัวออกเดินทาง  3 วันให้หลัง ข้าจะเดินทางไปวัดเส้าหลิน  ดังนั้นห้องหนังสือนี้ข้าให้เจ้ายืมใช้ชั่วคราว”
                        ว่าอะไรนะ? นี่ฉิงไม่อยากจะเชื่อ เห็นใครบางคนจะย้ายออกไปจากห้องหนังสือด้วยท่าทางสบายใจ  คิดว่าตนเองคงฟังผิด  ห้องหนังสือภายในลานบ้านนี้  อยู่ตรงข้ามกับเรือนนอนของนาง    ทว่านาง กลับบอกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่าจะให้เขายืมใช้? ผู้หญิงคนนี้....ช่างเกินไป ...เกินไป...เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
                        เพื่อที่จะหลีกหนีสมุดบัญชีกองใหญ่นี้  นางจะเอาแบบนี้ใช่หรือไม่?   คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเขาจะพาตัวเอง มาถึงจุดนี้.....

       ----------------------------------------------------------------------------
      ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ
     เรื่องนี้ติดค้างไว้นานแล้ว   ต้องขออภัยผู้อ่านที่ติดตามอยู่ทุกท่านค่ะ  ^-^

2 ความคิดเห็น: