วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ภรรยาข้าผู้ร้ายกาจเจ้าเล่ห์-บทที่ 10 กำแพงผีที่มองไม่เห็น?

             เมื่อฉู่ฉางเกอเห็นภาพวาดประกาศจับฉบับปรับปรุงใหม่ถึงกับตกตะลึง
            ยอดเยี่ยมมาก  ฉู่ฉางเกอเอ่ยชื่นชม
             ฉู่ฉางเกอมองเงาสะท้อนของตนเองในคันฉ่องเทียบกับภาพวาดประกาศจับ แล้วให้พึงพอใจนัก
            แน่นอน ภาพที่ฮูหยินฉู่วาดย่อมโดดเด่นไม่ธรรมดาขอรับ หัวหน้าทิศบูรพาเอ่ยชื่นชม
            ฉู่ฉางเกอชะงักไปครู่หนึ่ง  แล้วถามด้วยความประหลาดใจ ฮูหยินเป็นคนวาดรึ?”

            ใช่ ขอรับ”  หัวหน้าทิศทั้งสี่ตอบพร้อมเพรียงกัน พลางพยักหน้าอย่างแข็งขัน
            หัวหน้าทิศทั้งสี่มั่นใจแล้วว่าสรรค์ตั้งใจส่งมู่หรงหยุนชูมาลงโทษผู้นำของเขาโดยเฉพาะ
            ฮูหยินข้าวาดภาพเป็นด้วยรึ?” ฉู่ฉางเกอยังไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
            ไม่ใช่แค่วาดเป็น  แต่นางเป็นถึงจิตรกรระดับอัจฉริยะเลยขอรับ หัวหน้าทิศบูรพายกย่องชื่นชม
            หัวหน้าทิศบูรพาภูมิใจที่ตนเองขโมยภาพวาดต้นแบบมาจากศาลากลางเมืองจิงหลิงเมื่อคืนนี้เพื่อนำมาส่งให้นายเหนือหัวของตน
            ฉู่ฉางเกอไม่อยากเชื่อเรื่องที่ว่าที่ภรรยาวาดภาพตัวเขา  หากเป็นเรื่องจริง   เช่นนั้นแล้วเมื่อสามปีก่อนคนที่วาดภาพอัปลักษณ์ที่เขาพบในกระท่อมไม้ไผ่คือผู้ใดกัน?
            “ท่านประมุขฉู่  ท่านอยากให้ใครนำฟางหงเฟยมาให้ท่านแก้เครียดที่นี่ดีหรือไม่ขอรับ?” หัวหน้าทิศทั้งสี่กล่าว
            ฉู่ฉางเกอหรี่ตา  พลางพูดด้วยน้ำเสียงเสียงสบายๆ  ดูเหมือนคนของเขาถูกสั่งสอนไปเรียบร้อยแล้วนี่  อย่าไปสร้างปัญหาเพิ่มเลย
            เมื่องมองไป  เห็นหัวหน้าทิศบูรพามีสีหน้าคับแค้นใจมาก  เหมือนทำใจยอมรับไม่ได้  เหตุใดท่านไม่พาพวกเราไปร่วมสั่งสอนพวกเขาด้วยล่ะขอรับ?”  
            เจ้าอยากให้คนคิดว่าข้าไปทารุณคนอ่อนแอรึ?” ฉู่ฉางเกอถามขึ้น
            สำนักดาบหมิงเจี้ยนมีคนตั้งมากมาย” 
            สำนักดาบหมิงเจี้ยนมีมนุษย์เพียงคนเดียวเท่านั้นในสายตาข้า” 
            ใครกันขอรับ  ที่นายท่านให้เกียรติเป็นมนุษย์  ทั้งที่ท่านมองเห็นในร่างสุนัข?”
            ฟางหงเฟย”   ฉู่ฉางเกลอโพล่งขึ้นกลางปล้อง
            เขานับเป็นมนุษย์รึ?”   หัวหน้าทิศทั้งสี่ตกใจกลัว  ที่ท่านประมุมีความอดทนเกินพิกัด
            หากข้าไม่ปฏิบัติกับเขาแบบมนุษย์  ผู้คนจะสาปแช่งข้าว่าไปทารุณสัตว์ที่อ่อนแอนะ
            หัวหน้าทิศทั้งสี่ให้หวาดกลัวความเมตตาอะไรเทือกนี้ของฉู่ฉางเกอยิ่งนัก
            ฉู่ฉางเกอไม่สนใจลูกน้องของตนอีกต่อไป  หันไปยิ้มให้กับภาพวาดใบหน้าเขาที่ภรรยาเป็นผู้วาด   หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน  ชายหนุ่มได้วางพู่กันลง  พร้อมใช่ฝ่ามือโบกเบาๆเพื่อให้หมึกแห้ง   แล้วจึงปรากฏภาพวาดที่งดงาม   ให้ใครไปส่งภาพวาดนี่ไปที่ตระกูลมู่หรงด้วย
            **
            ชูจางเคอะวาดภาพของมู่หรงหยุนชูและตัวเขานั่งบนหลังม้าตัวเดียวกัน  โดยทั้งสองตระกองกอดกันและกันพลางยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่น
            มู่หรงหยุนชูถึงกับเขินอายเมื่อเห็นภาพวาดพวกเขาทั้งสองบนหลังม้า   นางเขียนข้อความลงบนภาพและให้คนที่มาส่งภาพวาดนำกลับไปคืนฉู่ฉางเกอ  เมื่อนึกถึงตอนที่ท่านประมุขพรรคโม่เจี่ยวได้เห็นข้อความของนาง จะมีสีหน้าเป็นเช่นใด  พลันริมฝีปากนางก็เหยียดออกมานิดหนึ่ง
            คุณหนู  เวลานี้ทุกคนต่างอิจฉาที่ท่านและนายท่านฉู่ส่งภาพวาดคู่รักที่งดงามให้แก่กันและกันขณะนี้คนที่เหลือในจวนถูกระดมไปส่งจดหมายรักหลายฉบับให้พวกท่านน่ะเจ้าค่ะ”  ลู่จีกล่าวอย่างปลาบปลื้มใจ
            มู่หรงหยุนชูพลันใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย ผู้ตรวจการสำนักแลกเงินตอนนี้อยู่ที่ไหน?”
            “กำลังคอยท่านในห้องหนังสือเจ้าค่ะ” 
            **
            มู่หรงหยุนชูจึงไปที่ห้องหนังสือเพื่อฟังผู้ตรวจสอบสำนักแลกเงินรายงาน
            คุณหนู  มีข่าวมาว่า   ผู้แทนที่ทางราชสำนักได้ส่งไปเจรจาเพื่อสันติได้ถูกลักพาตัวไปที่เขาฮั่วโตว  ขอรับ”  ชายชราขมวดคิ้วเคร่งเครียด  พลางเอ่ยถาม   ท่านอยากให้ข้าส่งคนไปดูลาดเลาหรือไม่ขอรับ?”
            “ไม่ต้อง  ข้าจะไปเขาฮั่วโตวด้วยตนเอง”  มู่หรงหยุนชูหันไปบอกให้ลู่จีเก็บข้าวของเตรียมตัวเดินทาง
คุณหนู...เขาฮั่วโตวขึ้นชื่อว่าเป็นรังโจร  มันอันตรายเกินไป  หากคุณหนูไปที่นั่น”  ผู้ตรวจสอบสำนักแลกเงินเอ่ยคัดค้าน
หากข้าไม่เข้าถ้ำเสื้อ แล้วข้าจะได้ลูกเสือรึ?”  มู่หรงหยุนชูสีหน้าเรียบเฉย  “นอกจากนี้อาจมีบางคนสวมรอยข้า  ไปเจรจาต่อรองเรื่องเงื่อนไขต่างๆกับผู้แทนของราชสำนักแทนข้าก็เป็นได้”
“ไม่หรอกขอรับ  หากเราไปช่วยเหลือผู้แทนราชสำนักได้....”
“ช่วยเหลือ  แล้วเขาล่ะทำอะไร?
“หา?”
เขาและข้าไม่ได้เป็นญาติกัน  เพราะฉะนั้นเหตุใดข้าต้องช่วยเหลือเขา?”  
ผู้ตรวจสอบสำนักแลกเงินไม่เข้าใจว่า  หากไม่ไปช่วยเหลือคน  แล้วนางจะไปเขาฮั่วโตวเพื่อการใด?”
**
สายลมหนาวเย็นพัดผ่านทางเดินเขา และช่องเขา ทำให้เกิดเสียงหวีดหวิวโหยหวน  เมฆหนาทึบราวกับปุยฝ้ายมีให้เห็นตลอดเวลา 9 วันที่เดินทางข้ามระหว่างภูเขาสองลูก  ทำให้บรรยากาศดูลี้ลับยิ่งนัก
รถม้าธรรมดาๆคันหนึ่งแล่นไปตามถนนเล็กๆบนภูเขาเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด   ทิ้งร่องรอยบาดลึกของล้อไว้บนพื้นถนน  คนขับรถม้ามีใบหน้าซีดแข็ง  อดถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้งไม่ได้  ปากก็พร่ำบ่น “ภูเขาฮั่วโตวนี่ช่างหนาวสุดขั้วจริงๆ”
 เรามาถึงเขาฮั่วโตวแล้วใช่หรือไม่?” มู่หรงหยุนชูถามคนขับรถม้า
เรียนคุณหนู  เรามาถึงแล้วขอรับ  จากตรงนี้ไป   คุณหนูต้องเดินเท้าเข้าไปเท่านั้นขอรับ”  คนขับรถม้าหยุดรถเข้าข้างทางเพื่อตอบคำถาม
ข้าจะได้เจอคนแปลกประหลาดระหว่างทางหรือไม่”?  หญิงสาวเลิกผ้าม่านขึ้นเพื่อยื่นหน้าออกไปมองรอบๆ
คุณหนู   ที่นี่อยู่ห่างไกลจากผู้คน...”  คนขับรถม้ากล่าว   ทว่า..เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน  ข้าได้ยินมาว่ามีคนพบคนท่าทางน่ากลัวสี่คนสวมเสื้อผ้าชั้นดีแบกเกี้ยว   นำหน้ารถม้าที่หรูหราโอ่อ่า  คนแบกเกี้ยวแต่งกายหรูหราแต่มีใบหน้าถมึงทึงราวกับจะกินคน   แต่ที่หน้าประหลาดใจที่สุดคือ ทั้งสี่คนแบกเกี้ยวเปล่า  เดินอย่างรวดเร็วแบบไม่หายใจหายคอ  ดูไม่เหน็ดเหนื่อย  แต่ทว่าสีหน้าดูไร้อารมณ์  ขอรับ”
 แสดงว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จะพบคนแปลกประหลาดในสถานที่ห่างไกล”  มู่หรงหยุนชูครุ่นคิด  ยามนี้นางสนใจเพียงเรื่องโจรเท่านั้น  หญิงสาวลงจากรถม้า และมองไปรอบๆ พลางบอกสาวใช้  ลู่จี คอยข้าอยู่ที่รถม้านี่    ข้าจะเดินเข้าไปเอง
คุณหนู...บ่าว...บ่าวจะไปกับคุณหนูด้วยเจ้าค่ะ”  ลู่จีอยากมีความกล้าหาญดังท้องฟ้า  แต่เมื่อมองดูเมฆหมอกหนาทึบข้างหน้า   ความกล้าหาญพลันลดลงไปเล็กน้อย  กลายเป็นความหวาดกลัวขึ้นแทน
ลู่จี อย่าได้เป็นห่วง”  มู่หรงหยุนชูกล่าว หากพวกโจรอยากแสดงตัว   พวกมันคงไม่รอจนเราออกจากไปที่นี่หรอก
“แต่...”
“พวกโจรปกติจะชอบอยู่บนที่สูงขึ้นไปนะ”  มู่หรงหยุนชูชีไปที่ทางขึ้นเขาด้านหน้า
ลู่จีเริ่มหวาดวิตก  ทำคอย่น  คุณหนู...บ่าวจะคอยท่านอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ” 
มู่หรงหยุนชูหัวส่ายหัวกับความขี้กลัวของลู่จี   แล้วจึงเดินไปตามทางเดินขึ้นเขาที่ทั้งแคบและชัน  ยิ่งเดินขึ้นสูงเท่าไร  อากาศเริ่มเย็นขึ้นและเบาบางลงเท่านั้น
เมื่อมองดูเขาฮั่วโตวจากภายนอก แทบมองไม่เห็นอะไรเลย  นอกจากต้นไม้เขียวชอุ่มที่ขึ้นกันหนาทึบ  ในที่สุดมู่หรงหยุนชูก็พบป้ายบอกทางไปรังโจร  ที่ล้อมรอบด้วยต้นท้อที่ขึ้นอยู่หนาแน่น   ช่างดูท้าทายธรรมชาตินัก 
ต้นท้อในเดือนสี่เริ่มออกดอกส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่ว   ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก
มู่หรงหยุนชูมองภาพทิวทัศน์ตรงหน้า  ถึงกับตกตะลึงนิ่งค้างไปเป็นเวลานาน
หากไม่มีคำว่า ฮั่วโตว”  สลักไว้บนหินก้อนยักษ์   มู่หรงหยุนชูคงไม่เชื่อว่าสถานที่ราวกับแดนสวรรค์แห่งนี้จะเป็นรังโจร

มู่หรงหยุนชูเดินวนเวียนในป่าดอกท้อที่บานสะพรั่ง  ทว่า...นางรู้สึกเหมือนว่านางเดินวนมาที่จุดเดิมหลายรอบ  และไม่อาจไปถึงจุดหมายได้เลย   มู่หรงหยุนชูคราแรกให้นึกว่าอาจมีกำแพงผีที่มองไม่เห็นอยู่ที่นี่    แต่เมื่อเห็นทัศนียภาพที่งดงามสดชื่นเบื้องหน้า  ดูแล้วไม่น่าจะผีหลอกวิญญาณหลอน   นางจึงได้ปัดความคิดดังกล่าวทิ้งไป    จากนั้นจึงนั่งลงบนหินค่อนข้างสะอาดก้อนหนึ่ง  เอามือท้าวคาง   และครุ่นคิดหาทางออกจากป่าดอกท้อวงกต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น