“พี่ใหญ่ ดูนั่นสิ
ไฟไหม้ป่าดอกท้อของเรา!”
เฟิ่งเฉิง
หนึ่งในผู้รักดอกท้อที่สุดบันดาลโทสะ
ใบหน้าแสดงความโกรธแค้นมากพร้อมจะสังหารคนที่กล้ามากระตุกหนวดเสือ เขาสะกิดปลายเท้าแผ่ลมปราณภายในพุ่งตัวทะยานไปยังบริเวณไฟไหม้ทันที
ณ จุดต้นเพลิง เฟิ่งเฉิงเห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นดอกท้อ ดูราวกับนางกำลังมาท่องเที่ยวชื่นชมธรรมชาติอยู่ เขาแน่ใจว่านางคงจงใจเดินเข้ามาในอาณาจักรดอกท้อที่หนาวเย็นของเขา
“เจ้าเป็นคนจุดไฟเผาป่าของข้ารึ?” เฟิ่งเฉิงถามคนตรงหน้า
มู่หรงหยุนชูประหลาดใจที่จู่ๆก็เห็นชายคนนี้โผล่ออกมา เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ หญิงสาวจึงยืนขึ้นปัดฝุ่นที่เปื้อนกระโปรงออก
“ท่านเป็นเจ้าของป่าดอกท้อนี้ใช่หรือไม่?” พลางมองเขาอย่างประเมิน นางคงต้องมาผิดป่าแน่เลย นี่คงไม่ใช่ป่าดอกท้อที่เป็นรังโจรแน่ บุคคลเบื้องหน้านี้ขาวซีดเหมือนคนตาย ดูคล้ายผู้หญิง ซึ่งไม่มีลักษณะของโจรภูเขาแม้แต่นิด
“เจ้าเป็นคุนจุดไฟใช่หรือไม่?”
ชายหนุ่มถามซ้ำอีกครั้ง
“ท่านเป็นเจ้าของป่านี้ใช่หรือไม่?” มู่หรงหยุนซุยังคงถามต่อไป
ไม่สนใจสายตาที่ดูหงุดหงิดแฝงความเย่อหยิ่งของเขา
เฟิ่งเฉิงประหลาดใจกับผู้หญิงที่ดูนุ่มนิ่มบอบบางเช่นมู่หรงหยุนชูทว่ากลับมีดวงตาที่แข็งกร้าว “ใช่ นี่คือป่าของข้า
เจ้าเป็นผู้วางเพลิงใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่”
“แล้วสิ่งนี้คืออะไร?” เฟิ่งเฉิงถามขึ้นพลางชี้ไปที่กองกิ่งไม้ที่มีควันขึ้นโขมงอยู่
“ดูเหมือนเป็นกิ่งไม้ที่มีควัน”
มู่หรงหยุนชูเลิกคิ้วกล่าวออกมาอย่างไม่แน่ใจ
เฟิ่งเฉิงหัวเราะ “เจ้านี่ช่างเป็นผู้หญิงที่มีอารมณ์ขันนัก”
“คุณชาย...ท่านพอจะรู้จักสถานที่ที่พวกโจรซ่องสุมกันอยู่บนเขาฮั่วโตวหรือไม่?”
“เจ้ามาที่นี่เพื่อจับโจรหรอกรึ?”
เฟิ่งเฉิงถามกลับอย่างสงสัย
“ข้ามาที่นี่เพื่อให้โจรจับตัวต่างหาก“
เฟิ่งเฉิงหัวเราะอีกครั้ง “เจ้ายังไม่รู้ตัวหรือว่าตัวเองอยู่ที่ใด?”
มู่หรงหยุนชูรู้สึกประหลาดใจเมื่อแน่ใจแล้วว่าเฟิ่งเฉิงคงเป็นหัวหน้าโจร
“ท่านเป็นโจรที่งดงามที่สุดที่ข้าเคยพบมา”
“เจ้าก็เป็นผู้หญิงที่ตลกที่สุดที่ข้าเคยพบมา”
ภายใต้การนำทางของเฟิ่งเฉิง มู่หรงหยุนชูจึงออกมาจากป่าดอกท้อได้สำเร็จในที่สุด เมื่อไปถึงที่พักของโจร ซึ่งประกอบไปด้วยกระท่อม 3 หลัง ดูเหมาะสมกับตัวเขามาก
เมื่อเขาไปในกระท่อมหลังหนึ่ง หญิงสาวมองไปรอบๆอาคารที่ไม่มีฝาผนังเลย พลันถามขึ้นด้วยความอยากรู้ “ท่านไม่อยากให้คนเห็นเงิน หรือท่านไม่มีเงินให้คนเห็นกันแน่ ?” ถ้าเป็นประการหลังละก็ การยึดอาชีพเป็นโจรเพื่อเป็นเช่นนี้ ถือว่าล้มเหลวแท้จริง
“แล้วเจ้าอยากให้ข้าทำอันใดเล่า?” เขานึกได้ว่านางมาที่เพื่อให้โจรจับตัว และหลักฐานทั้งหมดชี้ว่าเขาเป็นโจรภูเขา
“ข้ามีเพื่อนร่วมทางสองคนรออยู่ในป่า
โปรดจับตัวพวกเขาขึ้นมาบนเขาที่นี่ด้วย”
“วันนี้ ข้าไม่ปล้นใคร”
“เพราะเหตุใด?”
มู่หรงหยุนชูไม่เข้าใจว่าพวกโจรจะอยู่รอดได้โดยไม่ปล้นชาวบ้านสักวันหนึ่งได้อย่างไร
“วันนี้ไม่มีฤกษ์เหมาะ” เฟิ่งเฉิงพบว่าหญิงสาวคนนี้ช่างไม่สะทกสะท้านกับสิ่งใดเลย ตัวเขาเองยังไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องให้ดี
หากเป็นโจรที่ดูฤกษ์วันปล้น แสดงว่าเฟิ่งเฉิงไม่ใช่โจรสามัญธรรมดาทั่วไป ทำให้มู่หรงหยุนต้องเพิ่มความระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ “ข้าทราบมาว่าเจ้ามีแขกคนหนึ่งซึ่งเป็นตัวแทนของราชสำนัก
ข้าขอพบแขกของท่านได้หรือไม่?”
มู่หรงหยุนชูได้ยินเสียงแหลมวี๊ดเหมือนเสียงนกร้องดังขึ้นใกล้ตัว
พลันสาวน้อยงดงามผู้มีดวงตากลมโตใสบริสุทธิ์ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้านาง
“เจ้าเป็นใคร? เจ้าจะมาเอาตัวนี่ฉิงไปทำอะไร? เจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับเขา? เจ้า เจ้า เจ้า...เจ้าเป็นผู้หญิงของเขาใช่ไหม?”
“หลิงเอ๋อร์อย่าหยาบคาย” เฟิ่งเฉิงกระซิบดุ
“ใครๆก็ต้องวิตกทั้งนั้นแหละ!” เฟิ่งหลิงกระซิบบ่นพลางจ้องมู่หรงหยุนชูที่ทำหน้าใสซื่อบริสุทธิ์อยู่พักใหญ่ จึงเอ่ยขึ้นอย่างโมโห
“แจ้นมาหาผู้ชายถึงที่เลยรึ อืม...เจ้านี่ช่างขายาว เอวกิ่ว หน้าอกโต หน้าเล็ก ดวงตากลมโตยั่วยวนอะไรอย่างนี้ นี่ฉิงคนนั้นยิ่งเจ้าชู้อยู่ด้วย!”
เมื่อเห็นดังนี้
มู่หรงหยุนชูจึงหัวเราะออกมา “แม่นางน้อย เป็นเรื่องธรรมดาที่เรามักพบผู้ชายเจ้าชู้สักสองสามคนเมื่อเรายังเยาว์วัย”
“ใครที่เจ้าบอกว่าเยาว์วัย?” เฟิ่งหลิงถามขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“ข้าอายุ20ปีแล้วนะ”
มู่หรงหยุนชูมองผิดไปนึกว่าเฟิ่งหลิงเป็นเด็กอายุสิบสอง
“เจ้าอายุเท่าไร” เฟิ่งหลิงถามกลับ
“แก่กว่าเจ้า”
“โกหก”
“ใช่” มู่หรงหยุนชูยอมรับ
เฟิ่งหลิงแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง มู่หรงหยุนชูช่างเป็นคนโกหกหน้าตายที่พูดความจริง
มู่หรงหยุนชูไม่ได้บอกความจริงกับใครว่านางจะมีอายุครบ
18 ในเดือน9นี้
เฟิ่งหลิงทำหน้ามุ่ย “ตกลงว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับนี่ฉิง?”
“เป็นคนแปลกหน้า”
จู่ๆเฟิ่งหลิงส่งเสียงกรีดร้องออกมา
“อย่าบอกข้านะว่า เจ้าท้องเลยมาเรียกร้องให้เขาแต่งงานใช่ไหม?”
แต่งเพราะท้องหรือ? ได้ยินแล้วนางอยากจะเดินออกไปนัก! มู่หรงหยุนชูอดหัวเราะออกมาดังๆไม่ได้ “ข้าไม่คาดคิดเลยว่าโจรจะมีจินตนาการที่บรรเจิดเช่นนี้”
“ใครเป็นโจรกัน? ข้าไม่ใช่โจร ทุกอย่างเป็นความผิดทั้งหมดของพี่ใหญ่
“เสี่ยวหลิง ไปพาตัวนี่ฉิงมาที่นี่” เฟิ่งเฉิงเอ่ยเสียงดังเพื่อหยุดน้องสาวของเขา
“รับทราบ
พี่ใหญ่” เฟิ่งหลิงเบะปากพลางพุ่งทะยานออกไปราวกับสายลม เจ้าพี่ชายจอมผเด็จการ
แค่ชั่วกระพริบตา
เฟิ่งหลิงก็กลับมาแลดูท่าทางตื่นตระหนก “พี่ใหญ่! นี่ฉิงหายไป”
มู่หรงหยุนชูรู้สึกผิดหวังที่นางมาเขาฮั่วโตวเสียเที่ยวซะแล้ว
“รีบออกไปตามหาเขาเร็ว” เฟิ่งเฉิงสั่งทันที “เขาไม่มีปัญญาออกไปจากป่านี้ได้หรอก...”
“เจ้ากำลังตามหาตัวเจ้าผอมกะหร่องขี้โรคนั่นใช่หรือไม่?”
พลันมีเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นมา
เป็นฉู่ฉางเกอที่พุ่งทะยานลงมาแตะพื้นราวกับสายลม
มู่หรงหยุนชูไม่คาดคิดว่าจะพบฉู่ฉางเกอที่นี่ นางเหลือบมองเขาแล้วเสไปมองทัศนียภาพรอบตัว
“พี่ฉู่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” เฟิ่งเฉิงกัดฟันพูด
“น้องเฟิ่ง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ฝ่ายฉู่ฉางเกอทักทายกลับตามมารยาท
ฉู่ฉางเกอไม่เคยลืมเลือนเมื่อสามปีก่อน เขาเสียใจที่เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเฟิ่งเฉิงยิ่งนัก
ชายสองคนนี้ดูท่าต้องไม่ถูกกันแน่
มู่หรงหยุนชูคิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ดูการพบกันอีกครั้งของเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน
จากนั้นฉู่ฉางเกอและเฟิ่งเฉิงต่างดึงดาบออกจากฝัก แล้วถลาเข้าประมือกันเป็นเวลานาน
“ดูท่าพี่ใหญ่กำลังจะตกเป็นฝ่ายแพ้แล้ว
” เฟิ่งหลิงกล่าวพลางจับตามองบุรุษทั้งสอง
“การประลองเพิ่งเริ่มรึ?” มู่หรงหยุนชูมองตาม
“เกือบจบแล้ว” เฟิ่งหลิงกล่าว “ เจ้าไม่เป็นวรยุทธ์หรอกหรือ?”
มู่หรงหยุนชูสั่นศีรษะ นางไม่เข้าใจเรื่องการประลองเอาซะเลย
“อ้อ ไม่ต้องสงสัยเลย” เฟิ่งหลิงยักไหล่
“ดูใบหน้าที่ชุ่มเหงื่อของพี่ใหญ่สิ
กล้ามเนื้อเครียดเกร็ง ใบหน้าขาวซีด และลองดูใบหน้าที่ผ่อนคลายสบายๆของฉู่ฉางเกอสิ เห็นได้ชัดเลยว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ”
มู่หรงหยุนชูรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้เห็นฉู่ฉางเกอดวลดาบกับเฟิ่งเฉิงกันจนตายไปข้างหนึ่งแบบที่เห็นในจินตนาการถึงโลกยุทธภพ
แสดงว่าเขาต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเฟิ่งเฉิงแน่
เฟิ่งเฉิงกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง และใกล้จะล้มมิล้มแหล่
“พี่ใหญ่!”
เฟิ่งหลิงร้องออกมา และรีบพยุงเฟิ่งเฉิงนั่งลง ทำปากยู่ใส่ฉู่ฉางเกอราวกับเด็ก
“พี่ฉู่ เหตุใดท่านถึงเอาจริงมากเกินไปทุกครั้งที่สู้กับพี่ใหญ่?”
ฉู่ฉางเกอยิ้มร้ายเปี่ยมสเน่ห์
“เป็นความผิดของพี่ชายเจ้าต่างหากที่ไม่รู้จักพัฒนาฝีมือดาบ”
เฟิ่งเฉิงหายใจเหนื่อยหอบ ดูหน้าตาเศร้าสร้อย
“พี่ฉู่ ท่านไปเจอเจ้าผอมกะหร่องขี้โรคนั่นที่ไหน?” เฟิ่งหลิงถาม
“ในป่าดอกท้อ”
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหน?”
“ข้าขับเขาออกจากป่าไปแล้ว”
“อะไรนะ?!” เฟิ่งหลิงถามเสียงสั่น “พี่ฉู่ ท่านขับเขาออกไปได้อย่างไร?”
“น้องเฟิ่ง ข้าช่วยไล่ผู้บุกรุกป่าดอกท้อออกไปไงเล่า ไยเจ้าจึงร้องให้”
“นี่ฉิงไม่ใช่ผู้บุกรุก
เขาเป็นคนของข้า
พี่ฉู่...เหตุใดท่านช่วยเขาหลบหนีออกไป ฮือ..ฮือ?”
เฟิ่งหลิงร้องให้โฮวิ่งออกไปตามหานี่ฉิงในป่า
สายตาอาฆาตของเฟิ่งเฉิงจ้องฉู่ฉางเกอตาไม่กระพริบ ด้วยเข้าใจแล้วว่าใครเป็นผู้วางเพลิงเผาป่า
“ข้ายังคงรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับท่าน” เฟิ่งเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงกดต่ำ “สามปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยย่างเท้าออกจากเขาฮั่วโตวแม้แต่นิด ข้าไม่เคยรักษาใครที่มาขอให้ข้าช่วยเหลือเลย และข้ายังแสร้งทำตัวเป็นโจรข่มขู่คนที่อยากมาที่นี่”
แสร้งทำเป็นโจร....มู่หรงหยุนชูเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางจึงไม่เคยโดนโจรดักปล้นเลยตลอดทางจากรถม้าจนถึงที่นี่
“ข้าทราบดี” ฉู่ฉางเกอกล่าวสีหน้าเรียบนิ่ง
“เช่นนั้นแล้ว เหตุใดท่านถึงเผาป่าดอกท้อของข้า?”
เฟิ่งเฉิงคำราม
ชูจางเคอะหัวเราะดังๆ
“แน่นอน ข้ามีหน้าที่เติมเต็มความปรารถนาของฮูหยินข้า”
“ฮูหยิน?” เฟิ่งเฉิงถาม
เขามองตามสายตาที่เร่าร้อนของฉู่ฉางเกอที่มองไปที่มู่หรงหยุนชู จึงได้พบคำตอบ “เจ้าคือฮูหยินของเขารึ?”
“เปล่า” มู่หรงหยุนชูสั่นปฏิเสธเสียงเรียบ
“เราเป็นคู่หมั้นกัน” ฉู่ฉางเกอจ้องมองมู่หรงหยุนชูด้วยสายตาลึกซึ้ง
“ซึ่งยกเลิกได้ทุกเมื่อ” มู่หรงหยุนชูสวนกลับทันที
“ทั้งใต้หล้านี้ รู้แล้วว่าเจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า” ฉู่ฉางเกอกล่าวอย่างเบิกบาน
“นอกจากข้าแล้ว ไม่มีใครหน้าไหนกล้าแต่งกับเจ้าหรอก”
“ข้าอาจบวชชีได้ทุกเมื่อ” มู่หรงหยุนชูกล่าวเสียงเบา นิ่งสงบคล้ายทะเลสาบที่ราบเรียบ
ฉู่ฉางเกอคล้ายกับลม ที่พัดไม่หยุด ไม่เลิกจนกว่าทะเลสาบจะเกิดระลอกคลื่น ปากเขายกยิ้มบางเบาให้นางพลางกล่าว “ข้าเพิ่งรู้นะว่า
ฮูหยินรักข้าดื่มด่ำขนาดนี้
ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจนัก
ที่รู้ความจริงว่าหากเจ้าไม่แต่งให้ข้า เจ้าก็จะไม่แต่งให้ชายอื่นอีกเลย”
มู่หรงหยุนชูเป็นผู้ใหญ่แล้ว
นางแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของคนที่ทำตัวดื้อดึงราวกับเด็ก
นางหน้ามึนมากเว่อร์
ตอบลบ