วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ภรรยาข้าผู้ร้ายกาจเจ้าเล่ห์ -บทที่ 13 ท่่านประมุขก็มีเรื่องอึดอัดใจ

             ตลอดทางไปรถม้ามีแต่ความเงียบ ในไม่ช้าหนุ่มสาวทั้งสองก็สามารถเห็นรถม้าอยู่ไม่ไกล 
            “ฮูหยิน  เจ้าจะแต่งให้ข้าไหมหากชาติหน้าข้ากลายเป็นขอทาน?” ฉู่ฉางเกอจู่ๆก็ถามขึ้นมา
            ท่านไม่ได้พูดหรอกรึว่าต่อให้ชาติหน้า   ท่านก็ยังคงเป็นประมุขพรรคโม่เจี่ยว?”
            “ข้าลองตรองดูอีกครั้ง”  ฉู่ฉางเกอกล่าว “ท่านพ่อข้าคือประมุขพรรคโม่เจี่ยวคนก่อน  ข้าคือคนปัจจุบัน  ลูกชายของพวกเราทั้งสองจะเป็นประมุขคนต่อไป  เช่นนั้นแล้วเมื่อถึงคราที่หลานชายเราเป็นประมุข    ก็หมายความว่า ตัวข้าจะเกิดมาเป็นบุตรของหลานชายข้า”

            “อุ๊บ..”  มู่หรงหยุนชูแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหว “แล้วไม่ดีหรือที่ท่านจะได้กลายเป็นเหลนชาย?
            “ไม่ดีแน่ๆ” 
“เพราะเหตุใด?”
 “ไม่ดีหรอก    บรรพบุรุษเช่นข้าต้องมาเรียกขานลูกหลานเป็นญาติผู้ใหญ่   มีตรงไหนที่ว่าดี?
            “ท่านอย่าไปจริงจังกับการจดจำว่าเหลนท่านเป็นพ่อของบรรพบุรุษเช่นท่านนักเลย”  มู่หรงหยุนชูกล่าวปลอบโยนชายหนุ่ม
            ฉู่ฉางเกอหัวเราะออกมาเล็กน้อย  ทว่ายังจมจ่อมอยู่กับความคิดที่หาทางออกไม่ได้   เขา ขมวดคิ้ว  เม้มปากแน่น  พลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
            มู่หรงหยุนชูเห็นท่าทางตีบตันของชายหนุ่มพลันยิ้มออกมา   ความเย่อหยิ่งของชายหนุ่มทำให้เขาคิดเรื่องบ้าบอเช่นนี้ออกมาได้   ช่างน่ารักจัง
            เมื่อฉู่ฉางเกออุ้มมู่หรงหยุนชูมาถึงรถม้าต่อหน้าใครหลายคน   หัวหน้าทิศทั้งสี่มีสีหน้าแปลกๆ   จ้องมองชายหนุ่มอย่างจริงจัง  พลางเอ่ยอย่างลังเล  “ท่านประมุข...”
            ฉู่ฉางเกอมัวแต่สนใจกับการอุ้มมู่หรงหยุนชูตรงไปยังรถม้าจึงไม่ได้ยินเสียงเรียกของลูกน้อง
            ลู่จีรีบเดินไปหาหนุ่มสาวทั้งสอง แล้วเลิกผ้าม่านประตูรถม้าขึ้นพลางถามขึ้นด้วยความห่วงใย “โอว  นายท่านฉู่ คุณหนูได้รับบาดเจ็บหรือเจ้าคะ?” 
            “นางข้อเท้าแพลง” ฉู่ฉางเกออธิบาย
            มู่หรงหยุนชูรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอากาศธาตุ  มันไม่เร็วกว่าหรือหากลู่จีจะสอบถามเอากับนางโดยตรง  นางดูราวกับพูดไม่เป็นหรือไง?
            ฉู่ฉางเกอคล้ายกับอ่านความคิดของมู่หรงหยุนชูออกพลันยิ้ม   ชายหนุ่มวางนางในรถม้าอย่างนุ่มนวล   แล้วก้มตัวลง  กำลังจะยื่นมือเพื่อนวดข้อเท้านาง  ทว่านางหยุดยั้งเขาไว้
            “ขอบคุณท่านที่แบกข้าลงมาจากเขา   ข้าบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย   รอสักพักข้อเท้าข้าคงจะดีขึ้น”
            “เจ้าแน่ใจรึ?”  ฉู่ฉางเกอกล่าวพลางใช้มือซ้ายจับขานาง  มือขวาคลึงข้อเท้านางเบาๆ
            “ข้าไม่เป็นไรจริงๆ”  มู่หรงหยุนชูกล่าวอย่างสิ้นหวัง
            “ไม่เป็นไรจริงๆรึ”  ฉู่ฉางเกอใช้มือขวาเขย่าส้นเท้านางเบาๆ  การกระทำนั้นนุ่มนวลแลดูตั้งใจอย่างยิ่ง
            ใจของมู่หรงหยุนชูวูบไหว  ขณะที่นางกัดริมฝีปาก   พยายามแสร้งทำว่านางไม่เป็นไร  แต่ในที่สุดก็ยอมแพ้   ฉู่ฉางเกอช้อนตาขึ้นมองมู่หรงหยุนชูที่ตอนนี้มองเขาอย่างเคลิบเคลิ้ม
            “ยังเจ็บอยู่หรือ?”
            เสียงของฉู่ฉางเกอเรียกมู่หรงหยุนชูให้กลับมาจากภวังค์  นางตกใจเล็กน้อยพลางรีบสั่นหัว           “ไม่เจ็บแล้ว” 
            “ดี”  ฉู่ฉางเกอกล่าว ปล่อยมือจากข้อเท้ามู่หรงหยุนชูแล้วออกจากรถม้า
            มู่หรงหยุนชูได้ยินเสียงฉู่ฉางเกอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก  มันทำให้นางอดคิดว่าเป็นเรื่องจริงไม่ได้   เขาห่วงใยนางจากใจจริงใช่ไหม    คิดดูแล้วไม่น่าเป็นไปได้   ทำให้นางรู้สึกขำตัวเองนัก   เมื่อเห็นสัญญาณอันตรายเช่นนี้  นางต้องคอยเพียรเตือนตนเองให้บ่อยแล้ว
            “ฮูหยิน เจ้าต้องการไปเมืองหลวงรึ?” ฉู่ฉางเกอถามจากนอกรถม้า
            “เช่นนั้น” 
            มู่หรงหยุนชูอยากสะสางปัญหาวุ่นวายของสำนักแลกเงินไฮ่เฟิ่งเฉียงโดยเร็วก่อนที่ผู้คนจะแจ้งความกรมอาญาให้จับกุมตระกูลมู่หรง  และฮ่องเต้จะพิพากษาลงโทษเพื่อต้อนนางให้จนมุม   อีกทั้งยิ่งปล่อยให้ตั๋วเงินไฮ่เฟิ่งเฉียนขึ้นเงินไม่ได้   หัวนางก็เตรียมหลุดจากบ่าได้แล้ว    นางต้องเป็นผู้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยตัวนางเอง    เพราะว่าหากต้องโทษขึ้นมาชื่อเสียงของตระกูลจะแปดเปื้อนตลอดไป
            “ท่านไม่ไปวัดเส้าหลินรึ?”  มู่หรงหยุนชูถามเพื่อลดบรรยากาศตึงเครียด
            “ข้าไม่รีบ”  ฉู่ฉางเกอกล่าว “ข้าสามารถไปเมืองหลวงกับเจ้าได้”
            “ไม่จำเป็น”  มู่หรงหยุนชูไม่คาดคิดว่าเขาจะกล่าวออกมาเช่นนี้พลางสะดุ้งตกใจไปชั่วขณะ
            “อืม  งั้นข้าก็ไม่ไป”  ฉู่ฉางเกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม  จริงๆแล้ว  เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะร่วมเดินทางไปกับนาง    แน่นอน  หากนางเรียกร้องให้เขาไปอย่างแข็งขัน  นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  ทว่าเขารู้ดีว่านางน่าจะยอมตายดีกว่าเอ่ยปากชวนเขา
            ต่อมาก็ถึงทางแยก  เส้นทางทิศใต้มุ่งสู่วัดเส้าหลิน  และเส้นทางทิศเหนือมุ่งสู่เมืองหลวง
            “เราแยกกันตรงนี้” ฉู่ฉางเกอกล่าว  พลางส่งกระบอกผ่านหน้าต่างรถม้าของมู่หรงหยุนชูเข้ามา “ข้านำสิ่งนี้มาคืนเจ้า”
            มู่หรงหยุนชูรับสิ่งนั้นมาและหลีกเลี่ยงไม่สบตากับฉู่ฉางเกอ   นางเดาไม่ยากว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างในกระบอก
            ฉู่ฉางเกอยิ้ม เขาไม่เคยลืมว่ามู่หรงหยุนชูเขียนอะไรบนภาพของเขาทั้งสองที่นั่งอยู่บนหลังม้า มันเขียนไว้ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะหาสิ่งที่หนากว่าใบหน้าของบุรุษในภาพวาดนี้?’
            “รู้สึกเสียใจรึไม่?” ฉู่ฉางเกอถาม
            ใช่” 
            “เมื่อเจ้ารู้ว่าตัวเองทำผิดถือเป็นสัญญาณที่ดี” ฉู่ฉางเกอกล่าว  “จงจำไว้ว่า  เดินตามสามีของเจ้าคือเส้นทางที่ถูกต้อง”
            มู่หรงหยุนชู ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับความไร้เหตุผลของฉู่ฉางเกอ
            “ฮูหยิน  เจ้าต้องการไปวัดเส้าหลินกับสามีเจ้ารึไม่?”  
            “ข้ายังไม่อยากเป็นหลวงจีน   แล้วข้าจะไปวัดเส้าหลินเพื่อการใด?”
            “เจ้าคงเป็นหลวงจีนไม่ได้หรอกแม้เจ้าต้องการจะเป็น”
            “ถึงอย่างนั้น ข้าก็ไม่ควรไป” มู่หรงหยุนชูกล่าวอ้อมแอ้ม
            “ข้าจะคอยเจ้าอยู่ที่ซาบิง”
            “ข้าไม่อยากไปที่ไกลๆเช่นวัดเส้าหลิน” มู่หรงหยุนชูกล่าวอย่างสัตย์ซื่อ “มันเป็นการเดินทางที่เหน็ดเหนื่อยนัก”
            “ซาบิงอยู่ที่ตีนเขาวัดเส้าหลิน” ฉู่ฉางเกอกล่าว “มีโรงเตี๊ยมที่เตรียมไว้สำหรับคนในยุทธภพมาพบปะกัน   เจ้าสามารถหาข้าพบที่นั่น”
            มู่หรงหยุนชูรีบสั่นหัว และแสดงราวกับว่านางไม่เข้าใจภาษามนุษย์
            รถม้าของมู่หรงหยุนชูเคลื่อนต่อไปทางเส้นทางขึ้นเหนือสู่เมืองหลวง
            “คุณหนู  เหตุใดท่านแสดงออกคล้ายกับว่าท่านไม่มีแผนการจะไปวัดเส้าหลิน?”  ลู่จีถามขึ้น
            “เปลี่ยนแผนแล้ว” 
            ทีแรกมู่หรงหยุนชูต้องการไปวัดเส้าหลินเพื่อถามฉู่ฉางเกอว่าเขาต้องการแต่งงานกับนางเพราะนางเคยช่วยชีวิตเขาใช่หรือไม่  เช่นนั้นแล้วนางจะยุติการหมั้นระหว่างพวกเขาได้อย่างสะดวกใจ   หญิงสาวไม่อยากให้เขาตอบแทนนางด้วยการแต่งงานกับนาง   ทว่าหลังจากได้ยินเขาพูดว่าเขาเผาเงิน   อีกทั้งยังนวดข้อเท้านาง  หญิงสาวจึงเปลี่ยนใจ  หากนางไม่แต่งให้เขา  นางคงลงเอยด้วยการเป็นแม่ชี และบรรพบุรุษนางคงจะฟื้นคืนชีพมาตามล่าสังหารนางเป็นแน่
            “คุณหนู...ข้าไม่เข้าใจ?”  ลู่จีสั่นหัว
            “ไปข้างนอกสูดอากาศสดชื่นสิแล้วเจ้าจะเข้าใจเอง”  มู่หรงหยุนชูกล่าว
            ลู่จีเข้าใจว่ามู่หรงหยุนชูคงไม่อยากให้นางเห็นภาพวาดที่อยู่ภายในกระบอก
            หลังจากลู่จีออกไปแล้ว มู่หรงหยุนชูเปิดกระบอกและคลี่ภาพวาดออกมา  ทางด้านซ้ายของภาพมีลายมือประณีตตัวเล็กๆเป็นตัวอักษรที่อ่อนช้อยงดงามราวมังกรเหาะเหินและหงส์ร่ายรำ  เขียนว่า  รักคืออะไร?  ถึงทำให้คนตั้งใจมีใบหน้าหนาอย่างที่สุด
            “ช่างเป็นบุรุษมากพรสวรรค์อะไรเช่นนี้”    มู่หรงหยุนชูกล่าวเสียงนุ่มพลางยิ้ม
            มู่หรงหยุนชูไม่รู้ว่าฉู่ฉางเกอเป็นคนที่มีความอดทนอย่างเหลือล้น   หรือมีวาระซ่อนเร้นเคลือบแฝงหรือไม่  เพราะไม่ว่านางจะพูดหรือทำสิ่งใดก็ไม่อาจทำให้เขาโกรธได้
            หัวหน้าทิศทั้งสี่ห่วงใยท่านประมุขของพวกเขา   เพราะเมื่อสามปีก่อน  ฉู่ฉางเกอกลับมาพร้อมสภาพร่างกายที่บาดเจ็บ  บังคับให้เฟิ่งเฉิงห้ามออกนอกจวนฮั่วโตว และห้ามเฟิ่งเฉิงรักษาผู้ใดอีก
            “ประมุขฉู่ มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ขอรับ?” หัวหน้าทิศบูราพาถาม
            “ไม่มีอะไร  ทุกคนเดินทางต่อไป แต่ยิ่งช้ายิ่งดี”  ฉู่ฉางเกอตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ
            เมื่อได้ยินเช่นนี้  ใจของหัวหน้าทิศทั้งสี่พลันหนักอึ้ง  พวกเขาอยากให้เจ้านายกล่าวอะไรออกมาดีกว่าบอกว่าไม่มีอะไร
แท้จริง  ทุกครั้งที่กลับจากจวนฮั่วโตว  ฉู่ฉางเกอจะเงียบขรึมมากๆ  และยิ่งครานี้  บุรุษหนุ่มคนนี้ดูจะเงียบขรึมเป็นพิเศษ   คงเป็นเพราะได้พบกับแม่นางมู่หรงหยุนชูที่นั่น

ชายหนุ่มเอนหลังพิงผนังรถม้า  ปิดเปลือกตาลง  เกิดคำถามในใจเงียบๆ  “ซีเอ๋อร์  เจ้าจะตำหนิข้าหรือไม่?” 

1 ความคิดเห็น: