ตลอดทางไปรถม้ามีแต่ความเงียบ ในไม่ช้าหนุ่มสาวทั้งสองก็สามารถเห็นรถม้าอยู่ไม่ไกล
“ฮูหยิน เจ้าจะแต่งให้ข้าไหมหากชาติหน้าข้ากลายเป็นขอทาน?”
ฉู่ฉางเกอจู่ๆก็ถามขึ้นมา
“ท่านไม่ได้พูดหรอกรึว่าต่อให้ชาติหน้า ท่านก็ยังคงเป็นประมุขพรรคโม่เจี่ยว?”
“ข้าลองตรองดูอีกครั้ง” ฉู่ฉางเกอกล่าว “ท่านพ่อข้าคือประมุขพรรคโม่เจี่ยวคนก่อน ข้าคือคนปัจจุบัน ลูกชายของพวกเราทั้งสองจะเป็นประมุขคนต่อไป เช่นนั้นแล้วเมื่อถึงคราที่หลานชายเราเป็นประมุข ก็หมายความว่า ตัวข้าจะเกิดมาเป็นบุตรของหลานชายข้า”
“อุ๊บ..” มู่หรงหยุนชูแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหว
“แล้วไม่ดีหรือที่ท่านจะได้กลายเป็นเหลนชาย?”
“ไม่ดีแน่ๆ”
“เพราะเหตุใด?”
“ไม่ดีหรอก
บรรพบุรุษเช่นข้าต้องมาเรียกขานลูกหลานเป็นญาติผู้ใหญ่ มีตรงไหนที่ว่าดี?”
“ท่านอย่าไปจริงจังกับการจดจำว่าเหลนท่านเป็นพ่อของบรรพบุรุษเช่นท่านนักเลย” มู่หรงหยุนชูกล่าวปลอบโยนชายหนุ่ม
ฉู่ฉางเกอหัวเราะออกมาเล็กน้อย ทว่ายังจมจ่อมอยู่กับความคิดที่หาทางออกไม่ได้ เขา ขมวดคิ้ว
เม้มปากแน่น พลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
มู่หรงหยุนชูเห็นท่าทางตีบตันของชายหนุ่มพลันยิ้มออกมา
ความเย่อหยิ่งของชายหนุ่มทำให้เขาคิดเรื่องบ้าบอเช่นนี้ออกมาได้ ช่างน่ารักจัง
เมื่อฉู่ฉางเกออุ้มมู่หรงหยุนชูมาถึงรถม้าต่อหน้าใครหลายคน หัวหน้าทิศทั้งสี่มีสีหน้าแปลกๆ จ้องมองชายหนุ่มอย่างจริงจัง พลางเอ่ยอย่างลังเล “ท่านประมุข...”
ฉู่ฉางเกอมัวแต่สนใจกับการอุ้มมู่หรงหยุนชูตรงไปยังรถม้าจึงไม่ได้ยินเสียงเรียกของลูกน้อง
ลู่จีรีบเดินไปหาหนุ่มสาวทั้งสอง
แล้วเลิกผ้าม่านประตูรถม้าขึ้นพลางถามขึ้นด้วยความห่วงใย “โอว นายท่านฉู่ คุณหนูได้รับบาดเจ็บหรือเจ้าคะ?”
“นางข้อเท้าแพลง”
ฉู่ฉางเกออธิบาย
มู่หรงหยุนชูรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอากาศธาตุ
มันไม่เร็วกว่าหรือหากลู่จีจะสอบถามเอากับนางโดยตรง? นางดูราวกับพูดไม่เป็นหรือไง?
ฉู่ฉางเกอคล้ายกับอ่านความคิดของมู่หรงหยุนชูออกพลันยิ้ม ชายหนุ่มวางนางในรถม้าอย่างนุ่มนวล แล้วก้มตัวลง
กำลังจะยื่นมือเพื่อนวดข้อเท้านาง
ทว่านางหยุดยั้งเขาไว้
“ขอบคุณท่านที่แบกข้าลงมาจากเขา ข้าบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย รอสักพักข้อเท้าข้าคงจะดีขึ้น”
“เจ้าแน่ใจรึ?” ฉู่ฉางเกอกล่าวพลางใช้มือซ้ายจับขานาง
มือขวาคลึงข้อเท้านางเบาๆ
“ข้าไม่เป็นไรจริงๆ” มู่หรงหยุนชูกล่าวอย่างสิ้นหวัง
“ไม่เป็นไรจริงๆรึ”
ฉู่ฉางเกอใช้มือขวาเขย่าส้นเท้านางเบาๆ
การกระทำนั้นนุ่มนวลแลดูตั้งใจอย่างยิ่ง
ใจของมู่หรงหยุนชูวูบไหว ขณะที่นางกัดริมฝีปาก พยายามแสร้งทำว่านางไม่เป็นไร แต่ในที่สุดก็ยอมแพ้ ฉู่ฉางเกอช้อนตาขึ้นมองมู่หรงหยุนชูที่ตอนนี้มองเขาอย่างเคลิบเคลิ้ม
“ยังเจ็บอยู่หรือ?”
เสียงของฉู่ฉางเกอเรียกมู่หรงหยุนชูให้กลับมาจากภวังค์ นางตกใจเล็กน้อยพลางรีบสั่นหัว “ไม่เจ็บแล้ว”
“ดี” ฉู่ฉางเกอกล่าว ปล่อยมือจากข้อเท้ามู่หรงหยุนชูแล้วออกจากรถม้า
มู่หรงหยุนชูได้ยินเสียงฉู่ฉางเกอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก มันทำให้นางอดคิดว่าเป็นเรื่องจริงไม่ได้ เขาห่วงใยนางจากใจจริงใช่ไหม คิดดูแล้วไม่น่าเป็นไปได้ ทำให้นางรู้สึกขำตัวเองนัก เมื่อเห็นสัญญาณอันตรายเช่นนี้ นางต้องคอยเพียรเตือนตนเองให้บ่อยแล้ว
“ฮูหยิน
เจ้าต้องการไปเมืองหลวงรึ?” ฉู่ฉางเกอถามจากนอกรถม้า
“เช่นนั้น”
มู่หรงหยุนชูอยากสะสางปัญหาวุ่นวายของสำนักแลกเงินไฮ่เฟิ่งเฉียงโดยเร็วก่อนที่ผู้คนจะแจ้งความกรมอาญาให้จับกุมตระกูลมู่หรง และฮ่องเต้จะพิพากษาลงโทษเพื่อต้อนนางให้จนมุม อีกทั้งยิ่งปล่อยให้ตั๋วเงินไฮ่เฟิ่งเฉียนขึ้นเงินไม่ได้ หัวนางก็เตรียมหลุดจากบ่าได้แล้ว
นางต้องเป็นผู้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยตัวนางเอง
เพราะว่าหากต้องโทษขึ้นมาชื่อเสียงของตระกูลจะแปดเปื้อนตลอดไป
“ท่านไม่ไปวัดเส้าหลินรึ?” มู่หรงหยุนชูถามเพื่อลดบรรยากาศตึงเครียด
“ข้าไม่รีบ” ฉู่ฉางเกอกล่าว
“ข้าสามารถไปเมืองหลวงกับเจ้าได้”
“ไม่จำเป็น” มู่หรงหยุนชูไม่คาดคิดว่าเขาจะกล่าวออกมาเช่นนี้พลางสะดุ้งตกใจไปชั่วขณะ
“อืม งั้นข้าก็ไม่ไป” ฉู่ฉางเกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม จริงๆแล้ว
เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะร่วมเดินทางไปกับนาง แน่นอน
หากนางเรียกร้องให้เขาไปอย่างแข็งขัน
นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทว่าเขารู้ดีว่านางน่าจะยอมตายดีกว่าเอ่ยปากชวนเขา
ต่อมาก็ถึงทางแยก เส้นทางทิศใต้มุ่งสู่วัดเส้าหลิน และเส้นทางทิศเหนือมุ่งสู่เมืองหลวง
“เราแยกกันตรงนี้”
ฉู่ฉางเกอกล่าว พลางส่งกระบอกผ่านหน้าต่างรถม้าของมู่หรงหยุนชูเข้ามา
“ข้านำสิ่งนี้มาคืนเจ้า”
มู่หรงหยุนชูรับสิ่งนั้นมาและหลีกเลี่ยงไม่สบตากับฉู่ฉางเกอ นางเดาไม่ยากว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างในกระบอก
ฉู่ฉางเกอยิ้ม
เขาไม่เคยลืมว่ามู่หรงหยุนชูเขียนอะไรบนภาพของเขาทั้งสองที่นั่งอยู่บนหลังม้า
มันเขียนไว้ว่า ‘เป็นไปได้หรือไม่ที่จะหาสิ่งที่หนากว่าใบหน้าของบุรุษในภาพวาดนี้?’
“รู้สึกเสียใจรึไม่?” ฉู่ฉางเกอถาม
“ใช่”
“เมื่อเจ้ารู้ว่าตัวเองทำผิดถือเป็นสัญญาณที่ดี”
ฉู่ฉางเกอกล่าว “จงจำไว้ว่า เดินตามสามีของเจ้าคือเส้นทางที่ถูกต้อง”
มู่หรงหยุนชู
ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับความไร้เหตุผลของฉู่ฉางเกอ
“ฮูหยิน เจ้าต้องการไปวัดเส้าหลินกับสามีเจ้ารึไม่?”
“ข้ายังไม่อยากเป็นหลวงจีน แล้วข้าจะไปวัดเส้าหลินเพื่อการใด?”
“เจ้าคงเป็นหลวงจีนไม่ได้หรอกแม้เจ้าต้องการจะเป็น”
“ถึงอย่างนั้น
ข้าก็ไม่ควรไป” มู่หรงหยุนชูกล่าวอ้อมแอ้ม
“ข้าจะคอยเจ้าอยู่ที่ซาบิง”
“ข้าไม่อยากไปที่ไกลๆเช่นวัดเส้าหลิน”
มู่หรงหยุนชูกล่าวอย่างสัตย์ซื่อ “มันเป็นการเดินทางที่เหน็ดเหนื่อยนัก”
“ซาบิงอยู่ที่ตีนเขาวัดเส้าหลิน”
ฉู่ฉางเกอกล่าว “มีโรงเตี๊ยมที่เตรียมไว้สำหรับคนในยุทธภพมาพบปะกัน เจ้าสามารถหาข้าพบที่นั่น”
มู่หรงหยุนชูรีบสั่นหัว
และแสดงราวกับว่านางไม่เข้าใจภาษามนุษย์
รถม้าของมู่หรงหยุนชูเคลื่อนต่อไปทางเส้นทางขึ้นเหนือสู่เมืองหลวง
“คุณหนู
เหตุใดท่านแสดงออกคล้ายกับว่าท่านไม่มีแผนการจะไปวัดเส้าหลิน?” ลู่จีถามขึ้น
“เปลี่ยนแผนแล้ว”
ทีแรกมู่หรงหยุนชูต้องการไปวัดเส้าหลินเพื่อถามฉู่ฉางเกอว่าเขาต้องการแต่งงานกับนางเพราะนางเคยช่วยชีวิตเขาใช่หรือไม่ เช่นนั้นแล้วนางจะยุติการหมั้นระหว่างพวกเขาได้อย่างสะดวกใจ
หญิงสาวไม่อยากให้เขาตอบแทนนางด้วยการแต่งงานกับนาง ทว่าหลังจากได้ยินเขาพูดว่าเขาเผาเงิน อีกทั้งยังนวดข้อเท้านาง หญิงสาวจึงเปลี่ยนใจ หากนางไม่แต่งให้เขา นางคงลงเอยด้วยการเป็นแม่ชี
และบรรพบุรุษนางคงจะฟื้นคืนชีพมาตามล่าสังหารนางเป็นแน่
“คุณหนู...ข้าไม่เข้าใจ?” ลู่จีสั่นหัว
“ไปข้างนอกสูดอากาศสดชื่นสิแล้วเจ้าจะเข้าใจเอง” มู่หรงหยุนชูกล่าว
ลู่จีเข้าใจว่ามู่หรงหยุนชูคงไม่อยากให้นางเห็นภาพวาดที่อยู่ภายในกระบอก
หลังจากลู่จีออกไปแล้ว
มู่หรงหยุนชูเปิดกระบอกและคลี่ภาพวาดออกมา
ทางด้านซ้ายของภาพมีลายมือประณีตตัวเล็กๆเป็นตัวอักษรที่อ่อนช้อยงดงามราวมังกรเหาะเหินและหงส์ร่ายรำ เขียนว่า
‘รักคืออะไร? ถึงทำให้คนตั้งใจมีใบหน้าหนาอย่างที่สุด
‘
“ช่างเป็นบุรุษมากพรสวรรค์อะไรเช่นนี้” มู่หรงหยุนชูกล่าวเสียงนุ่มพลางยิ้ม
มู่หรงหยุนชูไม่รู้ว่าฉู่ฉางเกอเป็นคนที่มีความอดทนอย่างเหลือล้น หรือมีวาระซ่อนเร้นเคลือบแฝงหรือไม่ เพราะไม่ว่านางจะพูดหรือทำสิ่งใดก็ไม่อาจทำให้เขาโกรธได้
หัวหน้าทิศทั้งสี่ห่วงใยท่านประมุขของพวกเขา เพราะเมื่อสามปีก่อน ฉู่ฉางเกอกลับมาพร้อมสภาพร่างกายที่บาดเจ็บ บังคับให้เฟิ่งเฉิงห้ามออกนอกจวนฮั่วโตว และห้ามเฟิ่งเฉิงรักษาผู้ใดอีก
“ประมุขฉู่ มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ขอรับ?” หัวหน้าทิศบูราพาถาม
“ไม่มีอะไร ทุกคนเดินทางต่อไป แต่ยิ่งช้ายิ่งดี” ฉู่ฉางเกอตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใจของหัวหน้าทิศทั้งสี่พลันหนักอึ้ง พวกเขาอยากให้เจ้านายกล่าวอะไรออกมาดีกว่าบอกว่าไม่มีอะไร
แท้จริง ทุกครั้งที่กลับจากจวนฮั่วโตว ฉู่ฉางเกอจะเงียบขรึมมากๆ และยิ่งครานี้
บุรุษหนุ่มคนนี้ดูจะเงียบขรึมเป็นพิเศษ
คงเป็นเพราะได้พบกับแม่นางมู่หรงหยุนชูที่นั่น
ชายหนุ่มเอนหลังพิงผนังรถม้า ปิดเปลือกตาลง
เกิดคำถามในใจเงียบๆ “ซีเอ๋อร์ เจ้าจะตำหนิข้าหรือไม่?”
ซีเอ๋ออ์นี่ครายย คนรักเก่าหรือไรกัน
ตอบลบ