“น้องชู...คืนหยกมงคลให้ข้าเถิด”
มู่หรงหยุนชูมาถึงโถงรับรองแขก
และได้ยินวาจาของฟางหงเฟย นางอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะกลับมารู้สึกตัว หยกมงคลเป็นมรดกตกทอดของตระกูลฟาง เมื่อ สิบปีก่อน มารดาของฟางหงเฟยมอบให้นางแทนของหมั้น ครานี้ลูกชายนางตั้งใจมาเจรจาขอหยกชิ้นนี้คืนอย่างชัดแจ้ง
“เพื่อเป็นการชดเชย ข้าจะมอบกระบี่ให้แก่เจ้า “ ฟางหงเฟยสะบัดแขนเสื้อเป็นสัญญาณให้ผู้ติดตามนำกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่เปิดฝาอ้าไว้ส่งให้แก่นาง
มู่หรงหยุนชูกวาดตามองกระบี่หนึ่งครั้ง ไม่ได้ตอบรับ กล่าวเสียงเรียบ “ไม่ต้อง หยกมงคลนั้น
แต่เดิมเป็นของตระกูลฟาง ควรส่งกลับคืนให้กับท่าน เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”
“ทว่า..เหนือสิ่งอื่นใด
ข้าคงต้องเสียเจ้า...”
“ท่านไม่ต้องรู้สึกผิดไป ข้าไม่รับกระบี่เล่มนี้ อีกทั้งไม่ตำหนิท่าน ข้าแค่กังวลว่าวันข้างหน้าท่านอาจจะเอามีดทำครัวมาแลกกับอาวุธอันนี้อีก ซึ่งมันจะทำให้เสียเวลากันไปทุกฝ่าย”
ฟางหงเฟยได้ยินถึงกับอับอายครั้งใหญ่ “เจ้า...?
เจ้าหมายความว่า”
มู่หรงหยุนชูเลิกคิ้วพลางเอ่ยถาม “ ท่านมีเรื่องอื่นใดที่จะคุยกับข้าอีกหรือไม่”
“...ไม่มีแล้ว”
“เช่นนั้น เชิญ
ข้าคงไม่ส่ง”
“น้องซู....” ฟางหงเฟยกำลังจะรั้งตัวมู่หรงหยุนชู ทว่าหญิงรับใช้ส่วนตัวของนางมาขวางทางไว้พอดี
“คุณชายฟาง ประตูเรือนอยู่ด้านนี้เจ้าค่ะ” ลู่จีสาวใช้ ผายมือไปที่ประตู
“ข้ารู้ ข้าอยากจะ...”
“คุณชายฟาง
เดินทางปลอดภัย” มู่หรงหยุนชูกล่าว
“ข้ายังไม่อาจไปได้…”
“ใครช่วยพาคุณชายฟางไปส่งด้านนอกด้วย”
“น้องซู หากกระบี่ของสำนักหมิงเจี้ยนไม่มีความหมายอันใดกับเจ้า ยามเมื่อตระกูลมู่หรงเผชิญภัยอันตราย
อย่าได้กล่าวโทษสำนักหมิงเจี้ยนที่ไม่ช่วยเหลือนะ”
ฟางหงเฟยสะบัดแขนเสื้อพลางออกจากจวนมู่หรงไป
“คุณหนู บ่าววิตกว่าความเย็นชาของท่านจะสร้างความขุ่นเคืองให้คุณชายฟางนะเจ้าคะ”
ลู่จีสีหน้าเป็นกังวล
มู่หรงหยุนชูไม่สนใจ นางตรวจสมุดบัญชีไปเงียบๆในมือซ้าย พลางดีดลูกคิดในมือขวา
“ปล่อยเขาไป สุนัขมักเห่าก่อนกัดเสมอ”
“คุณหนูกล่าวถูกต้อง...สุนัขย่อมเป็นสุนัขวันยังค่ำเจ้าค่ะ ทว่า..มีบางคนถือโอกาสยามบิดาของคู่หมั้นตาย แล้วมาขอถอนหมั้น ต่ำยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก”
“ข้าก็ไม่ต้องการหมั้นกับสุนัขเสียด้วย”
“…” ลู่จีหมดซึ่งคำพูด
“ต้อนคนให้จนมุม ถือเป็นเรื่องธรรมดา ไม่คุ้มค่าจะเก็บไปคิดให้ขุ่นเคืองใจหรอก”
สิ่งที่มู่หรงหยุนชูสนใจคือการหาเงินและนับเงิน เรื่องอื่นไม่เคยอยู่ในหัวสมองนางเลย
“หากนายท่านมู่หรงยังมีชีวิตอยู่ คงไม่มีใครกล้าล่วงเกินตระกูลมู่หรงหรือคุณหนูได้แน่เจ้าค่ะ”
มู่หรงหยุนชูหยุดนิ้วจากลูกคิด พลางเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ ดวงตาเป็นประกายแจ่มใสจ้องมองสาวใช้ “ลู่จี แม้ท่านพ่อข้าจะไม่อยู่แล้ว คงไม่มีใครบังอาจมาล่วงเกินคนของตระกูลมู่หรงได้”
“คุณหนู....”
ลู่จีกลืนถ้อยคำนับพันลงคอไป
กลับมีน้ำตาคลอบนดวงตาแทน นางคิดว่า
คุณหนูของนางนั้นเติบโตขึ้นมากจริงๆ
มู่หรงหยุนชูเหลือบเห็นน้ำตาของลู่จีพลางกลับมาตรวจสมุดบัญชีอีกครั้ง
“ลู่จี,,,หากเจ้าป่วย ก็ไปหาหมอเถิด หากไม่มีเงิน ก็ไปเบิกเอาที่ฝ่ายบัญชี”
“คุณหนู บ่าวป่วยอันใดหรือเจ้าคะ?” ลู่จีไม่เข้าใจ
นางไม่ได้ป่วยนี่นา
“มีบางอย่างผิดปกติในดวงตาเจ้า”
“…” ลู่จีอึ้งอีกไร้ซึ่งคำพูด
ตระกูลมู่หรงทำกิจการค้าขาย เปิดสำนักรับแลกเงิน และกำหนดมูลค่าแร่เงิน มู่หรงฉิง
บิดาของมู่หรงหยุนชู เป็นผู้ควบคุมตลาดการค้าทั้งหมด สำนักรับแลกเงินไฮ่เฟิ่งเฉียงภายใต้การบริหารของตระกูลมู่หรงได้ก่อตั้งสาขาไปทั่วทั้งแคว้น แทบจะครองส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งหมดของแคว้นเลยทีเดียว เป็นที่นิยมของบุคคลระดับสูงเป็นอันมาก
ยามที่มู่หรงฉิงยังมีชีวิตอยู่ ตระกูลจิงหลิงมู่หรงแห่งเมืองจิงหลิง คือสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งและอำนาจ ผู้คนต่างพากันวิ่งเข้าหา ทว่าภายหลังจากที่เขาถึงแก่กรรมไปห้าวัน สาขามากมายของสำนักแลกเงินที่รับประกันตั๋วเงิน ธุรกรรมกำหนดราคาแร่เงิน ล้วนถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว ผู้คนคาดว่านับจากนี้ไปตระกูลมู่หรงนับวันจะตกต่ำลง
คงไม่มีใครเข้าหาเพื่อประจบประแจง
และคงไม่มีใครมาคบค้าสมาคมเพื่อหวังเงินทองอีกต่อไป
แต่ส่วนหนึ่ง
มู่หรงหยุนชูรู้สึกพอใจที่เหตุการณ์เป็นดังนี้
นางเติบโตมาแบบเก็บตัวเงียบ
ไม่เป็นที่รู้จักของใครต่อใคร ตอนมู่หรงฉิงยังมีชีวิตอยู่ คนภายนอกแทบไม่มีโอกาสได้เห็นมู่หรงหยุนชูจึงทำให้พวกเขาคาดเดาไปว่ามู่หรงหยุนชูคงเป็นสตรีโง่งมผู้หนึ่ง นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตระกูลมู่หรงเสื่อมถอย
ทว่า...ทุกคนในตระกูลมู่หรงรู้จักคุณหนูของพวกเขาดี บุตรสาวคนโตของตระกูลมู่หรงผู้บอบบางมีค่ามากกว่าทองคำ มู่หรงหยุนชูฉลาดปราดเปรื่องในเรื่องธุรกิจ
และเป็นกุนซือผู้เชี่ยวชาญอยู่เบื้องหลังความสำเร็จทางการค้าระดับล้านตำลึงทองของตระกูลนี้
มู่หรงหยุนชูไม่มีรู้สึกประทับใจใดๆในตัวฟางหงเฟยเลย นางรู้เพียงว่าบุรุษหนุ่มผู้นั้นเป็นคุณชายของสำนักดาบเล็กๆ และเป็นว่าที่สามีในอนาคตของนาง หากเขาไม่มาพบนางเมื่อเช้านี้ นางอาจส่งจดหมายเทียบเชิญให้เขามาเข้าควบคุมกิจการของตระกูลมู่หรง
และจัดพิธีแต่งงานตามที่ได้หมั้นหมายไปแล้ว
นางไม่คาดคิดว่าเขาจะมาที่จวนนางเพื่อขอถอนหมั้นหลังการตายของท่านพ่อนางผ่านไปเพียงห้าวัน มู่หรงหยุนชูรู้สึกว่าช่างเป็นเคราะห์ดีที่ฟางหงเฟยขอถอนหมั้น เพราะว่าหากเงินทองของตระกูลมู่หรงตกไปอยู่ในมือคนอย่างเขา
คงจะถูกผลาญไปในเวลาอันรวดเร็ว
มู่หรงหยุนชูกระชับผ้าคลุมไหล่ ขณะเงยหน้ามองท้องฟ้าในยามค่ำคืน นี่เป็นครั้งแรกที่นางถอนหายใจออกมา
*
ทุกๆวันที่
15 ของทุกเดือน มู่หรงหยุนจะไปจุดธูปไหว้พระที่วัด เดือนนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น
ตอนเช้าตรู่นางนั่งเกี้ยวเดินทางจากจวนไปที่วัดวันหยุน ระหว่างทางที่จะข้ามสะพานอันเก่าแก่ เกี้ยวที่นางนั่งประจัญหน้ากับขบวนแต่งงานยิ่งใหญ่อลังการที่ขวางเส้นทางอยู่
“คุณหนู มีขบวนของสำนักดาบที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งขวางทางอยู่เจ้าค่ะ”
ลู่จีสาวใช้เอ่ยเสียงไม่พอใจขณะเลิกผ้าม่านหน้าต่างของเกี้ยวขึ้น
มู่หรงหยูนซุนเลิกผ้าม่านของเกี้ยวพลางขมวดคิ้ว
“ไม่ใช่ว่าคุณชายฟางยกเลิกการหมั้นหมายไปแล้วไม่ใช่รึ?”
มู่หรงหยุนชูค่อนข้างอยากแต่งงานกับสุนัขดีกว่าแต่งงานกับฟางหงเฟย
“น่าจะยกขบวนไปสำนักคุ้มกันจิ้งหยวนเจ้าค่ะ” ลู่จีกระซิบ
มู่หรงหยุนชูสาบแช่งฟางหงเฟยในใจ
ขอให้เขากินแห้ว
ให้รอไปอีกหลายปีจนแก่คราวลุงถึงจะได้แต่งงาน
สำนักคุ้มกันเจิ้งหยวนแห่งเมืองจิงหลิงมีผู้คุ้มกันฝืมือระดับพระกาฬจำนวนมาก
มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าผู้นำสำนักคุ้มกันเจิ้งหยวน หลินเจิ้งหยวนมีธิดาสาวงดงาม
นามว่าหลินชุ่ยเอ๋อร์ คนภายนอกต่างคาดเดากันไปต่างๆนาๆว่าเป็นฟางหงเฟยที่ล่อลวงแม่นางหลินชุ่ยเอ๋อร์
หรือเป็นเพราะอำนาจของพรรคเจิ้งหยวนและความงดงามของหลินชุ่ยเอ๋อร์ที่ล่อลวงฟางหงเฟย
“นั่นไม่เกี่ยวอันใดกับตระกูลมู่หรงของเรา” มู่หรงหยุนชูกล่าวสีหน้าเหยียดหยามพลางปล่อยม่านลง “ไปกันต่อเถิด”
“คุณหนู
ฟางหงเฟยกำลังกั้นสะพานข้างหน้าอยู่เจ้าค่ะ “
“ส่งคนไปบอกฟางหงเฟย บอกเขาให้ไปดูสุนัขบ้าง
สุนัขที่ดีย่อมไม่กั้นสะพาน”
“คุณหนู
ท่านด่าให้แรงขึ้นกว่านี้อีกสิเจ้าค่ะ“
“หากคนของฟางหงเฟยยังกีดขวางทางของเราอยู่ ข้าจะทำยิ่งกว่าด่า”
ลู่จีไปถ่ายทอดข้อความตามคำสั่งของมู่หรงหยุน
ซู “คุณชายฟาง
คุณหนูของเรากล่าวว่าสุนัขที่ดีย่อมไม่กั้นสะพานเจ้าค่ะ
หากท่านไม่อยากให้ใครๆเห็นท่านเป็นสุนัขตัวหนึ่ง ได้โปรดหลีกทางด้วย”
สีหน้าฟางหงเฟยพลันมืดครึ้ม ขี่ม้าผ่านหน้าลู่จีไปอย่างหยิ่งผยอง ตรงไปยังเกี้ยวของมู่หรงหยุนชู
“เจ้ามีปัญหาอะไรรึ?” ฟางหงเฟยถาม
“ข้าเองก็อยากรู้ว่าอะไรคือปัญหาเหมือนกัน”
มู่หรงหยุนชูกล่าวผ่านม่านของเกี้ยว
“หยุดทำตัวโง่งมได้แล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ยอมรับการถอนหมั้น บอกเงื่อนไขเจ้ามา และข้าจะทำให้เจ้าพอใจ”
“ท่านคิดว่าข้ามาที่นี่เพื่อก่อกวนท่านงั้นรึ?”
“แล้วเจ้ายังกล้าโป้ปดอีกรึ?”
“ท่านหมายความว่าท่านสามารถเสนอเงื่อนไขที่น่าพอใจให้ข้าใช่หรือไม่?”
มู่หรงหยุนชูส่ายหัวอย่างขำๆ
“ตราบเท่าที่เจ้าตกลงจะไม่สร้างปัญหากับพิธีแต่งงานของข้า”
“ข้าวิตกว่ท่านคงให้สิ่งที่ข้าต้องการไม่ได้หรอก”
มู่หรงหยุนชูพูดขึ้นช้าๆ
ฟางหงเฟยยิ้ม “อย่าทำให้ข้าหัวเราะเลย ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ฟางหงเฟยคนนี้ไม่สามารถหามาให้เจ้าได้”
“เช่นนั้น
ยกสำนักดาบหมิงเจี้ยนให้ข้าสิ”
“เจ้า!” ฟางหงพลันยิ้มค้าง รู้สึกจุกคอขึ้นมากระทันหัน
“เจ้ายกให้ข้าได้หรือไม่เล่า?”
“แน่นอน...” ฟางหงเฟยพลันหุบปากเอาดื้อๆ จ้องมู่หรงหยุนชูเขม็งด้วยความโกรธ ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อไปว่า “สุดท้ายเจ้าต้องการอันใดกันแน่?”
“ไปวัดวันหยุน” มู่หรงหยุนชูกล่าว
“อะไรนะ?”
“ไปวัดวันหยุน บริวารของเจ้าขวางทางข้าอยู่”
“เจ้าไม่ได้มาที่นี้เพื่อมาชิงตัวข้า
ผู้เป็นจ้าวบ่าวหรอกรึ?”
“คุณชายฟาง ท่านอย่าได้ไร้สาระ คุณชายทั้งหมดในโลกนี้ตายกันหมดแล้วหรือไร? เหตุใดข้าจึงอยากลักพาตัวท่านกันเล่า?”
“มู่หรงหยุนชู!”
ฟางหงเฟยตะโกน
“คุณชายฟาง หากไม่มีธุระอื่นใดแล้ว โปรดหลีกทางด้วย
การที่ท่านกำลังไปไม่ทันฤกษ์แต่งงานถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ทว่า...ทำให้ข้าสายเพราะไปไหว้พระไม่ทันฤกษ์ของข้านี่สินับเป็นเรื่องใหญ่”
หญิงสาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส ขณะที่ชายหนุ่มได้ยินแล้วถึงกับฉุน
“มู่หรงหยุนชู
เจ้ามันแหกคอกเกินไปแล้ว!”
“คงเป็นธรรมเนียมไปแล้วที่คนจากตระกูลมู่หรงชอบแหกคอก”
มู่หรงหยุนชูกล่าว “อย่าได้ลืมว่า ตอนที่เจ้าตกลงจะแต่งงานเข้ามาในตระกูลมู่หรง
เจ้าก็รู้ว่าคนแหกคอกจากตระกูลนี้เป็นเช่นใด”
หญิงสาวยิ่งทำตัวเอ้อระเหยมากขึ้น ส่วนฝ่ายชายก็ไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก ทว่ายังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ฟางหงเฟยพบว่าตระกูลมู่หรงยังมีอำนาจและอิทธิพลหลงเหลืออยู่ ดังนั้นจึงยังไม่ใช่จังหวะเหมาะสมที่ทั้งสองฝ่ายจะเผชิญหน้ากัน
“ศิษย์สำนักหมิงเจี้ยน เปิดทางให้ตระกูลมู่หรง”
ฟางหงเฟยชักม้ากลับมาสั่งบริวารของตน
คนของสำนักดาบหมิงเจี้ยนแยกตัวออกเป็น
2 แถว ดูคล้ายๆกับแถวต้อนรับเกียรติยศ ปล่อยให้เกี้ยวของมู่หรงหยุนชูผ่านไปตรงกลางราวกับนางเป็นฮองเฮา
“คุณหนู ท่านได้รับความเคารพที่ยิ่งใหญ่นัก”
ลู่จีเดินหัวเราะคิกคัก
“ไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดราวกับกองทัพฮ่องเต้มาคารวะเราหรอก”
มู่หรงหยุนชูไม่รู้สึกยินดีไปด้วย
เหตุการณ์ไร้สาระบนสะพาน
แม้จะเป็นเรื่องเข้าใจผิด ทว่าสามวันต่อมา มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วเมืองจิงหลิงว่า มู่หรงหยุนชูพยายามไปชิงตัวเจ้าบ่าว
ฟางหงเฟยบนสะพาน
“คุณหนู
ต้องเป็นฝีมือคนของสำนักดาบหมิงเจี้ยนแน่เลยเจ้าค่ะที่แพร่ข่าวลือนี้” ลู่จีกล่าว
“อืม” มู่หรงหยุนชูคิดว่าฟางหงเฟยชักทำตัวเป็นอันธพาลมากเกินไปแล้ว
“ฟางหงเฟยต้องโกรธบ่าวมากแน่ๆเจ้าค่ะ เขาช่างชั่วช้าเลวทรามนัก”
“อืม”
“คุณหนู” ลู่จีถือเก็บหนังสือบนโต๊ะทั้งหมดไว้ในอ้อมแขนพลางก้าวถอยหลัง “ท่านเอาแต่อ่านหนังสือเงียบๆได้อย่างไรในเมื่อใครๆกำลังดูถูกท่านว่าเป็นหญิงขี้หึงหวง?”
มู่หรงหยุนชูชะงักวางพู่กันลง
“ข่าวลือนั่นจริงรึ?”
“แน่นอน...ไม่เจ้าค่ะ”
“แล้วเจ้าจะใส่ใจไปทำไม”
“เป็นเพราะข่าวลือนั้นผิดทั้งเพเจ้าค่ะ บ่าวอยากแก้แค้นให้คุณหนู
คุณหนูเป็นผู้บริสุทธิ์”
“เจ้าอยากแก้แค้นให้ข้าอย่างไร? ตัดลิ้นพวกเขารึ? ควักลูกตาพวกเขารึ? หรือตัดหัวพวกเขาดีเล่า?”
“คุณหนู...อย่าให้โหดเหี้ยมเพียงนั้นเลยเจ้าค่ะ”
“ลู่จี
เป็นเจ้าที่อยากแก้แค้นให้ข้าเองนะ”
“แต่บ่าวไม่ได้อยากทำร้ายร่างกายพวกเขานะเจ้าคะ”
ลู่จีกล่าวอธิบาย
“เช่นนั้น
เจ้าจะแก้แค้นให้ข้าอย่างไรดี?” มู่หรงหยุนชูถามขึ้น
“…” ลู่จีอับจนคำพูด
“วางหนังสือลงได้แล้ว แล้วไปเรียกพ่อบ้านมาพบข้าหน่อยสิ”
พลันพ่อบ้านวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องหนังสือพลางตะโกนขึ้น
“คุณหนู..มีปัญหาแล้วขอรับ”
“ปัญหาอันใดรึ?” มู่หรงหยุนชูพลันหรี่ตามอง
“คนพรรคมาร มา....”
พอได้ยินคำว่า ‘มาร’
หัวใจมู่หรงหยุนพลันเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ ตระกูลมู่หรงและพรรคมารไม่เคยเป็นศัตรูกัน
“มาทำอะไร?”
“พวกเขา...มา” พ่อบ้านผู้มีสีหน้าลำบากใจลังเลไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวว่า “เพื่อส่งเทียบสู่ขอคุณหนูแต่งงานขอรับ”
สนุกมากอ่าาชอบบบ
ตอบลบชอบอ่ะมันโดนจายย
ตอบลบชอบนางจัง สวยแบบเรื่อยๆ
ตอบลบชอบนางจัง สวยแบบเรื่อยๆ
ตอบลบ