“คุณหนู
ท่านถูกบังคับให้แต่งให้ประมุขพรรคโมเจี่ยวหรือเจ้าคะ?” ลู่จีถามมู่หรงหยุนชูด้วยความร้อนรน
“คล้ายๆจะอย่างนั้นนะ” มู่หรงหยุนชูสีหน้าไม่ยินดียินร้าย
“แต่ว่า.. ประมุขพรรคโม่เจี่ยวผู้นี้มีชื่อเสียงเลวร้ายนะเจ้าคะ เขาไม่ใช่คนดี”
“อืม...ข้า...ข้าต้องแต่งเพื่อกิจการ”
“แล้ว...มีอันใดรึ”
“พรรคโม่เจี่ยวเป็นพรรคมาร เป็นศัตรูตัวฉกาจ ของแคว้นเราและโลกยุทธภพนะเจ้าคะ”
“ทว่า..ฟางหงเฟยก็เป็นประมุขสำนักดาบหมิงเจี้ยนที่มีชื่อเสียงน้อยกว่า”
ลู่จีแข็งค้างไปชั่วขณะพลันถามขึ้น “คุณหนู
ท่านหมายความว่าไม่ทุกคนจากสำนักหมิงเจี้ยนเป็นคนดีและไม่ทุกคนจากพรรคโม่เจี่ยวเป็นคนเลวอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”
“อืม”
มู่หรงหยุนชูไม่ได้ข้องเกี่ยวกับการเมืองในโลกยุทธภพนัก ในฐานะคนนอกนางเคยได้ยินมาว่าประมุขพรรคโม่เจี่ยว
ชูจางเคอะไร้เมตตาและมีอิทธิพลสูง
แม้แต่บรรดาผู้นำยุทธจักรต่างๆ รวมทั้งผู้นำสำนักลัทธิเต๋า
ยังไม่กล้าต่อกรกับฉู่ฉางเกอเลย เพราะเหตุใดชายผู้ทรงอำนาจเช่นฉู่ฉางเกอถึงประสงค์จะแต่งงานกับนาง?” เพราะอำนาจรึ? ไม่นี่... ไม่มีศัตรูคนใดที่เขาเกรงกลัว หรือเพราะสถานะทางสังคมรึ เอก็ไม่...
เขาเป็นคนที่จะเลือกแต่งงานกับหญิงสาวจากตระกูลร่ำรวยและมียศศักดิ์คนใดก็ได้ เพราะเงินรึ
นี่อาจเป็นไปได้ถ้าเป็นเมื่อก่อน
เนื่องจากตอนนี้ตระกูลมู่หรงไม่ได้ร่ำรวยอู้ฟู่แล้ว เพราะความงามรึ? นางตรวจดูว่าผ้าเช็ดหน้าไหมยังคลุมปิดบังใบหน้านางอยู่ไหม
พลันใบหน้านางเปลี่ยนเป็นสีแดง
รู้สึกเขินอายจนอยากเอาหน้ามุดดินให้รู้แล้วรู้รอด คงไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะเคยเห็นใบหน้านาง ถ้าไม่....
อยู่ดีๆลู่จีก็ร้องขึ้น “คุณหนู ท่านทำสิ่งใดหายไปหรือเจ้าคะ? บ่าวจะช่วยหาให้ท่านเจ้าค่ะ”
“ข้าทำตุ้มหูข้างหนึ่งหายไป หากเจ้าหาพบ ข้ายกให้เจ้าเลย” มู่หรงหยุนชูยังคงเขินอาย รู้สึกเหมือนเป็นไข้ขึ้นมาเล็กน้อย นางจึงเดินกับเรือนพัก
“แล้วตกลงมันอยู่ที่ไหนหรือเจ้าคะ?” ลู่จีพึมพำขณะมองของไปรอบๆ
มู่หรงหยุนชูยกยิ้มขำและรู้สึกว่านางช่างโชคดีที่มีคนใช้โง่งมเช่นนี้
***********
ณ จวนหัวเฟิง หัวหน้าโม่ทิศทั้งสี่มารายงานความคืบหน้าต่อท่านประมุข
“แต่งเข้าตระกูลมู่หรงอย่างนั้นรึ?”
ฉู่ฉางเกอถามและระเบิดหัวเราะออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า...ทั่วหล้าคงหัวเราะเยาะข้าที่ลงทุนขนาดนี้”
“ฮูหยินชูกล่าวว่านางเป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูลมู่หรงจึงไม่สามารถแต่งเข้าตระกูลใดได้
“
หัวหน้าโม่ทิศพายัพสบตาท่านประมุขพลางเล่าว่า “ดูเหมือนท่านประมุขเราคงต้องแต่งเข้าตระกูลมู่หรงเองขอรับ”
“นางปฏิเสธการแต่งงานเข้าพรรคโม่เจี่ยวรึ?”
ใบหน้าของประมุขรูปงามพลันมืดครึ้มกล่าวน้ำเสียงเย็นชา “เพราะเหตุใด?” ชายหนุ่มหันหน้ากับมาอย่างรวดเร็ว
หัวหน้าทิศพายัพถอยหลังไป2ก้าวเพื่อให้ห่างจากผู้นำพรรคที่กำลังอารมณ์แปรปรวน “ฮูหยินชูไม่ได้กล่าวว่านางไม่ประสงค์แต่งให้นายท่าน หรือกล่าวว่านางจะไม่ยอมนอนร่วมเรียงเคียงหมอนกับนายท่าน”
“อันที่จริง ถือว่าเป็นข้อดีนะขอรับ ”หัวหน้าโม่ทิศทักษิณพยายามคลี่คลายบรรยากาศอันตึงเครียด
“นายท่านจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าของหมั้นไงขอรับ”
“นางคืนของหมั้นกลับมารึ?” ชูจางเคอะหรี่ตาพลางคาดคั้น “ข้าออกคำสั่งไปว่าอย่างไรก่อนทุกคนจะออกเดินทางไปตระกูลมู่หรง?”
“ทำให้ฮูหยินชูรับของหมั้นขอรับ!”
หัวหน้าทิศทั้งสี่กล่าวขึ้นพร้อมเพียงกัน
“เช่นนั้นแล้วเกิดอันใดขึ้น?”
“ฮูหยินชูรับปากว่าจะรับหมั้น....ข้าน้อยจะกลับและ...”
หัวหน้าโม่ทิศบูรพาเริ่มสติแตกพลางกล่าวตะกุกตะกัก
“ไม่ต้องพูดอีกแล้ว!” เสียงเฉียบขาดของฉู่ฉางเกอดังขึ้น
ฉู่ฉางเกอเคาะดาบอันคมปลาบที่วางอยู่บนโต๊ะอยู่ครึ่งค่อนวัน
ในขณะที่พวกหัวหน้าทิศทั้งสี่ยืนนิ่งขาแข็งเหงื่อแตก ในที่สุดท่านประมุขค่อยๆคลี่ยิ้ม “ไปเตรียมของหมั้นเดี๋ยวนี้”
หัวหน้าโม่ทิศทั้งสี่สำนึกถึงรอยยิ้มอันตรายบนใบหน้าท่านประมุขที่พวกตนคุ้นเคยดี พลันขนลุกพรึบ
พลางก้าวถอยหลังกลับไปอย่างพร้อมเพียงกัน อันที่จริงหัวหน้าทิศทั้งสี่อยากจะบอกเจ้านายว่า
ทางมู่หรงหยุนชูจะเป็นฝ่ายเตรียมของหมั้นมาให้ แต่ก็สายไปเสียแล้ว
เมื่อพวกเขาเห็นรอยยิ้มปีศาจบนใบหน้าของชายหนุ่ม ความกระตือรือร้นที่จะอธิบายพลันหายวับไปกับตา
“ท่านประมุขฉู่ ของหมั้นแบบใดที่นายท่านประสงค์จะให้พวกข้าน้อยเตรียมการขอรับ?” หัวหน้าทิศบูรพากล่าว
“เคยได้ยินเรื่องของขวัญสีแดง10อย่างหรือไม่?” ฉู่ฉางเกอมองกราดไปยังลูกน้องทั้งสี่คน
“เคยขอรับ ท่านประมุขชู” ทั้งสี่พยักหน้าพร้อมกัน
เมื่อพ้นสายตาชูจางเคอะแล้ว
หัวหน้าโม่ทิศพายัพจึงได้กล้าถามพรรคพวก “พวกเจ้าคิดว่าประมุขของเรามีท่าทางแปลกไปไหมวันนี้?”
“ใช่” หัวหน้าโม่ทิศทักษิณพยักเพยิดเห็นด้วย
“พวกเราทำให้นายท่านกลายเป็นเจ้าบ่าวที่แต่งเข้าตระกูลมู่หรงไปแล้ว ทว่า..นายท่านไม่ได้อารมณ์เสียแม้แต่น้อยเลย เขากลับมีโทสะตอนได้ยินว่าพวกเรานำของหมั้นกลับมาแค่นั้น แต่แล้วอารมณ์โกรธของนายท่านเปลี่ยนเป็นรื่นรมย์ ซ้ำนายท่านก็ไม่ลงโทษพวกเราอีกด้วย”
“นี่ไม่ใช่เรื่องปกติที่นายท่านทำตัวผิดปกติรึไง?” หัวหน้าโม่ทิศประจิมเหลือบมองคนที่เหลือ
“แล้วท่านคิดว่าเขาเกิดมาผิดปกติรึ?” หัวหน้าโม่ทิศพายัพโพล่งขึ้น
“ใช่ ตระกูลของนายท่านผิดปกติทั้งตระกูลนั่นแหละ”
“ข้าว่า เราควรกังวลว่าจะเตรียมของหมั้นไม่ทันมากกว่านะ”
หัวหน้าทิศบูรพาติงขึ้นพลางส่ายหัว
“ของหมั้นสีแดง10อย่างนั้นเตรียมการไม่ยากหรอก”
หัวหน้าทิศใต้กล่าวอย่างมั่นใจ
“ใช่ นายท่านร่ำรวยมหาศาลขนาดต่อให้ตรียมของหมั้นสีแดง100อย่างก็ไม่ส่งผลใดๆหรอก
พวกเจ้า” หัวหน้าทิศประจิมดวงตาเป็นประกายด้วยความดีใจ
“แต่ข้าว่า...ฮูหยินชูน่าจะชอบของหมั้นสีขาว10อย่างมากกว่านะพวกท่าน?” หัวหน้าทิศพายัพขมวดคิ้วเมื่อคิดใคร่ไตร่ตรองไปมา
“เจ้าคิดว่าเรากำลังเตรียมของขวัญงานศพอยู่รึไง?”
หัวหน้าทิศบูรพาส่ายหน้า “ท่านประมุขจะแต่งงาน
แน่นอนเราต้องเตรียมของหมั้นสีแดง10อย่างสิ นายท่านไม่ได้สั่ง เช่นนั้นแล้วเจ้าเป็นใครถึงได้คิดเหลวไหลเช่นนี้?”
หัวหน้าทิศที่เหลือต่างหัวเราะขึ้นพร้อมกัน
“พวกเราไปเตรียมของหมั้นสีแดง10อย่างกันเถิด”
หัวหน้าทิศบูรพาอดถอนหายใจไม่ได้
ที่พรรคโม่เจี่ยวเหตุใดรอบตัวเขาจึงมีแต่พวกโง่เง่านักนะ
ขณะที่หัวหน้าทิศทั้งสี่ทุ่มเถียงกัน ฉู่ฉางเกอได้ปรึกษาหารือกับหัวหน้าฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาเรื่องการจัดงานประลองยุทธ์สำหรับยุทธภพที่ใกล้จะมาถึงซึ่งจะจัดขึ้นวันที่15เดือน8ร่วมกับเหล่าพันธมิตรที่ไว้วางใจได้
“ท่านประมุขชู ท่านไม่กังวลรึที่ปล่อยให้พวกเขาจัดเตรียมของหมั้นรึขอรับ?”
หัวหน้าเซียงอดถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“พวกนั้นเป็นชายที่มีวรยุทธ์สูง”
หัวหน้าหยางช่วยกล่าวเสริม “แต่ขาดความฉลาดเฉลียว”
“เหตุใดนายท่านถึงปล่อยให้คนหนุ่มพวกนั้นจัดเตรียมของหมั้นล่ะขอรับ?”
หัวหน้าเซียงขมวดคิ้วมุ่น
“นายท่านพอจะรู้หรือไหมว่าสิ่งใดเป็นของหมั้นที่พวกเขาจะจัดเตรียมขอรับ?”
“ข้ากำลังคอยท่าว่าพวกเขาจะทำเรื่องยุ่งอันใดมากกว่า
หึหึ” ฉู่ฉางเกอยกยิ้มสบายใจ
หัวหน้าข้าไม่เข้าใจว่าเหตุอันใดฉู่ฉางเกอถึงอยากให้คนหนุ่มพวกนั้นทำของหมั้นเละเทะ ฉู่ฉางเกอเป็นประมุขที่มีพฤติกรรมผิดปกติจริงๆ
ฉู่ฉางเกอไม่กล่าวอันใดพลางเงยหน้ามองวิวทิวทัศน์ของภูเขาข้างหน้า ขณะที่เส้นผมยาวสยายของเขาปลิวสะบัดไปกลับสายลม ก่อให้เกิดภาพของบุรุษผู้หล่อเหลางดงามปานเทพเซียน หากบรรดาศิษย์พรรคโม่เจี่ยวไม่รู้ว่าเขาเป็นคนมีเลือดมีเนื้อ พวกเขาคงคิดว่าท่านประมุขสืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าเป็นแน่
ดอดมาแอบอ่านอย่างเงียบๆ แต่ให้รู้ว่าตามอ่านอยู่นะคะ55 สู้ๆ
ตอบลบ