วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา - บทที่ 32 ถ้อยคำน่ารังเกียจต่อหน้า

          เพราะว่าผู้คนทั้งหลายไม่คิดว่าเหลียนฟางโจวเด็กสาวผู้ผอมบางคนนี้จะกล้าหาญและเลือดร้อนเช่นนี้  ถึงกับอึ้งงันทันใด
          “ป้าใหญ่  ป้าสาม พวกท่านอย่าได้ทะเลาะเบาะแว้งกันเลย ยิ่งพวกท่านส่งเสียงดังเอ็ดตะโรเท่าใด  การทะเลาะจนทำให้เจ็บคอเอาได้  ไม่เกิดประโยชน์อันใดนอกจากเสียงอันแหบแห้ง  พวกเราเป็นสายเลือดตระกูลเดียวกัน  เหตุใดต้องสร้างปัญหาต่อกันเองเล่า เฮ้อ!  ป้าสาม พวกเราไปกันเถิด!”

          เหลียนฟางโจวหายใจเข้าลึกๆพลางกล่าวเสียงหนักแน่น
          “ใครอยาก..” ฮูหยินเฉียวสีหน้าซีดเผือดจ้องเขม็งเกือบจะโพล่งออกมาว่า “ใครอยากให้เจ้าเข้ามาสอดกัน”  ทำให้คนผู้หนึ่งจ้องตานางให้หุบปากโดยพลัน  นางจึงชะงักและรีบเปลี่ยนเป็นกระแอมออกมา “อะแฮ่ม”
          เหลียนเสี่ยวม่านส่งสายตาค้อนให้กับการกระทำของฮูหยินเหลียว สีหน้าดูแคลนฉายชัด  แค่นเสียงเฮอะออกมาเบาๆ  ทำให้ใครบางคนได้ฟังแล้วรู้สึกยะเยือกขึ้นมาเล็กน้อย
          “ถูกต้องแล้ว  ตามที่ฟางโจวพูดมาก กล่าวได้ถูกต้องแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปเถิด!”  เหลียนลี่โพล่งออกมาเสียงดัง
          เหลียนฟางโจวเหยียดมุมปากขึ้นเล็กน้อย คนบางคนช่างไม่รู้เลยว่าตนเองหน้าหนาหน้าทนขนาดไหน  เมื่อเห็นลุงลี่กล้าเปิดปากขึ้นอีกรอบโดยไม่มีใครคาดคิด
          ยามนี้ชาวบ้านทั้งหลายต่างคืนสติกลับมาในที่สุด  พูดคุยถกเถียงกันยกใหญ่  เนื้อเรื่องที่คุยกันครานี้ได้เพิ่มหัวข้อใหม่เข้ามา  ว่าเด็กสาวสกุลเหลียนคนนี้ ช่างเก่งกล้าสามารถยิ่งนัก!
          ผู้คนต่างแยกย้ายไปกันไปมากแล้ว  ฮูหยินเฉียวโกรธเคืองเหลียนฟางโจวแทบทนไม่ไหว   นางเชื่อว่าเหลียนฟางโจวได้ไตร่ตรองไว้ก่อนหน้าแล้ว  เด็กสาวคอยเวลาจนกระทั่งแลเห็นนางตบตีอยู่กับน้องสาวสามีอย่างหนักหน่วง  สองพี่น้องจึงได้เข้ามาสอดแทรก  และจงใจทำให้คนมองว่าพวกนางที่เป็นผู้ใหญ่ทำสิ่งโง่งม   แล้วจึงเข้ามาเพื่อสร้างภาพลักษณ์ตัวเองว่าเป็นคนดี
          เหลียนฟางโจวจู่ๆเข้ามาตะโกนเสียงดังโดยไม่คาดฝัน   แม้ว่านางกำลังหมกมุ่นอยู่กับการตบตีตรงหน้า  ขณะเดียวกันพวกนางก็อยากรู้ว่าจู่ๆเกิดอันใดขึ้น  นางและเหลียนเสี่ยวม่านจึงหยุดฟังเสียงตะโกนนั้น   นี่ไม่เท่ากับว่าตัวนางเองเชื่อฟังคำพูดของเหลียนฟางโจว
หรอกรึ?  แล้วนี่มันจะดีอย่างไรเล่า?!
          แม้ฮูหยินเฉียวกำลังจมจ่อกับความโกรธเคืองในตัวเหลียนฟางโจวอยู่  ทว่านางก็ยังนึกถึงพื้นเพนิสัยของเหลียนเสี่ยวม่านขึ้นมาได้  เช่นนั้นแล้วจึงจงใจพูดเสียงดังออกมาว่า “หลานฟางโจว  พวกเจ้าสี่พี่น้องขาดหัวหน้าครอบครัวคอยดูแล  ก็จงมอบเงินให้ป้าสามเป็นผู้ถือไว้ให้เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบแทนเถิด ในฐานะหัวหน้าครอบครัว!”
          เหลียนฟางโจวครุ่นคิด กับการกระทำของป้าเฉียวที่จงใจพูดออกมาต่อหน้าทุกคน  และป้าสาม   ครั้นแล้วในหัวของเด็กสาวสว่างวาบขึ้น  เข้าใจถึงจุดประสงค์ของป้าเฉียวแน่ชัดแล้ว  เธอต้องคิดหาวิธีพูดกับป้าสามให้กระจ่างเรื่องบทบาทและหน้าที่กันก่อน  ว่าใครเป็นหัวหน้าครอบครัว ใครเป็นแขก  ไม่เช่นนั้นป้าสามอาจเป็นผู้สร้างปัญหาขึ้นในภายหน้าเอาจริงๆ   เมื่อป้าสามได้ยินถ้อยคำของฮูหยินเฉียวย่อมต้องเกิดความปรารถนาขึ้นในใจขึ้นเป็นแน่
          เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว..เหลียนฟางโจวจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพออกมาดังๆว่า “ที่ป้าใหญ่เอ่ยมาไม่ใช่เหตุผลที่ดีเลยท่านจะทำให้หลานๆเสื่อมเสียขื่อเสียงได้เยี่ยงไรป้าสามย่อมมีครอบครัวของป้าสามเอง  แท้จริงแล้วนางวิ่งมาบ้านเกิดเพื่อมาจัดการเรื่องราวของครอบครัวตนเอง  ท่านจะทำให้ป้าสามถูกมองอย่างไรรึ?    ไม่ใช่ว่าเห็นว่าในภายหน้าเด็กสาวสกุลเหลียนจะต้องออกเรือนไป  เลยวิ่งกลับมาเพื่อมาครอบครองบ้านของครอบครัวหลานๆรึป้าสามเป็นคนผู้ที่มีเหตุมีผล  ย่อมไม่คิดฟุ้งซ่านไร้สาระเช่นท่านเป็นแน่!”
          ป้าจางตรงเข้ามาช่วยเหลียนฟางโจวพยุงเหลียนเสี่ยวม่านขึ้นด้วยกันจนเรียบร้อย  เมื่อได้ยินถ้อยคำของเด็กสาวจึงพยักหน้าพลางกล่าวว่า  “ฟางโจวพูดได้มีเหตุผลนักข้าเองก็ไม่เคยเห็นหญิงที่ออกเรือนไปแล้ว  จะเพิกเฉยต่อชื่อเสียงใดๆพี่เฉียวไม่ควรพูดออกมาเช่นนั้น!”
          ผู้คนต่างพยักหน้าเห็นพ้องด้วย  ว่าฮูหยินเฉียวไม่ควรกล่าวออกมาเลย
          ฮูหยินเฉียวได้แต่ยิ้มเยาะออกมาอีกครั้ง  ไม่ได้ตอบอันใด  นางรู้ว่าไม่จำเป็นที่นางต้องพูดอันใดต่อไปแล้ว  เพราะว่านางรู้ซึ่งถึงนิสัยของเหลียนเสี่ยวม่านดี!
          เหลียนเสี่ยวม่านได้ยินถ้อยคำของฮูหยินเฉียว  นึกสะดุดในใจ  นางมีความคิดฝันเรื่องการเป็นหัวหน้าครอบครัวเหมือนกัน  น่าเวทนายิ่งนัก   หลังจากสามีถึงแก่กรรม  ชีวิตทั้งชีวิตของภรรยาคนนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นผู้หญิงที่เอาแต่ทำงานบ้านเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะเป็นหัวหน้าครอบครัว  ทว่า..ยามนี้ไม่ใช่โอกาสอันดียิ่งหรือไรถึงแม้ว่าถ้อยคำของเหลียนฟางโจวจะทำให้นางรู้สึกอึดอัดอยู่บ้างก็เถอะ
          อย่างไรก็ดีครานี้นางก็ยังไม่กล้าคิดฝันมากนัก  เพราะว่าที่ผ่านมานางไม่เคยดูดำดูดีสี่พี่น้องเหลียนเลย  ทว่า..ทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับตัวนางเอง  เนื่องจากเหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อ  หลานๆที่น่ารักนี้  เป็นฝ่ายวิ่งเข้ามาหานางเองอย่างให้ความเคารพ  ในภายภาคหน้าสิ่งที่นางพูด  พวกเขาจะไม่รับฟังได้รึ?
          ครั้นแล้วเหลียนเสี่ยวม่านจึงถ่มน้ำลายลงพื้น  พลางเอ่ยเสียงเย็นชา “นางช่างชอบสร้างปัญหาร้าวฉานให้ใครต่อใครเสียจริง  หนำซ้ำยังเจ้าเล่ห์จิตใจสกปรกนักพวกเราไปกันเถิด!”
          “ดี!” เหลียนฟางโจวพยักหน้า  สองพี่น้องเดินจากไปพร้อมกับเหลียนเสี่ยวม่าน และป้าจาง
          ช่วยไม่ได้ สิ่งที่นางต้องพูด  นางก็ได้กล่าวออกไปแล้ว หากป้าสามคิดฟุ้งซ่านไปเอง  อย่าได้มาต่อว่านางว่าทำให้หญิงผู้นี้ทรยศก็แล้วกัน
          สักครู่ทุกคนก็มาถึงบริเวณลานบ้าน  ป้าสามมองบ้านซึ่งได้รับการบูรณะซ่อมแซมเสร็จสมบรูณ์แล้ว  สนามในลานบ้านเก็บกวาดได้เป็นระเบียบและสะอาดสะอ้าน  อดดวงตาเป็นประกายวับขึ้นมาไม่ได้  นางแย้มยิ้มกล่าวประโยคพออกพอใจออกมา “ดี  บ้านนี้น่าอยู่จริงๆ!”
          เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อต่างมองหน้ากัน  เหลียนเซ่อขมวดคิ้วแน่น   เหลียนฟางโจวส่งสายตากลายๆให้เหลียนเซ่ออดทนอีกนิด  เหลียนเซ่อไม่ได้กล่าวอันใดออกมา  ได้แต่กระพริบตาปริบๆ
          “ข้าคงไม่เข้าไป  คงต้องขอตัวก่อน พอดีมีเรื่องที่ต้องกลับไปสะสางด้วย!”  ป้าจางรู้สึกมืดครึ้มขึ้นในหัวใจ  เหลียนเสี่ยวม่านคนนี้เก่งจริงๆ  ในใจมีบาดแผลแต่กลับลืมความเจ็บปวดได้ง่ายนัก  ถ้อยคำขอบคุณแม้สักครึ่งคำ  นางยังไม่เคยกล่าวออกมาเลย  เอาแต่มองบ้านช่องคนอื่นตาเป็นมัน  น่าเวทนาสี่พี่น้องเหลียนยิ่งนัก  ช่างมีชะตากรรมที่โหดร้ายอะไรเยี่ยงนี้!
          อย่างไรก็ดี อุปสรรคปัญหาอื่นๆ ที่จะเข้ามาในภายหน้า ป้าจางจะหาวิธีช่วยได้แค่ไหนนะ    นี้คือเรื่องของครอบครัวเหลียนเอง  ป้าจางคงได้แต่ทำใจเตรียมพร้อมคอยช่วยเหลือตามจำเป็นเท่านั้น
          การเข้าไปก้าวก่ายเรื่องราวภายในของครอบครัวผู้อื่น  ไม่ว่าอย่างไรถือเป็นเรื่องต้องห้าม
          “ป้าจางขากลับเดินดีๆนะ!”  เหลียนฟางโจวยิ้มส่งอย่างซาบซึ้งในน้ำใจ  ครั้นแล้วเมื่อหันมาทางเหลียนเสี่ยวม่าน  เด็กสาวก็เอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ “ป้าสาม  ท่านช่วยไปส่งป้าจางให้ข้าสักหน่อยเถิด!
          ป้าจางกำลังจะเปิดปากเอ่ยว่า  “ไม่ต้อง”  แต่เมื่อเห็นเหลียนฟางโจวส่งสายตาเป็นสัญญาณกลับมา  นางเลยจำต้องหุบปากลง
          เหลียนเสี่ยวม่านขมวดคิ้วเล็กน้อย  แสดงทีท่าไม่เต็มใจ  เหลียนฟางโจวซึ่งเป็นคนรุ่นหลานมาสั่งนางเช่นนี้  ทำให้นางอึดอัดใจมาก
          อย่างไรก็ดีนางเป็นญาติผู้ใหญ่  ป้าจางวันนี้ได้ช่วยนางเอาไว้จริงๆ  หากผู้ใหญ่คนนี้สามารถแสดงความขอบคุณและไปส่งผู้อื่นด้วยตนเองก็นับว่าดีเยี่ยม กระมังเหลียนฟางโจวหลานสาวนางยังเด็ก  จึงคิดและแสดงออกตรงๆ  อาจดูไม่นิ่มนวลไปบ้าง
          เมื่อคิดได้เช่นนั้น  เหลียนเสี่ยวม่านจึงรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย   นางคลี่ยิ้มและยืนส่งจนป้าจางออกไปจากประตูรั้วบ้าน  ทว่านางก็ยังรู้สึกอึดอัดใจอยู่เล็กน้อย
          ป้าจางไม่รู้ไม่ได้พูดอะไรดี  นางจึงเพียงกล่าวอะไรเล็กน้อยตรงประตูในจังหวะที่จะก้าวออกไปจริงๆ  หลังจากนั้นเหลียนเสี่ยวม่านก็ถอนหายใจออกมา  แล้วรีบหันหลังกลับเข้าไปด้านใน
          เมื่อนางกลับเข้ามาในบ้าน  พบว่าบนโต๊ะมีอาหารตั้งเรียงรายอยู่
          พูดถึงอาหาร  มื้อนี้เป็นฟักทองหุงกับข้าว
          ฝ่ายน้องชายเหลียนเช่อ เห็นว่าพี่ๆออกไปกันนาน  ยังไม่ได้กลับเข้ามาเสียที  เมื่อเห็นว่าเริ่มมืดแล้ว  เขาจึงตัดสินใจล้างชิ้นฟักทองซึ่งเหลียนฟางโจวเอามาจนสะอาด  แล้วนำไปหั่นเป็นชิ้นๆ หุงพร้อมข้าว  ครานี้อาหารสุกแล้ว
          “ป้าสาม  มากินอาหารด้วยกันเร็วๆเถิด!”  เหลียนฟางโจวเห็นนางเข้ามาครั้นแล้วจึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
          เหลียนฟางโจวมีท่าทีสุภาพมาก  ทว่าเพราะดูสุภาพเกินไป  ดังนั้นเหลียนเสี่ยวม่านจึงรู้สึกค่อนข้างไม่สบายใจแทน  นางจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ฮ้าย  เป็นคนตระกูลเดียวกัน  จะมาสุภาพอะไรหนักหนาภายหลังไม่ต้องมองข้าว่าเป็นคนนอกอีกนะ!”
          เหลียนฟางโจวเหลือบตามองนาง  ยังคงกล่าวต่ออย่างสุภาพยิ่งนักพลางยิ้ม “ทางเราไม่ได้มองว่าท่านเป็นคนนอก แม้ว่าจะเป็นคนสกุลเดียวกัน  ทว่าท่านคือป้าสาม!  ป้าสามก็ยังคงเป็นแขกของพวกเราอยู่ดี
          เหลียนเสี่ยวม่านเห็นตัวพวกเขาเองมีทีท่าที่ไม่หัวอ่อน แต่ก็ไม่หัวแข็ง   นางรู้สึกไม่ค่อยชอบใจขึ้นมาหนึ่งส่วน  ทว่านางรู้ว่านางไม่อาจตีฝีปากเอาชนะฟางโจวได้แน่  ครั้นแล้วจึงเพียงแต่ยิ้มและไม่พูดมากอีกต่อไป 
            เมื่อมองชามข้าวหุงฟักทองทั้งห้าชามบนโต๊ะ  เหลียนเสี่ยวม่านขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้นตรงๆ “โอ กินอาหารเบาๆเช่นนี้จะดีหรือ? ร่างกายพวกเจ้ายังต้องเติบโตอีกมาก  ต้องกินอาหารมีคุณค่าสิถึงจะดีต่อสุขภาพฟางโจว..เจ้าเข้าครัวไปทำผัดผักมาสักสองจานสิ  เซ่อเจ้าไปช่วยจุดไฟในเตาให้ด้วยนะ!”
--------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์และการติดตามนะคะ  
อัพให้อีกตอนตามสัญญาค่ะ ^-^

14 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณค่ะป้าสามเริ่มออกลายละดูสิกินข้าวมื้อแรกนะป้าเริ่มสั่งแล้ว พี่น้องจะรับมืออย่างไรกันนะ รอค่ะ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณจ้าไรท์ ตอนนี้รู้สึกเกลียดป้าสามและญาตินางเอกทุกคนเลย แต่ดีใจอ่ะจะได้เจอพระเอกแล้ว

    ตอบลบ
  3. เห็นป้าสามมานั่งในบ้านก้นยังไม่อุ่นก็สั่งทำกับข้าวแล้ว ของขึ้นเลยค่ะ ยังไงนางก็คืองูพิษซินะ พระเอกคิวทองขา. โปรดออกมาได้แล้ว

    ตอบลบ
  4. ไม่ทันไรออกลายแล้วเรอะป้าสาม

    ตอบลบ
  5. ระหว่างป้าสามกับป้าใหญ่ ดูท่า ใครก็ไม่ดีทั้งนั้น แต่คุณผู้แปลก็แง้บๆบอกไว้หน่อยแล้วว่ามีคนดีกับคนที่ร้ายเสมอมา ช่วยบอกต่ออีกหน่อยสิคะว่าเป็นใคร ไม่งั้นคงระแวงตลอดแหงเลย กลัวเชียร์ผิดคนจริงจรี๊งงงงง

    ตอบลบ
  6. ป้าช่างไม่รู้อะไรเลยนะ หึ

    ตอบลบ
  7. ปวดหัวแท้ เจอญาติแบบนี้

    ตอบลบ
  8. ป้าสามไม่รู้จักบุญคุณเลยสงสารแต่เด็กๆ

    ตอบลบ
  9. เฮ้ย..แค่นั่งก็เริ่มเผยสันดานเสียแล้ว
    น่าหนักใจเสียจริงเจอคนแบบนี้

    ตอบลบ
  10. เหนื่อยแทนเจอญาติแบบนี้
    เชือดนิ่มๆๆๆเอาให้รู้สำนึกซะบ้าง
    เป็นแค่แขกทำตัวแบบนี้คงอยู่นานหรอก
    ไปไหนเขาก็รังเกียจไม่รู้ตัวเลยหรือไง
    สัน..

    ตอบลบ
  11. เหมือนเอางูพิษเข้ามาอยู่ในบ้าน

    ตอบลบ
  12. พลาดแล้วป้าสาม อย่าได้คิดมาออกคำสั่งกับพี่น้องสี่คนนี้เชียว ชะตาจะขาดไม่รู้ตัว

    ตอบลบ
  13. อาไร้ เพิ่งเข้าบ้านคนอื่นก็สั่งงานใช้งานเจ้าของบ้านแล้วเรอะ!!!

    ตอบลบ