วันอังคารที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2560

ภรรยาข้าผู้ร้ายกาจเจ้าเล่ห์ -บทที่ 21 ติดหนี้โดยไม่ยุติธรรม

         ตกกลางคืน ลมพัดแรงดังซ่าซ่า  พัดจนหน้าต่างดังตึงตัง  มีแนวโน้มว่าหน้าต่างบานใหญ่จะพังครืนในอีกไม่ช้า   เท่ากับเปิดโอกาสให้มีคนลักลอบเข้ามาด้านในเรือนได้ง่ายขึ้น  มู่หรงหยุนชูรู้สึกอย่างเลือนรางว่า  ที่พื้นไม้สนมีการโยกไหว  แม้มิได้ลืมตา  นางก็สามารถนึกภาพเรือนพักที่โยกเยกสั่นไหวดังเอี๊ยดอ๊าด  บนยอดหน้าผาอันโดดเดี่ยว   ช่างน่าเขย่าขวัญสั่นประสาทยิ่งนัก

            หน้าต่างที่เปิดอ้าออก   พาให้ลมหนาวยะเยือกพัดกรูเข้ามา  มู่หรงหยุนชูอดตัวสั่นระริกไม่ได้  ยามนี้เกือบจะถึงเดือนห้าแล้ว  ทว่าหุบเหวนี้ยังคงหนาวยะเยือกยิ่งนัก  ใต้หน้าผาเต็มไปด้วยหมอกหนาและลมพัดแรงอยู่โดยรอบ พระจันทร์สีเหลืองนวลกระจ่างลอยอยู่บนฟากฟ้า  ให้รู้สึกถึงเมฆหมอกพัดพาอยู่ในใจ  อย่างไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้
            มู่หรงหยุนชูสะดุ้งอย่างตื่นเต้นราวสองสามครั้ง และเริ่มเปิดปากหัวเราะ ไม่รู้ว่ากระโดดลงจากตรงนี้  จะเพิ่มความหรรษาให้หรือไม่
            มีกลิ่นหอมประหลาดจางๆลอยเข้ามาโดยฉับพลัน  และแล้วมีเสียงเลื่อนสลักประตูดังขึ้น มู่หรงหยุนชูได้ยินเสียงสั่นเบา  ปรากฏรอยย่นที่หัวคิ้ว
            “แอ๊ด...” เสียงประตูถูกผลักเปิดออก
            “บิดาเจ้าไม่ได้สั่งสอนหรือว่า ผู้ประเสริฐไม่ควรเข้าห้องผู้อื่นโดยไม่เคาะประตูเสียก่อน นี่เป็นธรรมเนียมพื้นฐานที่สุดเลยนะ? ด้วยเสียงที่ไม่ดังและไม่เบา  มู่หรงหยุนชูหันหน้าไปช้าๆ  ดวงตาเป็นประกายสุกใส  ยิ้มบางๆให้คนผู้นั้น
            ฝ่ายตรงข้ามไม่คาดว่านางไม่เพียงจะไม่ได้สลบเพราะสูดกลิ่นเข้าไปแล้ว  ซ้ำยังรอคอยอย่างเป็นปกติอยู่ที่นั่นมาสักพักแล้วด้วย  ท่าทางสบายอกสบายใจเรื่อยเฉื่อยยิ่งนัก  ผู้มาใหม่มองอย่างตกตะลึงไปสักครู่  แล้วจึงฟื้นสติคืนกลับมา  มองนางซึ่งอยู่ข้างหลังหน้าต่าง  พลางเอ่ยขึ้น “เดาว่าดวงท่านนับว่ายังดีอยู่
            “ดวงข้าย่อมดีมากอยู่แล้ว “ระหว่างเจรจา มู่หรงหยุนชูแอบวางมือซ้ายยันขอบหน้าต่างข้างหลังเงียบๆ  แม้ว่าลมจะพัดเอากลิ่นหอมประหลาดเข้ามามากมาย  ทว่านางสูดดมเข้าไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  เพราะฉะนั้นนางจึงรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง  โชคยังดี ที่สติสัมปชัญญะของนางยังคงแจ่มชัด
            มู่หรงหยุนชูโคลงศีรษะเบาๆ   ฉวยโอกาสที่มีแสงจันทร์ส่องรำไร  มองสำรวจฝ่ายตรงข้าม  เห็นเป็นเค้าโครงร่างของสตรี   ซ้ำยังเดินกระโผลกกระเผลก  เพราะว่ามือของสตรีผู้นั้นกำลังจับไม้เท้าคอยค้ำยันตัวเอาไว้  แม้ทัศนวิสัยไม่แจ่มชัด  ทว่าจากที่มอง  น่าจะเป็นสตรีสูงวัยคราวป้าอายุราว 40 ปี
            “ท่านผู้ประเสริฐมาเยือนเสียดึกดื่น  ไม่รู้ว่ามีกิจอันใด?” ดวงตาของหญิงสาวสว่างวาบขึ้น
            “อะแฮ่ม แน่นอนมาเอาชีวิตเจ้า”  ป้าผู้สวมหน้ากากเอ่ยอย่างชั่วร้าย
            “เช่นนั้น  เชิญลงมือได้”
            ป้าสวมหน้ากากมองนางอย่างประหลาดใจ ครั้นแล้วจึงแค่นเสียงออกมา “จะไม่ถามหรอกรึว่า ไฉนข้าต้องการสังหารเจ้า?”
            “หากถามแล้วเจ้าจะไม่สังหารข้า...ใช่หรือไม่?”
            “การสังหารเจ้าถือว่าไม่ผิด!”
            เมื่อได้ยินเช่นนั้น  มู่หรงหยุนชูคลี่ยิ้มจาง “แล้วไฉนข้าจะต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนด้วยเล่า?”
            ป้าสวมหน้ากากประหลาดใจ “เจ้าไม่กลัวตายหรอกรึ?”
            มู่หรงหยุนชูไม่เอื้อนเอ่ยอันใดอีก  นั่งนิ่งเงียบ  จิตใจสงบและปราศจากความกดดัน  ซ้ำยังรอคอยการจู่โจมจากฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย
            ป้าสวมหน้ากากลังเลไปชั่วขณะ  ครั้นแล้วจึงยันไม้เท้าเดินตรงเข้าไปหานางอย่างช้าๆ  สองตาจับจ้องมู่หรงหยุนชูตลอด  คอยระแวดระวัง  ไม่ให้หญิงสาวเล่นตุกติก
            ก้าวที่หนึ่ง  ก้าวที่สอง ก้าวที่สาม ก้าวที่สี่ ก้าวที่ห้า.. ฉับพลันนั้น ไม้เท้าเกิดลื่นไถล  ร่างทั้งร่างสะดุ้งเฮือกทิ้งตัวลงโดยไม่ทันจะได้มุ่งร้ายหมายชีวิต  ส่งผลให้เกิดเสียงลื่นล้มดังตึง  ป้าสวมหน้ากากพยายามพยุงตัวลุกขึ้น ทว่ามือและเท้ากลับลื่นไถลโดยไม่คาดคิด  จึงล้มกลิ้งลงไปอีกครา
            “เจ้า...”  ยังไม่ทันได้เปล่งคำพูดที่เหลืออกมา   ศีรษะของหญิงกลางคนถูกฟาดจนสลบไป
            ในห้องพลันมีแสงสว่างสาดขึ้นทันใด  ลู่เอ๋อร์  ในมือยกเก้าอี้ค้างอยู่  เอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “คุณหนู  บ่าวเก่งหรือไม่เจ้าคะ?”  นางลงมือด้วยความรวดเร็ว แม่นยำ และรุนแรง ในคราเดียว
            “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” มู่หรงหยุนชูถามขึ้น
            “คุณชายนี่บอกว่าเขาไม่อาจลงมือทุบตีสตรีได้เจ้าค่ะ
            มู่หรงหยุนชูเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง  ครั้นแล้วมองแท่งเทียนที่อยู่ถัดไปจากชายท่าทางแข็งแกร่งผู้หนึ่ง  พลางเอ่ยว่า “ช่างเป็นคนมารยาทดียิ่งนัก”
            นี่ฉิงกระแอมไอ หันมาทำสีหน้าองอาจกล้าหาญ
            “คุณหนู ท่านวางอะไรไว้บนผ้าปูเตียงเจ้าคะ?”  ลู่เอ๋อร์มองเตียงที่มีผ้าปูเตียงคลุมอยู่   สิ่งนี้ทำให้ป้าสวมหน้ากากลื่นไถล  จึงเอ่ยถามขึ้น
            “น้ำแข็ง”
            “แน่นอนในฤดูนี้ จะมีน้ำแข็งได้อย่างไร?”  มิหนำซ้ำ คุณหนูหาได้ออกไปนอกห้องไม่!
            นี่ฉิงรู้สึกอยากรู้มากว่า  นางไปเอาน้ำแข็งมาได้อย่างไร  คราแรกนางให้เขาถือเก้าอี้ไว้  พร้อมกับซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด  รอเวลาลงมือ เขาคิดว่า  ตัวเองคงต้องประมือกับศัตรูเป็นแน่  ไม่คิดว่าจะชนะโดยไม่ต้องลงมือเลย
            มู่หรงหยุนชูค้อมศีรษะเล็กน้อย เอ่ยทั้งๆที่รู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวและเหนื่อยล้า  “บนภูเขาอุณหภูมิต่ำมาก จะมีน้ำแข็งเกิดขึ้นย่อมไม่แปลกอันใด  “หน้าต่างเปิดออกสู่หน้าผา  ลมหนาวเย็นยะเยือกขนาดนี้  ย่อมทำให้คนแข็งตายได้  ยาสลบที่ได้รับเข้าไปเพียงเล็กน้อยนั้นเริ่มส่งผลกระทบมากขึ้นๆเรื่อยๆ  จนนางอยากจะล้มตัวลงนอนหลับเสียเดี๋ยวนี้แล้ว  ขณะที่กำลังเตรียมการสำหรับการลงมือในยามค่ำคืนอยู่นั้น  นางเอาผ้าปูเตียงเปียกๆผูกกับเชือกยาว และหย่อนลงไปในหมอกหนาทึบนอกหน้าต่าง  เพียงสองเค่อเท่านั้น  ผ้าปูเตียงก็เต็มไปด้วยน้ำแข็งเกาะพราวเต็มไปหมด  จากนั้นนำไปปูบนพื้น  แล้วโรยทับด้วยขี้เถ้าบางๆอีกครั้ง  เพื่อพรางตาให้ดูเหมือนเป็นพื้นห้องธรรมดา  ซึ่งนางไม่จำเป็นต้องอธิบายผู้ใดได้ล่วงรู้
            “พวกเจ้าไม่ได้รับพิษบ้างเลยรึ ?”  นางรู้สึกตัวหนักมากจนกระทั่งแทบไม่สามารถขยับเขยื้อนได้  ซึ่งทำให้หัวใจนางเต้นเหนื่อยหอบ
            “ไม่ อา...” ลู่เอ๋อร์ สาวรับใช้ส่ายหัว นี่ฉิงบอกด้วยว่าไม่เคยได้ยินชื่อพิษนี้มาก่อนด้วย
            ดูเหมือนนางโชคไม่ดี   ไม่ควรยืนตรงหน้าต่าง  มู่หรงหยุนชูเอานิ้วมือคลึงหว่างคิ้วอย่างเหนื่อยอ่อน  มองป้าสวมหน้ากากที่นอนอยู่บนพื้น  เอ่ยขึ้น “ช่วยหาเชือกมามัดนางไว้ด้วย  ลองสาดน้ำปลุกให้นางตื่นขึ้นมา จะได้ทำการสอบปากคำ”
            หญิงสาวกล่าวยังไม่จบดี   พลันได้ยินเสียงฝีเท้าคนตรงดิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว  ครั้นแล้วปรากฏร่างชายรูปลักษณ์แปลกประหลาดสามคนบุกเข้ามาในห้อง
            ยังไม่จบเรื่องอีกรึ มู่หรงหยุนชูถอนหายใจออกมา  ฝืนใจถามขึ้น “เจ้าสามคนต้องการจะมาเอาชีวิตข้าหรือไร?”
            ชายสามคนต่างมองหน้ากันและกันด้วยสายตาว่างเปล่า  ทั้งสามต่างตกตะลึงไปพักใหญ่  ชายวัยกลางคนตัวเล็ก  มีเขาสัตว์ยาวๆอยู่บนหัวใกล้ๆหูข้างขวา  รู้สึกประหลาดใจ พลางตกใจถามขึ้น “เจ้าเป็นอย่างไร..”  เพึ่งจะเอ่ยได้เพียงไม่กี่คำ   พลันสายตาเหลือบไปเห็นพรรคพวกคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่พื้น  จึงตะโกนขึ้นทันที “พี่สาว!”  เขาร้องเตือนชายอีกสองคน  จนเห็นป้าสวมหน้ากากที่นอนสลบบนพื้น  ทั้งสามคนจึงเตรียมจับอาวุธเพื่อเข้าต่อสู้
            ยามนี้นี่ฉิงกำลังทำการมัดตัวเชลยอยู่  พอเห็นเช่นนั้น นี่ฉิงผู้นี้จึงโยนเชือกทิ้งไป  ใช้มือกำรอบคอป้าที่สวมหน้ากากแทน  มองฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาเย็นชา  ส่งสายตาเป็นนัยว่า  หากกล้าก้าวเข้ามา ข้าจะบีบคอนางจนตาย
            เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า มู่หรงหยุนชูมีสีหน้าพึงพอใจ “ข้าเกรงว่าเขาจะไม่สังหารสตรีหรอกนะ
            เส้นเลือดบนขมับนี่ฉิงปูดโปน  เต้นตุบๆ  ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมาจากปากชายหนุ่ม
            “ได้โปรดไว้ชีวิตพี่สาวข้าด้วย  ข้าอูฐที่สาม  ขอให้ท่านโปรดยกโทษให้นางด้วย  อย่าได้สังหารนางเลย!”  ชายคนหลังค่อมตะโกนเสียงดัง
            มู่หรงหยุนชูยกยิ้มขึ้น หัวเราะเสียงเบา  พอจะเปิดปากพูด  เพียงแค่คิด  พลันรู้สึกวิงเวียนมึนงง  ดวงตาเริ่มสั่นระริกขึ้นทันใด
            “คุณหนู ได้โปรดนั่งลงเจ้าค่ะ”  ลู่เอ๋อร์รีบเลื่อนเก้าอี้ให้นายสาว
            มู่หรงหยุนชูเหลือบมองสาวใช้ของตนเอง  ครั้นแล้วจึงนั่งลงช้าๆ คลี่ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ไม่ทราบว่าข้ามู่หรงหยุนชูไปขัดแข้งขัดขาพวกเจ้าทั้งสี่ตั้งแต่เมื่อใด  พวกท่านทั้งสี่ถึงได้วุ่นวายมาหาข้ากลางดึก  เพื่อมาคุกคามเอาชีวิตข้าเช่นนี้”
            “เพราะมีเจ้าและความเกลียดชังในใจของเรา  สองประการนี้แหละ  ที่ทำให้เกิดความแค้นเคืองขึ้นมาง่ายๆ!  ชายผู้มีตาข้างเดียวเอ่ยขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว
            “เช่นนั้น นั่นเป็นไปได้อย่างไร”  มู่หรงหยุนชูยังคงแย้มยิ้ม ราวกับสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิที่พัดมาเบาๆอย่างอ่อนโยน  หาได้มีอันตรายต่อผู้คนไม่ “ศัตรูของตัวข้านี้มีมากมายเหลือจะกล่าว  แค่ผ่านไปชั่วขณะก็ไม่อาจจดจำได้แล้ว  ไม่ทราบว่าสหายของเรามีนามว่ากระไร?”
            ลู่เอ๋อร์ยกแขนเสื้อขึ้นปาดเหงื่อ  เรียกคนที่เกลียดชังกัน ว่า สหายด้วยหรือ!”
            “คนประหลาดทั้งสี่แห่งเจียงโจว!”
            มู่หรงหยุนชูเลิกคิ้ว  นิ่งคิดสักครู่ จึงเอ่ยขึ้น “เอ่อ  รู้สึกว่าข้าไม่เคยได้ยินนะ
            ทำให้ชายผู้ที่มีตาข้างเดียว และ ชายหลังค่อมหันมามองหน้ากัน  พลางขบกรามแน่น  มีเพียงชายที่มีเขาสัตว์ที่ยังสำรวมกิริยาไว้ได้  เขาปรามคนทั้งสองที่เตรียมพร้อมจะออกอาวุธ  แล้วพูดขึ้นว่า “แม่นางมู่หรงหาได้เป็นคนในยุทธภพ  คงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงสี่คนประหลาดแห่งเจียงโจว  ย่อมนับว่าเป็นเรื่องธรรมดา”
            มู่หรงหยุนชูได้ยินชายที่มีเขาสัตว์ขานเรียกนางว่า แม่นางมู่หรง รู้สึกชะงักเล็กน้อย  ครั้นแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าข้าและท่านผู้ประเสริฐหาได้มีความแค้นเคืองต่อกันไม่
            “ถูกต้อง ท่านและข้าหาได้แค้นเคืองกัน  หาได้เป็นศัตรูต่อกันไม่!  ทว่าเหลี่ยมมุมปูดโปนบนหัวของข้า เกิดจากฝีมือเขา ว่าที่สามีของเจ้า ฉู่ฉางเกอ และข้าก็เกลียดชังมุมนี้บนหัวข้านัก  นั่นเป็นเพราะเขาตัดมันออก!” เมื่อกล่าวประโยคสุดท้ายออกไปแล้ว  ชายผู้มีเขาสัตว์บนหัว ชี้ไปที่หูข้างซ้ายขณะที่บริเวณใกล้ๆหูข้างขวา มีเขาที่ดูสมดุลได้รูป
            มู่หรงหยุนชูปรายตามองหัวของเขา  สีหน้าเปิดเผย  เอ่ยด้วยความจริงใจ โดยหามีความละอายใจไม่ “ท่านไปต่อว่าเขาอีกสิ  เขาจะได้ตัดเขาอีกข้างหนึ่งของท่านออก ดีหรือไม่?”
            ชายผู้มีเขาสัตว์บนหัวกำลังเริ่มมีโทสะเข้าแล้ว  พลันได้ยินนางพูดต่อไปว่า  “จริงๆแล้ว การมีเขาเหลือไว้เพียงข้างเดียว ย่อมทำให้ดูเด่นไม่เหมือนใครดีนะ “  เขารู้สึกใบ้กินไปทันที  ผู้หญิงคนนี้สมองดูท่าจะมีปัญหาเป็นแน่  แม่นางผู้นี้นะหรือที่ควบคุมร้านแลกเงินระดับแว่นแคว้นแห่งเมืองจินหลิง  ผู้นี้น่ะหรือที่ยกย่องชื่นชมกันนักว่า  เป็นผู้นำของตระกูลมู่หรงแห่งจวนมู่หรง  เป็นแม่นางตัวน้อยผู้นี้จริงๆไม่ผิดตัวแน่หรือ?  หรือพวกเขาจะมาหาผิดตัว....
            “ถึงอย่างไร ข้ากลับได้รับหนี้แค้นมาอย่างไม่ยุติธรรม  บุคคลที่เคยตัดเขาของเจ้าไปคือ ฉู่ฉางเกอ ท่านควรไปหาฉู่ฉางเกอเพื่อแก้แค้นสิ  ถึงจะถูกต้อง  ไม่ควรอ้อมค้อมจนมารบกวนข้า  มีแต่จะทำให้ถนนของการแก้แค้นยากลำบากขึ้น “ มู่หรงหยุนชูพยายามพูดจาเกลี้ยกล่อมไปหลายประโยค
            ชายผู้มีเขาบนหัวยังคงมีสีหน้าตะลึงงัน  และตระหนักชัดว่า  เขาคงเจอคนผิดตัวเป็นแน่แท้....
            “ก่อนวันที่ 15 เดือนแปด ฉู่ฉางเกอ จะอยู่พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมที่ตีนเขาวัดเส้าหลิน  ท่านสามารถไปค้นหาเขาที่นั่นได้”
            นี่นางกำลังชี้เบาะแสให้เขารึ....
            “ก่อนที่พวกท่านจะออกเดินทาง  โปรดส่งตัวเด็กสาวเฟิ่งหลิงคืนมาให้ข้าด้วย”
            เมื่อได้ยินคำพูดจากน้ำเสียงธรรมดาๆ  ชายผู้มีเขาบนหัวในที่สุดก็กลับพื้นอารมณ์มาสู่สภาวะปกติ “ใครคือหญิงสาวเฟิ่งหลิงผู้นั้นรึ?”
            ตอนกลางวันมีคนในพวกเจ้าจับตัวนางไปจากห้องติดกัน!” นี่ฉิงตวาดออกมา
            ชายผู้มีเขาบนหัวเอ่ยขึ้น “บุคคลที่พวกเราต้องการตัว  มีเพียงมู่หรงหยุนชูเท่านั้น  “  ถ้อยคำที่พูดมาหมายความว่าอันใด  เฟิ่งหลิงหลงหลิงใครกัน  เขาไม่มีกิจธุระอันใดกับคนเหล่านี้เสียหน่อย
            มู่หรงหยุนชูก้มหน้านิ่งไปสักครู่ ครั้นแล้วจึงเงยหน้าขึ้น พลางกล่าวว่า “นี่ฉิง ปล่อยคนซะ”
            “แต่แม่นางเฟิ่งหลิง....”
            “เฟิ่งหลิงไม่ได้อยู่ในมือพวกเขา”
            นี่ฉิงต้องการจะปฏิเสธ ทว่าเมื่อเห็นสายตากล้าแข็งที่จ้องกลับมา เขาจึงจำต้องยอมลงให้  ซ้ำยังปล่อยป้าสวมหน้ากาก  ให้กับชายประหลาดสามคนแห่งเจียงโจว   ด้วยสีหน้าไม่เต็มใจและผิดหวังนัก
            “แม่นางมู่หรงช่างปราดเปรื่องและกล้าหาญยิ่งนัก!”  ชายผู้มีเขาบนหัวเอ่ยด้วยความซาบซึ้งใจ
            มู่หรงหยุนชูพยักหน้าเบาๆ ยอมรับคำชมนั้น เอ่ยเสียงนุ่ม “ขอให้ภารกิจของท่านทั้งสี่จงสำเร็จในเร็ววัน”
            “แม่นางมู่หรงไม่กลัวว่าจะเป็นหม้ายหรอกรึ?”
            “ท่านผู้ประเสริฐ  ข้าต้องขอชี้แจงว่าฉู่ฉางเกอ เป็นเพียงว่าที่สามีเท่านั้น  เนื่องจากข้ายังไม่ได้แต่งงาน  หากเขาตาย ข้าย่อมแต่งให้กับคุณชายท่านอื่นได้  แล้วข้าจะกลายเป็นหม้ายได้เยี่ยงไร?”
            “ฮ่าฮ่าฮ่า...ฉู่ฉางเกอ  แม้แต่ฮูหยินท่านยังปิดประตู  ซ้ำยังไม่สนับสนุนท่าน นี้แหละคือผลกรรมตามสนอง!”  เสียงหัวเราะแหบห้าวดังขึ้น
            มู่หรงหยุนชูเอ่ยต่อ “ท่านทั้งสี่เมื่อพบฉู่ฉางเกอแล้ว รบกวนฝากคำพูดของข้าไปถึงเขาสักสองคำได้หรือไม่?”
            “โปรดบอกมาได้เลย”  ชายผู้มีเขาบนหัวน้อมรับอย่างกระตือรือร้น
            มู่หรงหยุนชูคลี่ยิ้มบาง  มองพวกเขาทั้งสามเงียบๆสักครู่ ครั้นแล้วปากอันแบบบางจึงเอ่ยขึ้น “ขอให้เขา...จงตระหนี่ให้มากขึ้น”
            ชายผู้มีเขาบนหัว รู้สึกสงสัยกับน้ำเสียงที่เปล่งออกมา  สีหน้าคล้ายกับเร่งเร้าให้สามีผู้ที่กำลังออกจากบ้าน ว่า ให้รีบกลับบ้านนะ’  ไฉนสิ่งที่เขาได้ยินคือ....
            **
            ณ โรงเตี๊ยมที่พักของคนประหลาดทั้งสี่  ชายหลังค่อมบ่นอย่างไม่พอใจนัก “พี่ชาย ไฉนไม่จับตัวมู่หรงหยุนชูเอาไปขู่ฉู่ฉางเกอเล่า?”
            ชายผู้มีเขาบนหัว “เจ้าไม่เห็นชะตากรรมของพี่สาวข้ารึ กว่าเราจะมาถึงตัวนางก็ช้าไปเป็นเค่อ  เราต่างก็เห็นชัดว่า  มู่หรงหยุนชูหาได้อ่อนแอดังข่าวลือไม่  เจ้าดูสินางคืนพี่สาวกลับคืนมาให้เราง่ายๆ   ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งจบ  นางมีท่าทางมั่นใจ  ไม่กลัวพวกเราแม้แต่นิด  นางเปิดเผยที่อยู่ของฉู่ฉางเกอให้เรารู้ด้วย  ซ้ำยังกุลีกุจอช่วยเหลือ  เราจะไม่ซื่อสัตย์ต่อนางได้อย่างไร?”
            “แหม พี่ชายพูดเสียเลิศลอยเชียว”
  **
            หลังจากคนประหลาดทั้งสี่จากไปแล้ว มู่หรงหยุนชูไม่มีแรงแม้แต่จะพูด  นางเดินตัวงอมาถึงห้องตรงข้ามพร้อมกับลู่เอ๋อร์  ด้วยต้องการอยากพักผ่อนเต็มแก่  ทว่าพอเดินไปได้เพียงครึ่งทาง  เป็นนี่ฉิงที่มีสีหน้าราวกับมาดักปล้นฆ่า พลันเอ่ยถามขึ้น “แล้วเฟิ่งหลิงเล่า จะทำอย่างไรกันดี?”
            “ไปดูที่ห้อง “ เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ มู่หรงหยุนชูปิดตา แล้วล้มตัวลงนอนทันที
            คุณหนู  ท่านนอนที่นี้ได้อย่างไร  แล้วข้าจะนอนที่ไดกันเล่าลู่เอ๋อร์ร้องในใจ ห้องคุณหนูไม่มีผ้าปูเตียง ห้องของเฟิ่งหลิงผู้ชาญฉลาด...ก็อัปมงคล  ทว่าห้องของคุณชายนี่...ลืมไปเลย  จริงแล้วๆก็นอนได้นี่

            และแล้วนี่ฉิงก็ยืนเงียบๆ  ด้วยน้ำตานองหน้า จับจ้องใบหน้ามู่หรงหยุนชูที่นอนหลับไปอย่างยาวนาน...นานมากๆ.....
 --------------------------------------------------------
 หายไปนาน  เพิ่งได้ฤกษ์อัพตอนต่อไปของเรื่องนี้ต่อ ต้องขออภัยผู้อ่านด้วยนะคะ
  สงสัยคงไม่มีใครติดตามแล้วมั๊ง ถ้ายังมีผู้ใดอยากอ่านต่อ   ขอเสียงด้วยนะคะ ^-^

4 ความคิดเห็น:

  1. ยังตามอยุ๋ครับแปลมาให้อ่านได้เลยๆเลยครับทั้ง2เรื่องนะครบั

    ตอบลบ
  2. ตามมาตลอดค่ะ เพียงแต่ไม่ส่งเสียงรบกวนใจที่ผู้แปลหายไป เข้าใจว่าคงมีธุระยุ่ง ว่างก็คงมาต่อให้ได้อ่านกันต่อไป
    ขอบคุณนะคะ

    ตอบลบ