วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา - บทที่ 72 คนรวยมักเอาแต่ใจ

           เขาต้องพกเงินสดสำรองติดตัว  เพื่อใช้จ่ายตามแต่สะดวก  ไหนเลยจะคอยหมั่นตรวจนับจำนวนเงินว่ามีเท่าใดเล่า?
            “แล้วสีของถุงใส่เงินเล่า...คือสีอันใด?  ลวดลายที่ปักบนถุงใส่เงินเป็นลวดลายอันใด?” เหลียนฟางโจวถามขึ้น

            ชุยเฉ่าซีเหลือบตามองหญิงสาว  เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนจะเป็นสีน้ำเงินเข้มนะ  ปักลวดลายเป็นรูปผลน้ำเต้าพร้อมใบไม้สีเขียว”
            เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว เหลียนฟางโจวจึงมอบห่อผ้าสัมภาระให้แก่บุรุษรูปงามผู้นี้  พลางเอ่ยว่า “ท่านจงโปรดตรวจนับดูก่อน  หากกลับไปแล้ว  พบว่ามีอันใดผิดพลาดขึ้นมา จะได้ไม่กล่าวโทษพวกเราว่าเป็นผู้กระทำ!”
            บ่าวรับใช้หนุ่ม เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เจ้าหมายความว่ากระไรระดับนายน้อยของสกุลเราจะเป็นคนเยี่ยงนั้นได้รึ!”
            “พูดมากไปแล้ว!” ชุยเฉ่าซีมองบ่าวรับใช้หนุ่มด้วยหางตา  มือใหญ่แก้ห่อสัมภาระอันหรูหราออกดู  มือหยิบตั๋วเงินขึ้นมาดูแบบผ่านๆ  แล้วจึงเปิดถุงใส่เงินออกสำรวจดูภายในอย่างตั้งอกตั้งใจ  สีหน้าครุ่นคิด  ครั้นแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มกับเหลียนฟางโจว “เรามาดูกันสิว่า มีอะไรขาดหายไป        ไหมน๊า!”
            บ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆเหยียดมุมปากยกขึ้นนิดๆ   คิดในใจว่า  สงสัยนายน้อยคงอยากตรวจรายการสิ่งของที่อยู่ในห่อสัมภาระให้กระจ่างแจ้งไปเลยเป็นแน่?
            เหลียนฟางโจวกับพวกหาใช่คนโง่งมตามืดบอดไม่   พวกเขาจะไม่สามารถมองออกได้หรือว่า  ใจจริงของนายน้อยผู้นี้ไม่ได้นึกอยากจะรู้จำนวนสิ่งของที่ถูกต้องตามที่แสดงออกมาเลย    สาเหตุที่กระทำเช่นนั้นคงแค่ต้องการทำประชดเหลียนฟางโจวเสียมากกว่า
            เหลียนฟางโจวคิดว่าบุรุษผู้นี้ช่างน่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก  เมื่อเห็นเขาไม่ได้ใส่ใจกับข้าวของเงินทองนัก  เธอจึงถอนหายใจออกมา   คนรวยส่วนมากมักเอาแต่ใจตนเอง! ใช่แล้ว!
            “ในเมื่อสิ่งของก็ได้กลับคืนสู่เจ้าของตัวจริงแล้ว  ถ้าเช่นนั้นพวกเราขอตัวก่อน!”  เหลียนฟางโจวค้อมศีรษะให้โดยพลัน
            “นี่” ชุยเฉ่าซีหยุดมือทันที  พลางร้องเรียกหญิงสาว  “หากครานี้ข้าบอกว่าข้างในห่อนี้มีของบางชิ้นขาดหายไปเล่าเจ้าจะทำเยี่ยงไร?”
            เหลียนฟางโจวปรายตามองเขา เอ่ยเสียงเรียบว่า “ตั้งแต่คราแรกที่ท่านกล่าวว่า  ท่านไม่แน่ใจกับจำนวนเงิน  นั่นย่อมแสดงว่าสัมภาระห่อนี้หาใช่ของท่านไม่เช่นนั้นพวกเราคงต้องส่งของเหล่านี้ให้กับทางการแทนเสียแล้ว!”
            ชุยเฉ่าซีตะลึงงัน  ซ้ำยังระเบิดหัวเราะออกมา
            ขณะที่เขากำลังหัวเราะอยู่นั้น  เหลียนฟางโจวกับพวกพ้องก็เดินจากไปแล้ว
            “หญิงบ้านนอกผู้นี้จะมาทำพูดจาเช่นนี้ไม่ได้นะ ในเมื่อห่อสัมภาระนี้เป็นของเราจริงๆ  ต่อให้นางถูกหลอกขึ้นมาจริงๆ  สุดท้ายจะยึดห่อสัมภาระกลับคืนไปได้หรือ?” บ่าวรับใช้หนุ่มพึมพำออกมา
            ชุยเฉ่าซีค้อนตาใส่เขา พลางเอ่ยว่า “ดูเจ้าจะเริ่มเข้าใจแล้วนี่! เด็กสาวผู้นี้ช่างเฉลียวฉลาดนัก!”
            ในใจของชุยอี้นั้น  ยากที่จะยอมรับ ริมฝีปากเหยียดขึ้น  พลางเอ่ย “บ่าวคิดไม่ถึงจริงๆ  ที่จริงแล้วบ่าวคิดว่านางเป็นแค่คนพูดมากเท่านั้น!”  จากนั้นจึงนิ่งชะงัก และเอ่ยว่า “นายน้อยเมื่อครู่ก่อน  ท่านควรให้เงินรางวัลแก่นาง  นางจะได้ไม่ดูถูกนายน้อยด้วย!”
            แม้ว่านับจากนี้ไปคงยากนักที่จะพบกันอีก  มิหนำซ้ำต่างคนต่างยังไม่รู้จักกันเลย  ทว่าชุยอี้ยังคงรู้สึกว่าได้เปิดช่องให้เหลียนฟางโจวดูถูกนายน้อยของตนเสียแล้ว  พลันให้รู้สึกไม่ใคร่สบายใจนัก
            “หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว!” ชุยเฉ่าซีเขกหัวเขาหนึ่งที พลางเอ่ยขึ้น  “จะให้ข้าให้สิ่งที่นางไม่อยากได้เนี่ยนะ!.....”  
            “นายน้อยทราบได้อย่างไรว่านางจะไม่อยากได้?” ชุยอี้แย้งขึ้นทันควัน “ของในห่อสัมภาระของนายน้อยมีมูลค่าหลายพันตำลึง  มิหนำซ้ำในนั้นยังมีขนซี่เตียว 2 ผืน ผ้าพับและถุงใส่เงิน  รวมแล้วมากกว่าหมื่นตำลึงเสียอีกนางเป็นแค่เด็กสาวธรรมดาๆ  เกรงว่าต่อให้เกิดอีกหลายชาตินางคงไม่มีทางได้เห็นเงินมากมายเช่นนี้อีกแล้ว  แมลงวันย่อมบินไปตอมขยะฉันใด  นางย่อมอยากได้ของผู้อื่นฉันนั้น!”
            ชุยเฉ่าซีชำเลืองมองบ่าวรับใช้ พลางเอ่ยว่า “มีคนบอกว่าเจ้าโง่เขลา  เจ้าก็ไม่ได้ดูโง่เขลาดังว่า!”
            “เช่นนั้น...แสดงว่าบ่าววิเคราะห์ได้ถูกต้องใช่หรือไม่ นายน้อย?” ชุยอี้ถามขึ้นดวงตาเป็นประกาย
            บ้าบอกันไปใหญ่แล้ว! ไปกันได้แล้ว อย่าได้เอาไปถามท่านลุงกับท่านป้าเชียวนะ ประเดี๋ยวพวกเขาจะหมดความอดทนเอา!” ชุยเฉ่าซีปรายตามองบ่าวรับใช้อย่างไม่สบอารมณ์  ในเวลาเดียวกันก็ขึ้นขี่ม้า กระตุกสายบังเหียน  ควบม้าออกไป
            เพียงไม่นาน  ชุยเฉ่าซีผู้เป็นนายและบ่าวชายก็ตามเหลียนฟางโจวกับพวกพ้องมาทันในที่สุด  ทันทีที่เจอกัน เขาดึงสายบังเหียนบังคับม้าให้วิ่งช้าลง  พลันวางมือข้างหนึ่งบนหน้าอก  ค้อมตัวให้กับคนทั้งสามทันใด  ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับจับจ้องเพียงเหลียนฟางโจว พลางหัวเราะออกมา  “ขอบใจมาก! ข้าแซ่ ชุย เรียกข้าว่า ชุยเฉ่าซี หากพวกเจ้าทั้งสามต้องการความช่วยเหลืออันใด ให้ไปที่ภัตรคารจุนเย่วในเมือง  แจ้งคนที่นั่น!”
            เมื่อกล่าวจบก็ค้อมหัวให้หญิงสาว  ไม่รอให้นางเอ่ยอันใดออกมา ก็รีบชักม้าควบออกไปอย่างรวดเร็ว  เพียงไม่นานก็หายลับไปกับตา เหลียนฟางโจวและพวกพ้องทั้งสามคนได้แต่มองตามตาปริบๆ
            “พี่ใหญ่ คนผู้นี้นี่ช่างเหลือเกิน จริงๆเลย..” เหลียนเซ่อไม่รู้ว่าจะบรรยายออกมาอย่างไรดี
            อาเจี่ยนอดเหลือบมองเหลียนฟางโจวไม่ได้  ไม่รู้ว่าไฉนในใจเขาจึงเกิดความรู้สึกไม่สบายใจเจือขึ้นมารางๆ  ชุยเฉ่าซี  ส่วนลึกในจิตใจรู้สึกไม่พอใจคนผู้นี้ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
            “ภัตรคารจุนเย่วรึ? ท่านจะไปตามหาเขาเพื่อขอความช่วยเหลือหรือไม่ดูเหมือนว่าหากแสวงหาความช่วยเหลือจากเขา  บางทีอาจจะช่วยคลี่คลายปัญหาลงไปได้โข!” อาเจี่ยนอดลองถามออกมาไม่ได้
            เหลียนฟางโจวโคลงศีรษะ พลางเอ่ย “พวกเราเก็บของคืนให้เขา  โดยลงแรงเพียงแค่เล็กน้อย   หากเป็นผู้อื่นบางทีอาจไม่กระดากใจที่จะขอความช่วยเหลือ  แต่สำหรับพวกเราคงยากที่จะเอ่ยปาก!”
            “อืม!”  อาเจี่ยนหัวเราะเบาๆ  “ ฮูหยินสกุลซู่ และแม่ของท่านมีความสนิทสนมแน่นแฟ้นกันมาแต่ก่อนเก่า  ฮูหยินสกุลซู่คงจะยอมให้ท่านเข้าพบเป็นแน่!”
            “ข้าก็หวังเช่นนั้น!” เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้มออกมา  ถึงแม้ยังไม่ค่อยกระจ่างนักว่า  ไฉนอาเจี่ยนจึงมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นทันใด
            ในระหว่างเดินทางพวกเขาล่าช้าเพราะประสบเหตุการณ์ไม่คาดฝัน   ดังนั้นกว่าทั้งสามคนจะไปถึงตัวเมืองก็เลยเที่ยงไปแล้ว  จากนั้นพวกเขาจึงหาร้านอาหารเพื่อกินมื้อกลางวันกัน  ซึ่งอยู่บริเวณริมถนนที่คึกคักจอแจ  พร้อมทั้งสอบถามที่ตั้งของจวนสกุลซู่เพื่อความสะดวกไปในตัว
            เมืองช่วงหลิวคล้ายเมืองยู่เหอ แต่ดูมีความเจริญมากกว่า  ในเมืองมีผู้คนอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก  แม่น้ำสองสายล้อมรอบเมืองเป็นรูปวงกลม  ได้แก่แม่น้ำหยางเหอ และแม่น้ำกวงหยาง  ชื่อของเมืองได้มาจากแม่น้ำทั้งสองสายนี้
            เป็นเพราะว่าเมืองนี้มีแม่น้ำถึงสองสาย  จึงยิ่งส่งเสริมให้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางการขนส่งของภาคตะวันตกเฉียงใต้   มีบริการการขนส่งทางน้ำที่เจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก  จึงส่งผลเมืองช่วงหลิวกลายเป็นเมืองที่คึกคักจอแจ
            คนทั้งสามสอบถามเรื่องราวของสกุลซู่  เจ้าของร้านเล่าให้ฟังว่า “จวนสกุลซู่น่ะรึ? อยู่แถวตรอกช่วงเหอทางตะวันออกของเมือง  นั่นคือสกุลที่ร่ำรวยมั่งคั่งที่สุดในเมืองช่วงหลิวของเราเลยนะคนในสกุลนี้ที่เจ้ามองหาทำงานตำแหน่งใด เป็นพ่อบ้าน หรือบ่าวรับใช้เล่า?”
            เหลียนฟางโจวถึงกับตกใจ  มิคาดว่าสกุลซู่นี้จะกลายเป็นตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดในเมืองนี้ไปได้!
            เธอนิ่งคิดชั่วครู่ แล้วจึงถามขึ้นว่า “สกุลซู่นี้มีฮูหยินสาวแซ่ฟางหรือไม่สกุลซู่มีนายท่านที่ยังหนุ่ม และนายหญิงที่ยังสาวหรือไม่?”
            เจ้าของร้านชำเลืองมองหญิงสาวด้วยสายตาแปลกใจ เอ่ยว่า ใช่แล้ว! สกุลซู่ที่มั่งคั่งร่ำรวยด้วยทรัพย์สินมหาศาลในตอนนี้   แต่ก่อนมีฐานะธรรมดา  นายท่าน และฮูหยินคู่สามีภรรยาแต่งงานกันจนมีนายน้อย และนายหญิงน้อยอย่างไรก็ดีนี้คือเรื่องราวเมื่อก่อนทว่าตั้งแต่นายน้อยแต่งแม่นางผู้หนึ่งเข้าไปในสกุล  ในปีที่สองก็คลอดบุตรชายอ้วนท้วนสมบูรณ์ให้กับสกูลซู่  และจนบัดนี้ทั้งสองมีบุตรชายสองคน  นายท่านสกุลซู่และฮูหยินดีใจยิ่งนัก  ทั้งสองเอ็นดูรักใคร่ลูกสะใภ้  ไม่เคยพูดจากล่าวร้ายฮูหยินน้อยนั้นให้ระคายเคืองแม้เพียงนิด!  เฮ้อ..ฮูหยินน้อยนั้นช่างโชคดีแท้  ได้ยินว่าพื้นเพมาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน  อุปมาเปรียบดังแมลงวันได้กลายร่างเป็นหงส์อันที่จริงก็ไม่น่าสงสัยนักหรอก  ฮูหยินน้อยท่านนี้ไม่เพียงยังสาว   ซ้ำยังให้กำเนิดบุตรชายกับสกุลซู่ถึงสองคน  มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลม  บริหารกิจการได้ย่างเชี่ยวชาญยิ่ง   กาลกลับกลายเป็นว่านายน้อย บุตรชายของนายท่านซู่ค่อยๆถอนตัวจากการควบคุมดูแล....”
            และแล้วก็แน่ใจได้แล้วว่าสกุลซู่ที่เหลียนฟางโจวต้องการเข้าพบ  คือสกุลซู่ที่เป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองช่วงหลิวนั่นเอง  เธอจึงยิ้มและกล่าวอำลาเจ้าของร้าน  ออกไปพร้อมกับอาเจี่ยนและเหลียนเซ่อ
            จากที่อยู่ตามที่เจ้าของร้านได้บอกคนทั้งสาม  ทำให้พวกเขามาถึงตรอกช่วงเหอในที่สุด  ยามนี้พวกเขาทั้งสามยืนอยู่หน้าประตูจวนสกุลซู่  ซึ่งเป็นบานประตูรั้วสูงใหญ่  ตรงทางเขามีสิงโตหินสองตัวนอนหมอบอยู่  ประตูบานใหญ่หนาหนักด้านหน้าทาสีแดงเคลือบเงา  ปิดสนิทแน่นหนา  มีห่วงสำหรับเคาะประตู  รูปหัวสัตว์หล่อด้วยทองแดงซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าหัวคนเสียอีก
            พื้นทางเข้าอันประณีตงดงามและกว้างใหญ่ไพศาล แผ่ออกไป ปูด้วยอิฐสี่เหลี่ยมสีเขียว  ดูสะอาดสะอ้านมาก ตกบ่ายแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่าง  ทำให้ยิ่งดูสดใสและสงบเงียบนัก

            คนทั้งสามเดินตรงเข้าไป  โดยอาเจี่ยนรับอาสาจับที่เคาะประตู  ทำการเคาะประตูด้านหน้าเบาๆ  เป็นนานกว่าประตูใหญ่หน้ามีเสียงแอ๊ดดังออกมา และเปิดอ้าออกกว้างน้อยกว่าครึ่ง  ผู้ที่ปรากฏตัวคือชายหนุ่มที่แต่งกายชุดบ่าวรับใช้  เขาปรายตามองคนทั้งสาม พลางถามขึ้น  “เจ้าทั้งสามคนต้องการมาพบใคร ในระหว่างที่พูด กิริยามารยาทของบ่าวผู้นี้ช่างสุภาพนอบน้อมมากจริงๆ 
   -------------------------------------------------------------------------
  ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ
  มีผู้อ่านบางท่านถามมาว่า ตัวละครใหม่นี้คือพระรองใช่หรือไม่  ก็เป็นตามนั้นค่ะ เพราะท่านแม่ทัพเริ่มเขม่นแล้วโดยไม่รู้ตัว ^-^

8 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณค่ะไรท์///เอาใจชว่ยฟางโจวให้ยืมเงินได้

    ตอบลบ
  2. เย้ ถึงแล้ว จะมีอุปสรรคอีกไหมนะ

    ตอบลบ
  3. ท่านแม่ทัพอัพเวลแล้วค่ะ มีเริ่มเขม่นนิดนึงโดยไม่รู้ตัว อัพจากเวลหนึ่งเป็นเวลสอง!

    ตอบลบ
  4. อาเจี่ยน รู้ตัวไหมว่าแอบหวง อิอิ คิดแล้วก็เขิน #จิ้นไปไกลแล้ว~~~
    รออ่านตอนต่อไปค่ะ มาอัพต่อไวๆ นะคะ~~

    ตอบลบ
  5. ก่อนแม่ทัพจะเขม่นใคร รบกวนพูดกับนางเอกให้มากกว่านี้หน่อยเถิด หรือค่าตัวแม่ทัพแพง

    ตอบลบ