เขาต้องพกเงินสดสำรองติดตัว เพื่อใช้จ่ายตามแต่สะดวก ไหนเลยจะคอยหมั่นตรวจนับจำนวนเงินว่ามีเท่าใดเล่า?
“แล้วสีของถุงใส่เงินเล่า...คือสีอันใด?
ลวดลายที่ปักบนถุงใส่เงินเป็นลวดลายอันใด?”
เหลียนฟางโจวถามขึ้น
ชุยเฉ่าซีเหลือบตามองหญิงสาว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนจะเป็นสีน้ำเงินเข้มนะ
ปักลวดลายเป็นรูปผลน้ำเต้าพร้อมใบไม้สีเขียว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว เหลียนฟางโจวจึงมอบห่อผ้าสัมภาระให้แก่บุรุษรูปงามผู้นี้
พลางเอ่ยว่า “ท่านจงโปรดตรวจนับดูก่อน หากกลับไปแล้ว
พบว่ามีอันใดผิดพลาดขึ้นมา จะได้ไม่กล่าวโทษพวกเราว่าเป็นผู้กระทำ!”
บ่าวรับใช้หนุ่ม
เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เจ้าหมายความว่ากระไร? ระดับนายน้อยของสกุลเราจะเป็นคนเยี่ยงนั้นได้รึ!”
“พูดมากไปแล้ว!”
ชุยเฉ่าซีมองบ่าวรับใช้หนุ่มด้วยหางตา มือใหญ่แก้ห่อสัมภาระอันหรูหราออกดู มือหยิบตั๋วเงินขึ้นมาดูแบบผ่านๆ แล้วจึงเปิดถุงใส่เงินออกสำรวจดูภายในอย่างตั้งอกตั้งใจ สีหน้าครุ่นคิด ครั้นแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มกับเหลียนฟางโจว “เรามาดูกันสิว่า
มีอะไรขาดหายไป ไหมน๊า!”
บ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆเหยียดมุมปากยกขึ้นนิดๆ คิดในใจว่า สงสัยนายน้อยคงอยากตรวจรายการสิ่งของที่อยู่ในห่อสัมภาระให้กระจ่างแจ้งไปเลยเป็นแน่?
เหลียนฟางโจวกับพวกหาใช่คนโง่งมตามืดบอดไม่ พวกเขาจะไม่สามารถมองออกได้หรือว่า
ใจจริงของนายน้อยผู้นี้ไม่ได้นึกอยากจะรู้จำนวนสิ่งของที่ถูกต้องตามที่แสดงออกมาเลย
สาเหตุที่กระทำเช่นนั้นคงแค่ต้องการทำประชดเหลียนฟางโจวเสียมากกว่า
เหลียนฟางโจวคิดว่าบุรุษผู้นี้ช่างน่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก เมื่อเห็นเขาไม่ได้ใส่ใจกับข้าวของเงินทองนัก เธอจึงถอนหายใจออกมา คนรวยส่วนมากมักเอาแต่ใจตนเอง! ใช่แล้ว!
“ในเมื่อสิ่งของก็ได้กลับคืนสู่เจ้าของตัวจริงแล้ว
ถ้าเช่นนั้นพวกเราขอตัวก่อน!” เหลียนฟางโจวค้อมศีรษะให้โดยพลัน
“นี่” ชุยเฉ่าซีหยุดมือทันที พลางร้องเรียกหญิงสาว “หากครานี้ข้าบอกว่าข้างในห่อนี้มีของบางชิ้นขาดหายไปเล่า?
เจ้าจะทำเยี่ยงไร?”
เหลียนฟางโจวปรายตามองเขา
เอ่ยเสียงเรียบว่า “ตั้งแต่คราแรกที่ท่านกล่าวว่า
ท่านไม่แน่ใจกับจำนวนเงิน นั่นย่อมแสดงว่าสัมภาระห่อนี้หาใช่ของท่านไม่! เช่นนั้นพวกเราคงต้องส่งของเหล่านี้ให้กับทางการแทนเสียแล้ว!”
ชุยเฉ่าซีตะลึงงัน ซ้ำยังระเบิดหัวเราะออกมา
ขณะที่เขากำลังหัวเราะอยู่นั้น เหลียนฟางโจวกับพวกพ้องก็เดินจากไปแล้ว
“หญิงบ้านนอกผู้นี้จะมาทำพูดจาเช่นนี้ไม่ได้นะ!
ในเมื่อห่อสัมภาระนี้เป็นของเราจริงๆ ต่อให้นางถูกหลอกขึ้นมาจริงๆ สุดท้ายจะยึดห่อสัมภาระกลับคืนไปได้หรือ?”
บ่าวรับใช้หนุ่มพึมพำออกมา
ชุยเฉ่าซีค้อนตาใส่เขา พลางเอ่ยว่า
“ดูเจ้าจะเริ่มเข้าใจแล้วนี่! เด็กสาวผู้นี้ช่างเฉลียวฉลาดนัก!”
ในใจของชุยอี้นั้น ยากที่จะยอมรับ ริมฝีปากเหยียดขึ้น พลางเอ่ย “บ่าวคิดไม่ถึงจริงๆ ที่จริงแล้วบ่าวคิดว่านางเป็นแค่คนพูดมากเท่านั้น!”
จากนั้นจึงนิ่งชะงัก และเอ่ยว่า “นายน้อยเมื่อครู่ก่อน ท่านควรให้เงินรางวัลแก่นาง นางจะได้ไม่ดูถูกนายน้อยด้วย!”
แม้ว่านับจากนี้ไปคงยากนักที่จะพบกันอีก มิหนำซ้ำต่างคนต่างยังไม่รู้จักกันเลย ทว่าชุยอี้ยังคงรู้สึกว่าได้เปิดช่องให้เหลียนฟางโจวดูถูกนายน้อยของตนเสียแล้ว พลันให้รู้สึกไม่ใคร่สบายใจนัก
“หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว!” ชุยเฉ่าซีเขกหัวเขาหนึ่งที
พลางเอ่ยขึ้น “จะให้ข้าให้สิ่งที่นางไม่อยากได้เนี่ยนะ!.....”
“นายน้อยทราบได้อย่างไรว่านางจะไม่อยากได้?”
ชุยอี้แย้งขึ้นทันควัน “ของในห่อสัมภาระของนายน้อยมีมูลค่าหลายพันตำลึง มิหนำซ้ำในนั้นยังมีขนซี่เตียว 2 ผืน
ผ้าพับและถุงใส่เงิน
รวมแล้วมากกว่าหมื่นตำลึงเสียอีก!
นางเป็นแค่เด็กสาวธรรมดาๆ
เกรงว่าต่อให้เกิดอีกหลายชาตินางคงไม่มีทางได้เห็นเงินมากมายเช่นนี้อีกแล้ว แมลงวันย่อมบินไปตอมขยะฉันใด นางย่อมอยากได้ของผู้อื่นฉันนั้น!”
ชุยเฉ่าซีชำเลืองมองบ่าวรับใช้
พลางเอ่ยว่า “มีคนบอกว่าเจ้าโง่เขลา
เจ้าก็ไม่ได้ดูโง่เขลาดังว่า!”
“เช่นนั้น...แสดงว่าบ่าววิเคราะห์ได้ถูกต้องใช่หรือไม่
นายน้อย?” ชุยอี้ถามขึ้นดวงตาเป็นประกาย
“บ้าบอกันไปใหญ่แล้ว!
ไปกันได้แล้ว อย่าได้เอาไปถามท่านลุงกับท่านป้าเชียวนะ
ประเดี๋ยวพวกเขาจะหมดความอดทนเอา!” ชุยเฉ่าซีปรายตามองบ่าวรับใช้อย่างไม่สบอารมณ์
ในเวลาเดียวกันก็ขึ้นขี่ม้า กระตุกสายบังเหียน
ควบม้าออกไป
เพียงไม่นาน ชุยเฉ่าซีผู้เป็นนายและบ่าวชายก็ตามเหลียนฟางโจวกับพวกพ้องมาทันในที่สุด ทันทีที่เจอกัน เขาดึงสายบังเหียนบังคับม้าให้วิ่งช้าลง พลันวางมือข้างหนึ่งบนหน้าอก ค้อมตัวให้กับคนทั้งสามทันใด ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับจับจ้องเพียงเหลียนฟางโจว พลางหัวเราะออกมา “ขอบใจมาก! ข้าแซ่ ชุย เรียกข้าว่า ชุยเฉ่าซี
หากพวกเจ้าทั้งสามต้องการความช่วยเหลืออันใด ให้ไปที่ภัตรคารจุนเย่วในเมือง แจ้งคนที่นั่น!”
เมื่อกล่าวจบก็ค้อมหัวให้หญิงสาว
ไม่รอให้นางเอ่ยอันใดออกมา ก็รีบชักม้าควบออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็หายลับไปกับตา
เหลียนฟางโจวและพวกพ้องทั้งสามคนได้แต่มองตามตาปริบๆ
“พี่ใหญ่ คนผู้นี้นี่ช่างเหลือเกิน
จริงๆเลย..” เหลียนเซ่อไม่รู้ว่าจะบรรยายออกมาอย่างไรดี
อาเจี่ยนอดเหลือบมองเหลียนฟางโจวไม่ได้ ไม่รู้ว่าไฉนในใจเขาจึงเกิดความรู้สึกไม่สบายใจเจือขึ้นมารางๆ
ชุยเฉ่าซี ส่วนลึกในจิตใจรู้สึกไม่พอใจคนผู้นี้ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ภัตรคารจุนเย่วรึ? ท่านจะไปตามหาเขาเพื่อขอความช่วยเหลือหรือไม่? ดูเหมือนว่าหากแสวงหาความช่วยเหลือจากเขา
บางทีอาจจะช่วยคลี่คลายปัญหาลงไปได้โข!”
อาเจี่ยนอดลองถามออกมาไม่ได้
เหลียนฟางโจวโคลงศีรษะ พลางเอ่ย “พวกเราเก็บของคืนให้เขา โดยลงแรงเพียงแค่เล็กน้อย หากเป็นผู้อื่นบางทีอาจไม่กระดากใจที่จะขอความช่วยเหลือ แต่สำหรับพวกเราคงยากที่จะเอ่ยปาก!”
“อืม!” อาเจี่ยนหัวเราะเบาๆ “ ฮูหยินสกุลซู่
และแม่ของท่านมีความสนิทสนมแน่นแฟ้นกันมาแต่ก่อนเก่า ฮูหยินสกุลซู่คงจะยอมให้ท่านเข้าพบเป็นแน่!”
“ข้าก็หวังเช่นนั้น!”
เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้มออกมา ถึงแม้ยังไม่ค่อยกระจ่างนักว่า
ไฉนอาเจี่ยนจึงมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นทันใด
ในระหว่างเดินทางพวกเขาล่าช้าเพราะประสบเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ดังนั้นกว่าทั้งสามคนจะไปถึงตัวเมืองก็เลยเที่ยงไปแล้ว จากนั้นพวกเขาจึงหาร้านอาหารเพื่อกินมื้อกลางวันกัน
ซึ่งอยู่บริเวณริมถนนที่คึกคักจอแจ พร้อมทั้งสอบถามที่ตั้งของจวนสกุลซู่เพื่อความสะดวกไปในตัว
เมืองช่วงหลิวคล้ายเมืองยู่เหอ แต่ดูมีความเจริญมากกว่า
ในเมืองมีผู้คนอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก แม่น้ำสองสายล้อมรอบเมืองเป็นรูปวงกลม ได้แก่แม่น้ำหยางเหอ และแม่น้ำกวงหยาง ชื่อของเมืองได้มาจากแม่น้ำทั้งสองสายนี้
เป็นเพราะว่าเมืองนี้มีแม่น้ำถึงสองสาย จึงยิ่งส่งเสริมให้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางการขนส่งของภาคตะวันตกเฉียงใต้ มีบริการการขนส่งทางน้ำที่เจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก จึงส่งผลเมืองช่วงหลิวกลายเป็นเมืองที่คึกคักจอแจ
คนทั้งสามสอบถามเรื่องราวของสกุลซู่ เจ้าของร้านเล่าให้ฟังว่า “จวนสกุลซู่น่ะรึ? อยู่แถวตรอกช่วงเหอทางตะวันออกของเมือง นั่นคือสกุลที่ร่ำรวยมั่งคั่งที่สุดในเมืองช่วงหลิวของเราเลยนะ! คนในสกุลนี้ที่เจ้ามองหาทำงานตำแหน่งใด
เป็นพ่อบ้าน หรือบ่าวรับใช้เล่า?”
เหลียนฟางโจวถึงกับตกใจ มิคาดว่าสกุลซู่นี้จะกลายเป็นตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดในเมืองนี้ไปได้!
เธอนิ่งคิดชั่วครู่
แล้วจึงถามขึ้นว่า “สกุลซู่นี้มีฮูหยินสาวแซ่ฟางหรือไม่? สกุลซู่มีนายท่านที่ยังหนุ่ม
และนายหญิงที่ยังสาวหรือไม่?”
เจ้าของร้านชำเลืองมองหญิงสาวด้วยสายตาแปลกใจ
เอ่ยว่า “ใช่แล้ว! สกุลซู่ที่มั่งคั่งร่ำรวยด้วยทรัพย์สินมหาศาลในตอนนี้ แต่ก่อนมีฐานะธรรมดา นายท่าน และฮูหยินคู่สามีภรรยาแต่งงานกันจนมีนายน้อย
และนายหญิงน้อย! อย่างไรก็ดีนี้คือเรื่องราวเมื่อก่อน! ทว่าตั้งแต่นายน้อยแต่งแม่นางผู้หนึ่งเข้าไปในสกุล ในปีที่สองก็คลอดบุตรชายอ้วนท้วนสมบูรณ์ให้กับสกูลซู่
และจนบัดนี้ทั้งสองมีบุตรชายสองคน นายท่านสกุลซู่และฮูหยินดีใจยิ่งนัก ทั้งสองเอ็นดูรักใคร่ลูกสะใภ้ ไม่เคยพูดจากล่าวร้ายฮูหยินน้อยนั้นให้ระคายเคืองแม้เพียงนิด! เฮ้อ..ฮูหยินน้อยนั้นช่างโชคดีแท้ ได้ยินว่าพื้นเพมาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน อุปมาเปรียบดังแมลงวันได้กลายร่างเป็นหงส์! อันที่จริงก็ไม่น่าสงสัยนักหรอก ฮูหยินน้อยท่านนี้ไม่เพียงยังสาว ซ้ำยังให้กำเนิดบุตรชายกับสกุลซู่ถึงสองคน
มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลม
บริหารกิจการได้ย่างเชี่ยวชาญยิ่ง กาลกลับกลายเป็นว่านายน้อย บุตรชายของนายท่านซู่ค่อยๆถอนตัวจากการควบคุมดูแล....”
และแล้วก็แน่ใจได้แล้วว่าสกุลซู่ที่เหลียนฟางโจวต้องการเข้าพบ
คือสกุลซู่ที่เป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองช่วงหลิวนั่นเอง เธอจึงยิ้มและกล่าวอำลาเจ้าของร้าน ออกไปพร้อมกับอาเจี่ยนและเหลียนเซ่อ
จากที่อยู่ตามที่เจ้าของร้านได้บอกคนทั้งสาม ทำให้พวกเขามาถึงตรอกช่วงเหอในที่สุด ยามนี้พวกเขาทั้งสามยืนอยู่หน้าประตูจวนสกุลซู่ ซึ่งเป็นบานประตูรั้วสูงใหญ่ ตรงทางเขามีสิงโตหินสองตัวนอนหมอบอยู่ ประตูบานใหญ่หนาหนักด้านหน้าทาสีแดงเคลือบเงา ปิดสนิทแน่นหนา มีห่วงสำหรับเคาะประตู รูปหัวสัตว์หล่อด้วยทองแดงซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าหัวคนเสียอีก
พื้นทางเข้าอันประณีตงดงามและกว้างใหญ่ไพศาล
แผ่ออกไป ปูด้วยอิฐสี่เหลี่ยมสีเขียว ดูสะอาดสะอ้านมาก ตกบ่ายแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่าง ทำให้ยิ่งดูสดใสและสงบเงียบนัก
คนทั้งสามเดินตรงเข้าไป โดยอาเจี่ยนรับอาสาจับที่เคาะประตู ทำการเคาะประตูด้านหน้าเบาๆ เป็นนานกว่าประตูใหญ่หน้ามีเสียงแอ๊ดดังออกมา
และเปิดอ้าออกกว้างน้อยกว่าครึ่ง ผู้ที่ปรากฏตัวคือชายหนุ่มที่แต่งกายชุดบ่าวรับใช้ เขาปรายตามองคนทั้งสาม พลางถามขึ้น “เจ้าทั้งสามคนต้องการมาพบใคร” ในระหว่างที่พูด กิริยามารยาทของบ่าวผู้นี้ช่างสุภาพนอบน้อมมากจริงๆ
-------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ
มีผู้อ่านบางท่านถามมาว่า ตัวละครใหม่นี้คือพระรองใช่หรือไม่ ก็เป็นตามนั้นค่ะ เพราะท่านแม่ทัพเริ่มเขม่นแล้วโดยไม่รู้ตัว ^-^
ขอบคุณค่ะไรท์///เอาใจชว่ยฟางโจวให้ยืมเงินได้
ตอบลบเย้ ถึงแล้ว จะมีอุปสรรคอีกไหมนะ
ตอบลบมีแอบหึงด้วย
ตอบลบท่านแม่ทัพอัพเวลแล้วค่ะ มีเริ่มเขม่นนิดนึงโดยไม่รู้ตัว อัพจากเวลหนึ่งเป็นเวลสอง!
ตอบลบขอคุณค่าา^^
ตอบลบรอออออออออ
ตอบลบอาเจี่ยน รู้ตัวไหมว่าแอบหวง อิอิ คิดแล้วก็เขิน #จิ้นไปไกลแล้ว~~~
ตอบลบรออ่านตอนต่อไปค่ะ มาอัพต่อไวๆ นะคะ~~
ก่อนแม่ทัพจะเขม่นใคร รบกวนพูดกับนางเอกให้มากกว่านี้หน่อยเถิด หรือค่าตัวแม่ทัพแพง
ตอบลบ