วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2568

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 1151 ปะทะคารม

 

บทที่ 1151 ปะทะคารม

ฮองเฮากล่าวขึ้นอย่างเร่งรีบว่า "คำของไท่จื่อสมเหตุสมผลเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันอาจจะล่วงเกิน คำพูดนี้เดิมทีไม่ควรกล่าว! แต่หากทรงดำเนินการเรื่องนี้แล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ย่อมไม่เป็นผลดีต่อไท่จื่อเป็นแน่! ไม่แน่อาจมีคนตีความไปว่าฝ่าบาทเริ่มระแวงไท่จื่อก็เป็นได้! หม่อมฉันเห็นว่า คนที่อยู่เบื้องหลังการแพร่ข่าวลือนั้นต่างหากที่ควรถูกกำจัดให้สิ้น! ต้องลากตัวออกมาลงโทษให้ได้เพคะ!"

เจี้ยนเต๋อฮ่องเต้แววพระเนตรสั่นไหว พระพักตร์ซึ่งก่อนหน้านี้ไร้ซึ่งอารมณ์เริ่มแสดงความลังเลออกมา

คำพูดของฮองเฮานั้น ช่างกระทบใจพระองค์อย่างแท้จริง

เป็นความจริง หากพระองค์มีพระบัญชาให้ตรวจสอบร่างกายของสตรีนางนั้น ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร ก็ย่อมมีผู้คนคาดเดาถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับไท่จื่อ ซึ่งไม่เพียงจะส่งผลเสียต่อไท่จื่อ แต่ยังเป็นภัยต่อเสถียรภาพของราชสำนัก

บัดนี้ เมื่ออายุมากขึ้น พระองค์ก็ไม่อยากสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจไปกับเรื่องยุ่งยากที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ขอเพียงไท่จื่อยังคงยืนหยัดมั่นคงในตำแหน่งรัชทายาท และพระองค์ยังคงแสดงจุดยืนอย่างแน่วแน่ ก็ย่อมไม่มีใครสามารถหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นเครื่องมือได้!

เมื่อถึงวันที่ไท่จื่อขึ้นครองราชย์ สถานการณ์ทั้งหมดจะมั่นคงแน่นแฟ้น และย่อมไม่มีใครสามารถก่อคลื่นลมให้ระส่ำระสายได้อีก

ไท่จื่อมีจิตใจเมตตา แน่นอนว่าจะต้องดูแลพี่น้องเป็นอย่างดี เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลอีกต่อไป

คิดมาถึงตรงนี้ เจี้ยนเต๋อฮ่องเต้พลันพยักพระพักตร์ช้าๆ โดยไม่รู้ตัว สีพระพักตร์ที่เคยเคร่งขรึมก็อ่อนลงไม่น้อย

เมื่อหลีอ๋องเห็นดังนั้น หัวใจพลันเย็นเยียบลงครึ่งหนึ่ง

สิ่งที่ตามมาคือความไม่ยินยอมและความโกรธเคืองอย่างสุดซึ้ง

เสด็จพ่อทรงลำเอียงถึงเพียงนี้เชียวหรือ!

ต่างก็เป็นโอรสเช่นกัน แต่ไท่จื่อกลับได้รับการปกป้องอย่างออกนอกหน้าถึงเพียงนี้!

ทั้งที่เรื่องนี้ตรวจสอบให้กระจ่างได้อย่างง่ายดาย แต่เสด็จพ่อกลับเลือกที่จะเชื่อฟังเพียงคำพูดข้างเดียวของไท่จื่อ…!

"เสด็จพ่อ!" หลีอ๋องเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมและขุ่นเคือง ท่ามกลางความโกรธและความอิจฉา เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า "ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่โต เพียงเรียกนางมาเป็นการส่วนตัวเพื่อตรวจสอบก็มิใช่ว่าจะไม่ได้! เช่นนี้ ไท่จื่อก็จะได้พ้นจากข้อครหาพ่ะย่ะค่ะ!"

"น้องสอง จะทำไปเพื่ออะไร?" ไท่จื่อขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ ก่อนมองหลีอ๋องพร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า "ผู้บริสุทธิ์ย่อมบริสุทธิ์โดยธรรมชาติ ข้าไม่ใส่ใจ!"

หลีอ๋องเดือดดาลถึงขีดสุด หัวเราะเยาะออกมาอย่างเย็นชา "หรือว่าไท่จื่อไม่กล้ากัน?"

"น้องสอง เจ้ากล่าวเกินไปแล้ว!" ไท่จื่อกล่าวอย่างขุ่นเคือง

หลีอ๋องแค่นเสียงเย็นชา "ไท่จื่อ หม่อมฉันเพียงแต่ไม่อาจทนเห็นสิ่งที่คลุมเครือ ทุกเรื่องควรต้องกระจ่างชัด! หรือว่าเรื่องนี้มีมูลจริง ไท่จื่อจึงหวาดกลัวที่จะถูกเปิดโปง?"

ไท่จื่อยังคงสงบนิ่ง ไม่เผยความรู้สึกใดๆ เพียงกล่าวเสียงเรียบว่า "น้องสองดูเหมือนจะมั่นใจมาก ว่าเรื่องนี้ต้องเป็นความจริง?"

"หม่อมฉันมิได้กล่าวเช่นนั้น!" หลีอ๋องแค่นเสียงเย็นชา "ไท่จื่ออย่าได้ใส่ความหม่อมฉันต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อ! เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเกียรติของราชวงศ์ หากไม่สืบให้กระจ่าง สิ่งที่ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์จะยิ่งหนักขึ้น ไท่จื่อจะผลักไสเลี่ยงหนีไปเพื่ออะไร?"

"น้องสอง อย่าพูดให้ตัดสิ้นทางถอยเช่นนั้น!" ไท่จื่อกล่าวเสียงเย็น "แม้จะตรวจสอบแล้วพบว่านางมีปัญหาจริง แต่ต้องเป็นข้ากระทำด้วยหรือ?"

หลีอ๋องหัวเราะเยาะออกมาเสียงดัง "ฮะ! เสด็จพ่อ ทรงได้ยินหรือไม่? เช่นนี้มิใช่แสดงออกถึงความตื่นตระหนกหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ?"

"ข้ามิได้เป็นเช่นนั้น!" ไท่จื่อตอบกลับเสียงหนักแน่น

"ไท่จื่อยังจะปฏิเสธอีกหรือ?" หลีอ๋องแค่นเสียงเย็นชา "ตอนแรกขัดขวางสุดชีวิต ไม่ยอมให้ตรวจสอบนางผู้นั้น บัดนี้เมื่อเลี่ยงไม่ได้แล้ว ก็เปลี่ยนคำพูดใหม่ เช่นนี้ไม่เรียกว่าหาทางเอาตัวรอดแล้วจะเรียกว่าอะไร? ไม่มีไฟย่อมไร้ควัน อีกทั้งคำกล่าวที่ว่า ‘ไม่มีลม ย่อมไม่มีคลื่น’ ก็มีอยู่จริง ไฉนจึงมีข่าวลือเกี่ยวกับไท่จื่อแต่เพียงผู้เดียว? เรื่องนี้มีเหตุผลอันใดกัน?"

"ช่างเป็นเรื่องเหลวไหล!" ไท่จื่อแค่นเสียงเย็นชา "แม้แต่ข้ายังรู้สึกแปลกใจนัก หรือบางทีอาจมีผู้ใดอยู่เบื้องหลัง คอยวางแผนใส่ร้ายข้า!"

"จริงหรือ? มีผู้ใดกล้าบังอาจทำถึงเพียงนี้? เช่นนั้นต้องลากตัวมันออกมาให้ได้ ไม่อาจปล่อยไปโดยเด็ดขาด! แต่ในเวลานี้ ไท่จื่อกล้าหรือไม่ ที่จะให้เสด็จพ่อเรียกตัวสตรีนางนั้นมาตรวจสอบ?" หลีอ๋องกล่าวพลางหัวเราะเย็นเยียบ

"เจ้า…!"

"พวกเจ้าหยุดปากกันเดี๋ยวนี้!"

ฟังการโต้เถียงของสองพี่น้องไปมา สีพระพักตร์ของเจี้ยนเต๋อฮ่องเต้ยิ่งมืดครึ้มลงเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็ทรงกริ้ว ตรัสด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า "พวกเจ้าคิดว่าเจิ้นตายไปแล้วหรืออย่างไร!?"

ทุกคนในท้องพระโรงต่างสะดุ้งตกใจ รีบสงบปากสงบคำ ไม่กล้าหายใจแรง

เสี่ยนอ๋องอดเป็นกังวลไม่ได้ ก้าวขึ้นมาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม "เสด็จพ่อ โปรดทรงระงับโทสะ ไท่จื่อและพระเชษฐาสองเพียงแค่ถกกันตามเหตุผล หาได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด..."

เจี้ยนเต๋อฮ่องเต้หัวเราะเยาะเย็นชา ตวัดพระเนตรจ้องเสี่ยนอ๋องก่อนตรัสเสียงแข็ง "เจ้าอย่ามาเสแสร้งทำเป็นคนดีที่นี่! ฮึ... เจริญกันใหญ่แล้วสินะ!"

จากนั้นพระองค์กวาดพระเนตรเย็นเยียบไปทั่ว พลางประกาศเสียงกร้าว "เจิ้นจะมีบัญชา ให้คนไปเรียกตัวนางมาเพื่อตรวจสอบให้รู้แล้วรู้รอด! มีผู้ใดจะคัดค้านอีกหรือไม่!?"

หลีอ๋องลอบยิ้มเยาะในใจ รู้สึกสะใจไม่น้อย รีบโค้งคำนับกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพ "เสด็จพ่อทรงพระปรีชา!"

ไท่จื่อจ้องมองหลีอ๋องด้วยสายตาเย็นชา ลึกซึ้งและไม่อาจคาดเดาได้

แต่ในสายตาของหลีอ๋อง ย่อมมองว่าเป็นเพราะไท่จื่อรู้สึกผิดจนขลาดเขลา ทั้งโกรธจัดแต่ไม่กล้าแสดงออก

เขายิ่งรู้สึกพอใจนัก จึงจ้องตอบสายตาไท่จื่อโดยไม่ไว้หน้า ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน "ไท่จื่อทรงคิดเห็นเช่นไรหรือ?"

ไท่จื่อเพียงเบือนหน้าหนี ไม่คิดสนใจเขา

เจี้ยนเต๋อฮ่องเต้กวาดพระเนตรมองทั้งสองคนอย่างเย็นชา ก่อนมีรับสั่งให้เรียกตัว เจียงปี้ชิง มาตรวจสอบ

ฮองเฮาและซูเฟยต่างตกตะลึงไปกับการปะทะคารมของทั้งสองพระโอรส จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจตั้งสติกลับมาได้เต็มที่ ในใจเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเล็กน้อย เมื่อสบตากันก็แลดูคล้ายมีประกายไฟปะทุขึ้นมา

ในฐานะมารดา ย่อมต้องเข้าข้างบุตรของตนเอง

ฮองเฮาแม้จะมั่นใจในความประพฤติของไท่จื่อ แต่เมื่อเห็นหลีอ๋องรุกไล่หนักเพียงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลอยู่บ้าง

ส่วนซูเฟยกลับรู้สึกสับสน ไม่เข้าใจว่าโอรสผู้เฉลียวฉลาดของตนเป็นอะไรไปในวันนี้ เหตุใดจึงเลือกเผชิญหน้ากับไท่จื่อถึงเพียงนี้ ทั้งที่อาจถึงขั้นตัดขาดกันไปเลย หรือว่า...เขามั่นใจเต็มร้อยว่าสามารถเอาชนะได้?

คิดได้เช่นนี้ ซูเฟยก็พลันตื่นเต้นขึ้นมา หากเป็นเช่นนั้นจริง ไท่จื่อคงถึงจุดจบแน่แล้ว!

ไม่มีฮ่องเต้องค์ใดที่จะสามารถอดทนต่อพฤติกรรมเช่นนี้จากพระโอรสของตนได้

เสี่ยนอ๋องเหลือบมองไท่จื่อ ก่อนหันไปมองหลีอ๋อง สีหน้าแลดูมีความกังวลเล็กน้อย ส่วนอวี้อ๋องนั้นกลับยิ่งสับสนหนัก ไม่เข้าใจว่าเหตุใดไท่จื่อกับเสด็จพี่สองถึงต้องขัดแย้งกันถึงเพียงนี้? เรื่องนี้เดิมทีออกจะเป็นเรื่องง่ายแท้ๆ แต่ถึงกระนั้น บรรยากาศในท้องพระโรงกลับตึงเครียดอย่างประหลาดจนเขาไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมา

ภายในท้องพระโรง แต่ละคนล้วนมีความคิดของตนเอง บรรยากาศจึงตกอยู่ในความเงียบงันที่น่าอึดอัดและหนักอึ้ง

ไม่นาน ขันทีที่รับพระบัญชาก็นำตัวเจียงปี้ชิงเข้ามา

นางก้าวเข้ามาในท้องพระโรงด้วยความไม่สบายใจ พอเห็นสถานการณ์อันเคร่งขรึมตรงหน้า ร่างกายถึงกับสั่นสะท้าน เกือบล้มลงกับพื้น

เจี้ยนเต๋อฮ่องเต้จ้องมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ สองพระเนตรพุ่งตรงไปยังหญิงสาวผู้นี้ด้วยความเฉียบคม ในนั้นแฝงไว้ทั้งความสำรวจตรวจสอบและความสงสัย

หญิงสาวธรรมดาผู้หนึ่ง… กลับทำให้โอรสทั้งสองของพระองค์เปิดศึกถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังทำให้ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง…

ปรากฏเป็นเพียงหญิงสาวที่งดงามหมดจดอย่างหาที่เปรียบได้ยาก ทั่วทั้งกายเปล่งประกายความบริสุทธิ์และงามสง่าโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่อยู่ภายใต้แพขนตาเรียงตัวอ่อนนุ่ม ใสดุจน้ำพุใสสะอาด สะกดสายตาผู้พบเห็นให้ลืมเลือนทุกสิ่ง

สีพระพักตร์ของเจี้ยนเต๋อฮ่องเต้พลันหม่นลงเล็กน้อย พระเนตรเหลือบไปทางไท่จื่อด้วยความเย็นชา

ไม่แปลกเลยที่เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้… นางสมเป็นสตรีที่งามล้ำเหนือผู้ใดจริง ๆ!

"ยังยืนอึ้งอะไรอยู่? เหตุใดไม่รีบถวายพระพรฝ่าบาทและเหล่าพระราชวงศ์เล่า?" ขันทีน้อยเห็นเจียงปี้ชิงยืนตัวแข็ง สายตาตื่นตระหนกคล้ายตกอยู่ในอาการตกใจ จึงอดไม่ได้ที่จะกดเสียงต่ำตำหนิ

เจียงปี้ชิงสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนส่งเสียงเบา ๆ "อ่า..." แล้วรีบคุกเข่าลง

ทว่าเจี้ยนเต๋อฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ขัดขึ้น "ไม่ต้อง พานางไปตรวจสอบเถิด! ฮองเฮา ซูเฟย พวกเจ้าสองคนจัดการเรื่องนี้ร่วมกัน!"

 

 

 

 

วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 1150 คิดการใหญ่

 

บทที่ 1150 คิดการใหญ่

แม้ว่าบรรดาสาวงามเหล่านี้จะยังไม่ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งใดในขณะนี้ แต่ในนามแล้ว พวกนางล้วนเป็นสตรีของฮ่องเต้ หากผู้ใดบังอาจแตะต้อง นั่นย่อมถือเป็นการลบหลู่กฎเกณฑ์อย่างร้ายแรง!

ในสายตาของเหล่าขุนนางราชสำนัก บุคคลที่กระทำเช่นนี้ย่อมเป็นผู้ที่เสื่อมเสียศีลธรรมและไร้คุณธรรมโดยสิ้นเชิง!

เมื่อนั้น ไท่จื่อยังจะสามารถนั่งอยู่บนตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคงอีกหรือ?

ภายในใจของหลีอ๋องเต็มไปด้วยความแค้นเคืองนัก

ไท่จื่อเอ๋ย ไท่จื่อ! หรือว่าเพราะตลอดปีที่ผ่านมานี้ ทุกอย่างราบรื่นสำหรับเจ้า เจ้าจึงสามารถกดข้าลงได้ทุกเรื่อง จนเริ่มลำพองใจถึงเพียงนี้?

ดีมาก! ยิ่งเจ้าหลงระเริง ยิ่งลืมตัว สำหรับข้าแล้ว นี่กลับเป็นโอกาสสำคัญ!

ดวงตาของหลีอ๋องทอประกายร้อนแรง ความคิดเช่นนี้ไม่อาจหยุดยั้งได้อีกต่อไป!

หากไม่คว้าโอกาสครั้งนี้ไว้ แล้วครั้งหน้าจะมีอีกเมื่อใด?

ตอนนี้ ไท่จื่อได้รับความโปรดปรานและคำชมจากเสด็จพ่ออย่างมาก อิทธิพลกำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุด ได้ยินมาว่า สุขภาพของเขากำลังฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นที่แม้แต่หมอเทวดาเซวยังวางใจออกจากเมืองหลวงไปแล้ว...

หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เหล่าขุนนางในราชสำนักจะถูกไท่จื่อดึงไปอยู่ข้างเขาจนหมดสิ้น ในเมื่อเขาคือทายาทโดยชอบธรรมมาแต่แรก เหล่าขุนนางที่เคยลังเล ก็เพราะพวกเขาไม่มั่นใจในสุขภาพของไท่จื่อ แต่ตอนนี้ เมื่อได้ข่าวว่าร่างกายของเขากำลังฟื้นตัวแข็งแรงขึ้น อุปสรรคที่เคยกังวลก็หมดไป แล้วใครเล่าจะยังกล้าต่อต้านเขาอีก?

หลีอ๋องอดไม่ได้ที่จะโทษชาวเผ่ามู่เจียงที่ขายยาให้เขา—พวกมันเป็นแค่พวกต้มตุ๋น!

หากเจออีกครั้ง ข้าจะฉีกพวกมันเป็นชิ้น ๆ!

ในที่สุด หลีอ๋องก็ไม่ลังเลอีกต่อไป และตัดสินใจแน่วแน่แล้ว

—หลายวันต่อมา...

ค่ำคืนอันมืดมิด ภายในห้องหนังสือของจวนหลีอ๋อง

หลีอ๋องนั่งอยู่ในความมืด สายตาจับจ้องไปยังชายผู้คุกเข่าอยู่ในเงามืด ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเย็น "เรื่องสำเร็จเรียบร้อยแล้วจริงหรือ? เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าทั้งสองคนได้เสียกันแล้ว?"

ชายผู้นั้นตอบด้วยน้ำเสียงเบิกบาน "ขอท่านอ๋องทรงวางพระทัย กระหม่อมอยู่เฝ้าที่ข้างหน้าต่าง คอยฟังทุกความเคลื่อนไหวในห้องอย่างชัดเจน! หลังจากนั้น ไท่จื่อยังเอ่ยปลอบโยนสาวงามนางนั้น บอกให้นางอดทนรอ แล้วพระองค์จะหาทางกราบทูลขอนางจากฮ่องเต้เองพ่ะย่ะค่ะ" น้ำเสียงของชายผู้นั้นเจือไปด้วยความรู้สึกคลุมเครือและลามก

"บ้าจริง!" หลีอ๋องแสร้งดุเสียงต่ำ แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจ ความปีติเอ่อล้นในใจ

เขามั่นใจว่า ไม่มีทางพลาดแน่นอน!

ธูปหอมนั้น... เขาให้คนทดลองใช้มาแล้วเพียงแค่ แตะส่วนผสมเพียงเล็กน้อยลงในกระถางธูป ก็ออกฤทธิ์ได้ทันที และที่สำคัญที่สุดคือ มันไร้กลิ่นผิดปกติอย่างสิ้นเชิง!

ผู้ที่ตกหลุมพรางจะเข้าใจว่าเป็นเพราะตนเองลุ่มหลงในราคะ มิได้เอะใจถึงสิ่งแปลกปลอมเลย!

แม้ต่อให้มีคนสงสัย แต่เมื่อธูปเผาไหม้หมด ก็จะสลายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่เหลือเศษเถ้าให้ตรวจสอบ

ไม่มีทางที่ใครจะค้นพบความจริงได้!

เพื่อวางแผนการนี้ เขาต้องใช้เครือข่ายสายลับแทบทั้งหมดที่แฝงตัวอยู่ในวัง

แต่ก็นับว่าคุ้มค่า—เพราะผลลัพธ์ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง!

หลีอ๋องแสยะยิ้มเย็นชา ก่อนออกคำสั่งเสียงเรียบ "ปล่อยข่าวออกไป ว่าไท่จื่อมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับซิ่วหนี่ว์ที่ชื่อเจียงปี้ชิง ทั้งสองลักลอบเป็นชู้กันในวังหลวง!"

"รับทราบพ่ะย่ะค่ะ!" ชายคนนั้นหัวเราะหึ ๆ ตอบรับคำสั่งด้วยความตื่นเต้น

แต่เมื่อคิดไปคิดมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดเสริมขึ้นมาอีกว่า "ท่านอ๋อง กระหม่อมว่า...เหตุใดต้องวุ่นวายเช่นนี้? หากตอนนั้นให้คนบุกเข้าไปจับให้คาหนังคาเขาเสียเลย ไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ?"

หลีอ๋องแค่นหัวเราะเย็นชา "จับคาหนังคาเขางั้นหรือ? เจ้าคิดว่ามันจะง่ายดายถึงเพียงนั้น?"

"หากจับได้ตรงนั้นพอดี มันก็ดูจะ 'บังเอิญ' เกินไป!"

"หากไท่จื่อตะโกนยืนยันว่าถูกวางแผนใส่ร้ายเล่า? เจ้าคิดหรือว่าเสด็จพ่อจะไม่เชื่อเขารึ?"

"ข่าวลือ... นั่นแหละ คืออาวุธที่ร้ายกาจที่สุด!"

ในเมื่อเจียงปี้ชิงได้กลายเป็นสตรีของไท่จื่อแล้ว ขอเพียงตรวจร่างกายนางพบว่า นางมิใช่พรหมจารีอีกต่อไป ไท่จื่อก็จบสิ้นแน่นอน!

แม้แต่นางจะตายไปแล้ว ก็ยังสามารถตรวจสอบได้อยู่ดี!

ชายผู้รับคำสั่งแม้จะยังไม่เข้าใจถ่องแท้นัก แต่ก็ไม่กล้าถามต่อ เพียงแต่หัวเราะเบา ๆ ก่อนประสานมือกล่าวว่า "ท่านอ๋องทรงเฉียบแหลม! กระหม่อมจะรีบไปดำเนินการทันที!"

ไม่นานนัก ข่าวลือนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่ววังหลวง เหล่านางกำนัลและขันทีต่างพากันกระซิบกระซาบ เล่าต่อกันอย่างละเอียดราวกับเป็นเรื่องจริง

ข่าวลือราวกับติดปีก ไม่เพียงแพร่กระจายในวังหลวง แต่ยังเล็ดลอดออกไปนอกวัง ลามไปถึงทุกครัวเรือนในเมืองหลวง

เพียงสองวันเท่านั้น ฮ่องเต้เจี้ยนเต๋อก็ได้รับข่าว!

พระองค์กริ้วหนักยิ่งนัก ทรงมีรับสั่งให้ฮองเฮาสอบสวนเรื่องนี้โดยด่วน ต้องสืบให้ได้ว่าใครกันที่เป็นต้นตอของข่าวลือนี้!

ผู้ใดที่บังอาจทำลายชื่อเสียงของไท่จื่อ—สมควรตาย!

ฮองเฮาเมื่อได้ยินข่าวลือนี้ครั้งแรก นางแทบจะเป็นลมล้มพับไปในทันที!

แต่ถึงอย่างไร นางก็เป็นผู้ที่เลี้ยงดูและอบรมไท่จื่อมาแต่เล็ก ได้ยินคำพูดที่บ่อนทำลายชื่อเสียงของพระโอรสเช่นนี้ นางทำได้เพียงสั่งให้ลงโทษบรรดาข้ารับใช้ที่พูดจาเหลวไหล พร้อมออกคำสั่ง ห้ามมิให้ผู้ใดกล่าวถึงเรื่องนี้อีก

อย่างไรก็ตาม นางไม่กล้าจะลงโทษหนักเกินไป เพราะหากทำเช่นนั้น อาจกลายเป็นข้อครหาได้ว่า นางพยายามปกปิดความผิดให้ไท่จื่อ

เมื่อได้ฟังรับสั่งของ ฮ่องเต้เจี้ยนเต๋อ ฮองเฮาจึงรู้สึกคลายกังวลลงไปบ้าง แม้นางจะไม่สามารถออกหน้าปกป้องไท่จื่อได้โดยตรง แต่กับเหล่านางกำนัลและขันทีที่ชอบนินทาในวัง นางก็ไม่จำเป็นต้องปรานีอีกต่อไป!

มีการสืบสวนลงโทษอย่างเข้มงวด มีผู้ถูกจับตัวกว่า 10 คนส่งไปยังกรมอาญา เพื่อสอบสวน นอกจากนี้ยังมีผู้ถูกเฆี่ยนตี ลงโทษเฆี่ยนหน้า คุกเข่ารับโทษ และหักเบี้ยหวัดอีกหลายสิบคน

ภายในวัง ข่าวลือเริ่มถูกควบคุม และสถานการณ์ค่อย ๆ สงบลง

แต่สำหรับข่าวลือที่แพร่กระจายนอกวัง...

เรื่องนี้กลับไม่ใช่สิ่งที่สามารถจัดการได้ง่ายดายเช่นกัน!

ไท่จื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ กราบทูลขอความเป็นธรรม และยืนยันว่าพระองค์ ถูกใส่ร้าย

ฮ่องเต้เจี้ยนเต๋อแน่นอนว่าย่อมไม่เชื่อ ว่าไท่จื่อจะกระทำเรื่องเช่นนี้ พระองค์จึงตรัสปลอบโยนให้คลายกังวล

ในขณะนั้นเอง ฮองเฮาและซูเฟย ได้เข้ามาเข้าเฝ้าเพื่อขอเข้าเฝ้า

 

ฮองเฮาทูลว่า ข้างในวังยังมีผู้ไม่เชื่อถือ หลายคนเสนอให้ นำตัวซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นมาตรวจร่างกาย เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง

หากทำเช่นนั้น ทุกคนย่อมจะยอมรับโดยไม่มีข้อกังขา!

ขณะนั้นเอง หลีอ๋อง, เสียนอ๋อง และอวี้อ๋อง ก็เสด็จมาถึง ทั้งสามได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้า เพื่อมาทูลขอความเป็นธรรมให้ไท่จื่อ

เมื่อเข้ามาถึง พวกเขาก็ได้ยินคำกล่าวของฮองเฮาพอดี

อวี้อ๋องดวงตาเป็นประกาย รีบกล่าวขึ้นทันทีว่า "เป็นความคิดที่ดี! เป็นความคิดที่ดีจริง ๆ!

เสด็จพ่อ เสด็จแม่! ลูกก็เห็นว่าควรใช้วิธีนี้ เช่นนี้แล้ว ใครยังจะกล้าใส่ร้ายเสด็จพี่ใหญ่ของพวกเราอีก!"

ทั้งสามอ๋องก้าวไปข้างหน้า ถวายบังคมต่อฮ่องเต้เจี้ยนเต๋อ, ฮองเฮา และซูเฟย

ซูเฟยก็ยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า "ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดว่าให้เป็นเช่นนี้เถิดเพคะ! หม่อมฉันไม่เชื่อว่าไท่จื่อจะทำเรื่องเช่นนี้

แม้แต่ไม่ต้องพูดถึงความสำรวมของไท่จื่อเลย วังหลวงมีกฎระเบียบเข้มงวดถึงเพียงนี้ หากมีผู้สามารถกระทำเรื่องเยี่ยงนี้ได้จริง ก็นับว่าไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!"

ฮองเฮาได้ฟังเช่นนั้น สีพระพักตร์เปลี่ยนไปเล็กน้อย นางเหลือบมองซูเฟยด้วยสายตาเย็นชา แต่กลับมิได้เอ่ยวาจาใด

ซูเฟยกล่าวเช่นนี้ ไม่เท่ากับพาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรอกหรือ?

หากเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริง นั่นก็หมายความว่า... นางในฐานะฮองเฮาไร้ความสามารถ ปล่อยให้ระเบียบในวังหลวงหย่อนยาน จนเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาได้!

ฮ่องเต้เจี้ยนเต๋อทอดพระเนตรนิ่ง สีพระพักตร์เคร่งขรึม ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าพระองค์กำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่

หลีอ๋องเองก็นิ่งเงียบ ไม่กล่าวสิ่งใด แต่เขากำลังลอบสังเกตท่าทีของไท่จื่อ

และแล้ว เขาก็เห็นว่า กล้ามเนื้อบนใบหน้าของไท่จื่อกระตุกขึ้นอย่างรุนแรงเพียงชั่วขณะ

ริมฝีปากของหลีอ๋องกระตุกขึ้นเล็กน้อยอย่างไร้สุ้มเสียง

ในที่สุด ไท่จื่อก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "เสด็จพ่อ หากหม่อมฉันไม่ได้ทำ... ก็คือไม่ได้ทำ!

หากทรงต้องการให้ตรวจสอบ เช่นนั้น ต่อให้หม่อมฉันบริสุทธิ์ ก็ยังต้องถูกครหาจากผู้คนอยู่ดี! หากเสด็จพ่อทรงเชื่อหม่อมฉัน เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ!"

เดิมทีทุกคนคิดว่า เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ ไท่จื่อจะต้องยอมรับข้อเสนอนี้แน่ แต่กลับไม่คาดคิดว่า พระองค์จะตอบเช่นนี้

ฮ่องเต้เจี้ยนเต๋อ, ฮองเฮา และซูเฟย ต่างอดไม่ได้ที่จะหันไปมองไท่จื่ออีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความแปลกใจ

หลีอ๋องรู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจเต้นระรัว ไม่อาจอดกลั้นความยินดีไว้ได้อีก จึงหัวเราะพลางกล่าวว่า "เสด็จพี่ไท่จื่อกล่าวเกินไปแล้วกระมัง? นี่ก็แค่การตรวจสอบเท่านั้น หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง ก็เป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเสด็จพี่ ถือเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ? แล้วใครเล่าจะกล้าสงสัยอีก? กลับกัน ตอนนี้ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วเมือง นั่นต่างหากที่ทำให้ผู้คนตั้งข้อสงสัย!"

ไท่จื่อแค่นเสียงเย็นชา "คำพูดของเจ้า หมายความว่าอย่างไร? ต่อให้มีการตรวจสอบและพิสูจน์ว่าข้าไม่ได้ทำผิด แต่หากยังมีผู้ไม่เชื่อ ยืนยันว่าราชสำนักจงใจโกหกเพื่อปกปิดความจริง อีกทั้งยังกล่าวว่า—'ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง แล้วจะต้องตรวจสอบไปทำไม?' เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าจะอธิบายเช่นไร? ข่าวลือจะยุติลงเมื่อผู้มีปัญญามองเห็นความจริง! เสด็จพ่อ! หม่อมฉันทูลขอให้พระองค์ทรงละเว้นเรื่องนี้ไป ขอเพียงเสด็จพ่อทรงเชื่อมั่นในหม่อมฉัน หม่อมฉันหาได้ใส่ใจสิ่งอื่นใดอีกพ่ะย่ะค่ะ!"

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2568

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 1149 คัดเลือกซิ่วหนี่ว์

 

บทที่ 1149 คัดเลือกซิ่วหนี่ว์

 

ช่วงนี้หลี่ฟู่กำลังยุ่งมาก มักออกไปข้างนอกในช่วงค่ำคืนเสมอ เหลียนฟางโจวเข้าใจดีว่าย่อมเป็นเพราะมีรับสั่งจากตำหนักบูรพา นางจึงเพียงดูแลเรื่องการกินอยู่ของเขาอย่างระมัดระวัง โดยที่ทั้งสองสามีภรรยามีความเข้าใจโดยไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้

ในวันที่หกของเดือนเจ็ด ตั้งแต่เช้าตรู่ บรรดาซิ่วหนี่ว์[1]ที่ผ่านการคัดเลือกต่างทยอยเข้าสู่พระราชวัง หลังจากการคัดสรรอย่างเข้มงวดต่อเนื่องสามวัน ท้ายที่สุด มีเพียงสองร้อยยี่สิบคนที่ได้รับคัดเลือกให้อยู่ต่อ ส่วนที่เหลือได้รับเงินค่ารถม้าและถูกส่งตัวกลับบ้านตามอัธยาศัย

ซิ่วหนี่ว์ทั้งสองร้อยยี่สิบคนที่เหลือถูกจัดให้อาศัยอยู่ใน่ตำหนักฉู่ซิ่วตามธรรมเนียม พร้อมเข้ารับการฝึกฝนเรื่องกฎระเบียบในวังหลวง รวมถึงมารยาทและการวางตัว อย่างไรก็ตาม การที่พวกนางได้อยู่ต่อในวัง ไม่ได้หมายความว่าทั้งหมดจะได้อยู่จนถึงท้ายสุด

ในระยะเวลาการฝึกฝนหนึ่งเดือนข้างหน้า อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้

บางคนอาจโง่เขลา เรียนรู้อะไรไม่ทัน หรือเผลอฝ่าฝืนกฎจนถูกขับออกไป บางคนอาจถูกซิ่วหนี่ว์คนอื่นใช้เล่ห์กลวางแผนกลั่นแกล้งจนพังพินาศ บางคนอาจถูกเหล่าสนมในวังหลอกใช้เป็นหมากจนกลายเป็นผู้ที่ถูกสังเวย และบางคนอาจถูกขับไล่เพราะพฤติกรรมไม่เหมาะสมหรือจิตใจอคติ

ซิ่วหนี่ว์เหล่านี้ จะมีเพียงไม่เกินสิบคนเท่านั้นที่สามารถได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งจากฮ่องเต็ได้อย่างรวดเร็ว ส่วนที่เหลืออาจถูกพระราชทานให้แก่เหล่าอ๋องและเจ้าเมือง หรือถูกขอไปเป็นนางกำนัลข้างกายเหล่าสนมในวัง ส่วนที่เหลือก็ทำได้เพียงใช้ชีวิตว่างเปล่าอยู่ในวัง รอวันความงามร่วงโรย หรือเฝ้ารอให้โชคชะตาเข้าข้างจนพลิกชีวิตขึ้นมาได้ในชั่วข้ามคืน

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ซิ่วหนี่ว์กว่าสองร้อยคนเหล่านี้จะไม่แก่งแย่งชิงดีกันได้อย่างไร?

เกียรติยศและความมั่งคั่งนั้น หาได้มาโดยง่ายไม่

เนื่องจากช่วงนี้อากาศค่อนข้างร้อน แสงแดดแรงจัด เวลาพักช่วงกลางวันของบรรดาซิ่วหนี่ว์จึงยาวขึ้น

หัวหน้าข้าหลวงหญิงที่ดูแลซิ่วหนี่ว์เหล่านี้เพียงกำชับว่า "หากไม่มีเรื่องจำเป็น ห้ามออกจากตำหนักฉู่ซิ่ว" ส่วนเวลาพักผ่อนของพวกนางนั้น นางไม่ได้ใส่ใจนัก

กล่าวโดยสรุป หลังผ่านไปหนึ่งเดือน จำนวนซิ่วหนี่ว์ที่ฝึกฝนจนผ่านเกณฑ์จะเหลือเพียงประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบคนเท่านั้น

บางคนเพราะความอยากรู้อยากเห็น หรือด้วยเหตุผลอื่นใด แอบลอบออกไปเดินเล่นโดยไม่มีใครมาตำหนิ ซิ่วหนี่ว์คนอื่น ๆ เห็นเช่นนั้นก็พากันทำตาม ทุกครั้งเมื่อถึงช่วงเวลานี้ พวกนางก็มักไปเดินเล่นในสวนหลังวังกันเป็นกลุ่ม

โดยไม่รู้เลยว่า บรรดาหัวหน้าข้าหลวงหญิงต่างจับตาดูอยู่เงียบ ๆ การปล่อยให้ทำเช่นนี้โดยเจตนา แท้จริงแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝน

เพราะนิสัยใจคอและพฤติกรรมของคนเรานั้น มักจะเผยออกมาอย่างแท้จริงในช่วงเวลาเช่นนี้

ในวันนั้น องค์ไท่จื่อเพิ่งเสด็จออกจากตำหนักของฮองเฮาหลังจากถวายพระพร ขณะเสด็จผ่านระเบียงยาว จู่ ๆ ก็มีซิ่วหนี่ว์นางหนึ่งหัวเราะคิกคักพลางวิ่งออกมาจากมุมทางเดินอย่างไม่ทันระวัง หากองค์ไท่จื่อไม่ถอยหลังหลบฉับพลัน นางคงพุ่งชนเข้าเต็มอกพระองค์แน่

เสียงร้องอุทานดังขึ้นสองครั้ง ทั้งสองฝ่ายต่างตกตะลึงไปชั่วขณะ

ซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นตกตะลึงจนใบหน้าซีดเผือด ดวงตากลมโตดุจกวางน้อยเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก รีบชะลอฝีเท้าและพยายามตั้งสติให้มั่น ก่อนจะพูดตะกุกตะกักว่า "ท่าน...ท่าน...ท่านคือใคร?"

องค์ไท่จื่ออดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง ๆ ออกมา

"บังอาจ!" ขันทีน้อยที่ติดตามอยู่รีบส่งเสียงดุดัน "พบองค์ไท่จื่อแล้วยังไม่รีบคำนับอีก! ดูจากท่าทางแล้วเจ้าคงเป็นหนึ่งในซิ่วหนี่ว์ที่ถูกคัดเลือกสินะ? กล้าถึงเพียงนี้ ถึงกับพุ่งชนองค์ไท่จื่อ ช่างบังอาจยิ่งนัก!"

ซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นอุทานเสียงดัง "อ๊า!" สีหน้าซีดเผือดลงไปอีก รีบคุกเข่าลงทันที ก้มศีรษะต่ำกล่าวเสียงสั่น "หม่อมฉันถวายพระพรองค์ไท่จื่อ ขอพระองค์ทรงอภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันมิได้ตั้งใจจริง ๆ!"

"พอเถิด หลิวเหอ เจ้าอย่าได้ทำให้นางตกใจไปมากกว่านี้เลย" องค์ไท่จื่อกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้ซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ลุกขึ้นเถิด เราเชื่อว่าเจ้าคงไม่ได้ตั้งใจ จะยกโทษให้เจ้า"

ซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นดีใจจนตาเป็นประกาย รีบเงยหน้าขึ้น ดวงตาชุ่มฉ่ำจับจ้ององค์ไท่จื่อด้วยความลังเล ก่อนเอ่ยถามเสียงเบา “จริง...จริงหรือเพคะ?”

องค์ไท่จื่อเห็นท่าทางไร้เดียงสาและแววตาบริสุทธิ์ของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ พลางยิ้ม “แน่นอนว่าเป็นจริง เราเคยพูดแล้วไม่รักษาคำหรือ? ลุกขึ้นเถิด! แต่อย่าลืมว่า ที่นี่คือวังหลวง ไม่เหมือนโลกภายนอก หากเผลอไปพุ่งชนฮองเฮาหรือสนมที่มีอำนาจ หรือแม้แต่นางกำนัลคนสนิทของพวกนาง เจ้าจะเดือดร้อนแน่ ดังนั้น ต่อไปอย่าบุ่มบ่ามเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่? ตอนนี้พวกเจ้ากำลังเรียนรู้กฎระเบียบและมารยาทจากหัวหน้าข้าหลวงหญิงอยู่มิใช่หรือ? ถ้าไม่มีธุระสำคัญ อย่าออกจากตำหนักฉู่ซิ่วจะดีกว่า”

“เพคะ! หม่อมฉันจะจดจำคำสอนขององค์ไท่จื่อ หม่อมฉันจะทำตามเพคะ!” ซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นรู้สึกอบอุ่นในใจ ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางอดไม่ได้ที่จะเหลือบมององค์ไท่จื่อแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว แก้มขึ้นสีระเรื่อ

องค์ไท่จื่อยิ้มบาง ๆ ส่งเสียงรับในลำคอเบา ๆ โดยไม่กล่าวอะไรอีก แล้วเดินผ่านซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นไป มือไพล่หลังอย่างสง่างาม

เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว องค์ไท่จื่อกลับหยุดชะงัก ก่อนเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา “เจ้าชื่ออะไร?”

ซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นยังตกอยู่ในภวังค์ของความลุ่มหลง พอได้ยินคำถาม หัวใจของนางก็พลันเต้นแรง ความปิติที่ไม่อาจอธิบายได้เอ่อล้นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว รีบตอบอย่างตื่นเต้น “หม่อมฉันชื่อเจียงปี้ชิงเพคะ!”

องค์ไท่จื่อพยักหน้าเบา ๆ “อืม…” แล้วก้าวเดินจากไป

เจียงปี้ชิงเพิ่งรู้สึกตัว นางลุกขึ้นยืนอย่างระมัดระวัง ก่อนจะกล้าหันไปมองแผ่นหลังขององค์ไท่จื่อที่เดินห่างออกไป ดวงตานางจับจ้องแน่วนิ่ง ใบหน้าค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นโดยไม่รู้ตัว แววตาและท่าทางของนาง บ่งบอกถึงความรู้สึกของหญิงสาวที่เพิ่งได้สัมผัสกับความรักเป็นครั้งแรก

แม้องค์ไท่จื่อจะมีพระชนมายุเกินสามสิบพรรษาแล้ว แต่ด้วยสายพระโลหิตแห่งราชวงศ์อันสูงศักดิ์ พระวรกายสง่างาม พระพักตร์หล่อเหลาน่าเกรงขาม เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสูงส่งที่บุรุษทั่วไปมิอาจเทียบได้ ประกอบกับน้ำเสียงอ่อนโยนที่ตรัสกับนาง ล้วนเป็นเสน่ห์ร้ายแรงที่อาจทำให้หญิงสาวผู้ไร้เดียงสาต้องหลงใหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

เจียงปี้ชิงยืนมองอย่างเหม่อลอย จนกระทั่งเงาขององค์ไท่จื่อลับหายไป นางยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ อย่างแผ่วโศก จากนั้นก้มหน้าด้วยอารมณ์หม่นหมอง ค่อย ๆ เดินกลับไปยังตำหนักฉู่ซิ่วอย่างไร้จุดหมาย ราวกับจิตใจของนางล่องลอยไปไกลแล้ว

ไม่ไกลจากระเบียงทางเดิน หลังแนวพุ่มไม้ดอกฝูหรงอันเขียวชอุ่ม หลีอ๋อง ใน่ชุดคลุมยาวคอกลมสีเหลืองขมิ้นลายห้าสิริมงคล เผยรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก พลางกล่าวกับขันทีน้อยข้างกาย “ไปสืบเรื่องของเจียงปี้ชิงให้เปิ่นหวาง แล้วให้คนของเราจับตาดูนางอย่างใกล้ชิด”

หลีอ๋องหัวเราะเบา ๆ ก่อนหมุนตัวเดินจากไปอย่างเชื่องช้า

วันนี้เขาเข้าวังมาเพื่อถวายพระพรซูเฟยพอดี ตอนแรกตั้งใจจะทักทายองค์ไท่จื่อและออกจากวังพร้อมกัน แต่กลับได้ชมเรื่องราวน่าสนุกเสียก่อน!

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยเห็นพระเชษฐาองค์นี้แสดงท่าทีอ่อนโยนเช่นนี้ต่อสตรีคนใดมาก่อนเลย! ก็ไม่น่าแปลกใจนัก ภายในวังหลวง เหล่านางกำนัลเหล่านั้น มีสักกี่คนที่งดงามโดดเด่นจริง ๆ กันเล่า?

แม้แต่สตรีที่มีรูปโฉมสะสวยอยู่บ้าง ก็มักจะโง่เขลา หรือไม่ก็ธรรมดาสามัญ จะไปเทียบได้อย่างไรกับบรรดาซิ่วหนี่ว์ที่ถูกคัดเลือกอย่างพิถีพิถันจากตระกูลชั้นสูง?

เจียงปี้ชิงงั้นหรือ? หลีอ๋องอดไม่ได้ที่จะส่งเสียง “เชอะ ๆ” ในลำคอ สตรีนางนั้น ใบหน้าชุ่มชื้นสดใส ดวงตากลมโตดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แฝงไปด้วยความไร้เดียงสาและซื่อใส ราวกับดอกบัวขาวที่ผลิบานยามรุ่งอรุณ อาบไล้ด้วยหยาดน้ำค้างยามเช้า แม้แต่เขาเองยังรู้สึกหวั่นไหวไปบ้างเล็กน้อย องค์ไท่จื่อช่างเลือกดูคนได้ดีจริง ๆ

ไม่นาน คนของหลีอ๋องก็กลับมารายงานผลการสืบสวน นอกจากพวกเขาแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีอีกฝ่ายหนึ่งที่กำลังสืบเรื่องของซิ่วหนี่ว์ที่ชื่อเจียงปี้ชิงอยู่เช่นกัน อีกฝ่ายระมัดระวังเป็นอย่างมาก จึงยังไม่อาจสืบได้แน่ชัดว่าผู้ใดเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง

ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามเองก็เริ่มรู้สึกถึงการมีอยู่ของพวกเขาแล้ว เช่นนี้แล้ว ควรจะสืบต่อไปหรือไม่ ยังต้องรอคำสั่งจากนายเหนือหัวอีกครั้ง

หลีอ๋องจึงสั่งให้คนของตนยุติการสืบสวน พลางหัวเราะเย็นชา เขารู้ดีว่า ไม่มีใครอื่นที่กำลังสืบเรื่องของเจียงปี้ชิง นอกจากองค์ไท่จื่อแน่นอน!

"เสด็จพี่ไท่จื่อเอ๋ย... ท่านคิดว่า หากเสด็จพ่อรู้ว่า ท่านเกิดความรู้สึกต้องห้ามกับสตรีของพระองค์แล้วล่ะก็ พระองค์จะทรงคิดเช่นไร?"

รอยยิ้มบนริมฝีปากของหลีอ๋องยิ่งลึกขึ้นเรื่อย ๆ จากรอยยิ้มเย้ยหยันกลายเป็นเสียงหัวเราะเบา ๆ และไม่นาน เสียงหัวเราะนั้นก็ดังก้องขึ้นทีละน้อย

เมื่อถึงเวลานั้น คงเป็นเรื่องที่น่าสนุกไม่น้อยเลยทีเดียว!

**

[1] 秀女 (xiù nǚ) หมายถึง สตรีที่ถูกคัดเลือกเข้าวังเพื่อเป็นสนมหรือข้าหลวงของจักรพรรดิ