วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2568

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 1149 คัดเลือกซิ่วหนี่ว์

 

บทที่ 1149 คัดเลือกซิ่วหนี่ว์

 

ช่วงนี้หลี่ฟู่กำลังยุ่งมาก มักออกไปข้างนอกในช่วงค่ำคืนเสมอ เหลียนฟางโจวเข้าใจดีว่าย่อมเป็นเพราะมีรับสั่งจากตำหนักบูรพา นางจึงเพียงดูแลเรื่องการกินอยู่ของเขาอย่างระมัดระวัง โดยที่ทั้งสองสามีภรรยามีความเข้าใจโดยไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้

ในวันที่หกของเดือนเจ็ด ตั้งแต่เช้าตรู่ บรรดาซิ่วหนี่ว์[1]ที่ผ่านการคัดเลือกต่างทยอยเข้าสู่พระราชวัง หลังจากการคัดสรรอย่างเข้มงวดต่อเนื่องสามวัน ท้ายที่สุด มีเพียงสองร้อยยี่สิบคนที่ได้รับคัดเลือกให้อยู่ต่อ ส่วนที่เหลือได้รับเงินค่ารถม้าและถูกส่งตัวกลับบ้านตามอัธยาศัย

ซิ่วหนี่ว์ทั้งสองร้อยยี่สิบคนที่เหลือถูกจัดให้อาศัยอยู่ใน่ตำหนักฉู่ซิ่วตามธรรมเนียม พร้อมเข้ารับการฝึกฝนเรื่องกฎระเบียบในวังหลวง รวมถึงมารยาทและการวางตัว อย่างไรก็ตาม การที่พวกนางได้อยู่ต่อในวัง ไม่ได้หมายความว่าทั้งหมดจะได้อยู่จนถึงท้ายสุด

ในระยะเวลาการฝึกฝนหนึ่งเดือนข้างหน้า อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้

บางคนอาจโง่เขลา เรียนรู้อะไรไม่ทัน หรือเผลอฝ่าฝืนกฎจนถูกขับออกไป บางคนอาจถูกซิ่วหนี่ว์คนอื่นใช้เล่ห์กลวางแผนกลั่นแกล้งจนพังพินาศ บางคนอาจถูกเหล่าสนมในวังหลอกใช้เป็นหมากจนกลายเป็นผู้ที่ถูกสังเวย และบางคนอาจถูกขับไล่เพราะพฤติกรรมไม่เหมาะสมหรือจิตใจอคติ

ซิ่วหนี่ว์เหล่านี้ จะมีเพียงไม่เกินสิบคนเท่านั้นที่สามารถได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งจากฮ่องเต็ได้อย่างรวดเร็ว ส่วนที่เหลืออาจถูกพระราชทานให้แก่เหล่าอ๋องและเจ้าเมือง หรือถูกขอไปเป็นนางกำนัลข้างกายเหล่าสนมในวัง ส่วนที่เหลือก็ทำได้เพียงใช้ชีวิตว่างเปล่าอยู่ในวัง รอวันความงามร่วงโรย หรือเฝ้ารอให้โชคชะตาเข้าข้างจนพลิกชีวิตขึ้นมาได้ในชั่วข้ามคืน

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ซิ่วหนี่ว์กว่าสองร้อยคนเหล่านี้จะไม่แก่งแย่งชิงดีกันได้อย่างไร?

เกียรติยศและความมั่งคั่งนั้น หาได้มาโดยง่ายไม่

เนื่องจากช่วงนี้อากาศค่อนข้างร้อน แสงแดดแรงจัด เวลาพักช่วงกลางวันของบรรดาซิ่วหนี่ว์จึงยาวขึ้น

หัวหน้าข้าหลวงหญิงที่ดูแลซิ่วหนี่ว์เหล่านี้เพียงกำชับว่า "หากไม่มีเรื่องจำเป็น ห้ามออกจากตำหนักฉู่ซิ่ว" ส่วนเวลาพักผ่อนของพวกนางนั้น นางไม่ได้ใส่ใจนัก

กล่าวโดยสรุป หลังผ่านไปหนึ่งเดือน จำนวนซิ่วหนี่ว์ที่ฝึกฝนจนผ่านเกณฑ์จะเหลือเพียงประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบคนเท่านั้น

บางคนเพราะความอยากรู้อยากเห็น หรือด้วยเหตุผลอื่นใด แอบลอบออกไปเดินเล่นโดยไม่มีใครมาตำหนิ ซิ่วหนี่ว์คนอื่น ๆ เห็นเช่นนั้นก็พากันทำตาม ทุกครั้งเมื่อถึงช่วงเวลานี้ พวกนางก็มักไปเดินเล่นในสวนหลังวังกันเป็นกลุ่ม

โดยไม่รู้เลยว่า บรรดาหัวหน้าข้าหลวงหญิงต่างจับตาดูอยู่เงียบ ๆ การปล่อยให้ทำเช่นนี้โดยเจตนา แท้จริงแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝน

เพราะนิสัยใจคอและพฤติกรรมของคนเรานั้น มักจะเผยออกมาอย่างแท้จริงในช่วงเวลาเช่นนี้

ในวันนั้น องค์ไท่จื่อเพิ่งเสด็จออกจากตำหนักของฮองเฮาหลังจากถวายพระพร ขณะเสด็จผ่านระเบียงยาว จู่ ๆ ก็มีซิ่วหนี่ว์นางหนึ่งหัวเราะคิกคักพลางวิ่งออกมาจากมุมทางเดินอย่างไม่ทันระวัง หากองค์ไท่จื่อไม่ถอยหลังหลบฉับพลัน นางคงพุ่งชนเข้าเต็มอกพระองค์แน่

เสียงร้องอุทานดังขึ้นสองครั้ง ทั้งสองฝ่ายต่างตกตะลึงไปชั่วขณะ

ซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นตกตะลึงจนใบหน้าซีดเผือด ดวงตากลมโตดุจกวางน้อยเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก รีบชะลอฝีเท้าและพยายามตั้งสติให้มั่น ก่อนจะพูดตะกุกตะกักว่า "ท่าน...ท่าน...ท่านคือใคร?"

องค์ไท่จื่ออดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง ๆ ออกมา

"บังอาจ!" ขันทีน้อยที่ติดตามอยู่รีบส่งเสียงดุดัน "พบองค์ไท่จื่อแล้วยังไม่รีบคำนับอีก! ดูจากท่าทางแล้วเจ้าคงเป็นหนึ่งในซิ่วหนี่ว์ที่ถูกคัดเลือกสินะ? กล้าถึงเพียงนี้ ถึงกับพุ่งชนองค์ไท่จื่อ ช่างบังอาจยิ่งนัก!"

ซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นอุทานเสียงดัง "อ๊า!" สีหน้าซีดเผือดลงไปอีก รีบคุกเข่าลงทันที ก้มศีรษะต่ำกล่าวเสียงสั่น "หม่อมฉันถวายพระพรองค์ไท่จื่อ ขอพระองค์ทรงอภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันมิได้ตั้งใจจริง ๆ!"

"พอเถิด หลิวเหอ เจ้าอย่าได้ทำให้นางตกใจไปมากกว่านี้เลย" องค์ไท่จื่อกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้ซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ลุกขึ้นเถิด เราเชื่อว่าเจ้าคงไม่ได้ตั้งใจ จะยกโทษให้เจ้า"

ซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นดีใจจนตาเป็นประกาย รีบเงยหน้าขึ้น ดวงตาชุ่มฉ่ำจับจ้ององค์ไท่จื่อด้วยความลังเล ก่อนเอ่ยถามเสียงเบา “จริง...จริงหรือเพคะ?”

องค์ไท่จื่อเห็นท่าทางไร้เดียงสาและแววตาบริสุทธิ์ของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ พลางยิ้ม “แน่นอนว่าเป็นจริง เราเคยพูดแล้วไม่รักษาคำหรือ? ลุกขึ้นเถิด! แต่อย่าลืมว่า ที่นี่คือวังหลวง ไม่เหมือนโลกภายนอก หากเผลอไปพุ่งชนฮองเฮาหรือสนมที่มีอำนาจ หรือแม้แต่นางกำนัลคนสนิทของพวกนาง เจ้าจะเดือดร้อนแน่ ดังนั้น ต่อไปอย่าบุ่มบ่ามเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่? ตอนนี้พวกเจ้ากำลังเรียนรู้กฎระเบียบและมารยาทจากหัวหน้าข้าหลวงหญิงอยู่มิใช่หรือ? ถ้าไม่มีธุระสำคัญ อย่าออกจากตำหนักฉู่ซิ่วจะดีกว่า”

“เพคะ! หม่อมฉันจะจดจำคำสอนขององค์ไท่จื่อ หม่อมฉันจะทำตามเพคะ!” ซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นรู้สึกอบอุ่นในใจ ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางอดไม่ได้ที่จะเหลือบมององค์ไท่จื่อแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว แก้มขึ้นสีระเรื่อ

องค์ไท่จื่อยิ้มบาง ๆ ส่งเสียงรับในลำคอเบา ๆ โดยไม่กล่าวอะไรอีก แล้วเดินผ่านซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นไป มือไพล่หลังอย่างสง่างาม

เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว องค์ไท่จื่อกลับหยุดชะงัก ก่อนเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา “เจ้าชื่ออะไร?”

ซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นยังตกอยู่ในภวังค์ของความลุ่มหลง พอได้ยินคำถาม หัวใจของนางก็พลันเต้นแรง ความปิติที่ไม่อาจอธิบายได้เอ่อล้นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว รีบตอบอย่างตื่นเต้น “หม่อมฉันชื่อเจียงปี้ชิงเพคะ!”

องค์ไท่จื่อพยักหน้าเบา ๆ “อืม…” แล้วก้าวเดินจากไป

เจียงปี้ชิงเพิ่งรู้สึกตัว นางลุกขึ้นยืนอย่างระมัดระวัง ก่อนจะกล้าหันไปมองแผ่นหลังขององค์ไท่จื่อที่เดินห่างออกไป ดวงตานางจับจ้องแน่วนิ่ง ใบหน้าค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นโดยไม่รู้ตัว แววตาและท่าทางของนาง บ่งบอกถึงความรู้สึกของหญิงสาวที่เพิ่งได้สัมผัสกับความรักเป็นครั้งแรก

แม้องค์ไท่จื่อจะมีพระชนมายุเกินสามสิบพรรษาแล้ว แต่ด้วยสายพระโลหิตแห่งราชวงศ์อันสูงศักดิ์ พระวรกายสง่างาม พระพักตร์หล่อเหลาน่าเกรงขาม เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสูงส่งที่บุรุษทั่วไปมิอาจเทียบได้ ประกอบกับน้ำเสียงอ่อนโยนที่ตรัสกับนาง ล้วนเป็นเสน่ห์ร้ายแรงที่อาจทำให้หญิงสาวผู้ไร้เดียงสาต้องหลงใหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

เจียงปี้ชิงยืนมองอย่างเหม่อลอย จนกระทั่งเงาขององค์ไท่จื่อลับหายไป นางยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ อย่างแผ่วโศก จากนั้นก้มหน้าด้วยอารมณ์หม่นหมอง ค่อย ๆ เดินกลับไปยังตำหนักฉู่ซิ่วอย่างไร้จุดหมาย ราวกับจิตใจของนางล่องลอยไปไกลแล้ว

ไม่ไกลจากระเบียงทางเดิน หลังแนวพุ่มไม้ดอกฝูหรงอันเขียวชอุ่ม หลีอ๋อง ใน่ชุดคลุมยาวคอกลมสีเหลืองขมิ้นลายห้าสิริมงคล เผยรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก พลางกล่าวกับขันทีน้อยข้างกาย “ไปสืบเรื่องของเจียงปี้ชิงให้เปิ่นหวาง แล้วให้คนของเราจับตาดูนางอย่างใกล้ชิด”

หลีอ๋องหัวเราะเบา ๆ ก่อนหมุนตัวเดินจากไปอย่างเชื่องช้า

วันนี้เขาเข้าวังมาเพื่อถวายพระพรซูเฟยพอดี ตอนแรกตั้งใจจะทักทายองค์ไท่จื่อและออกจากวังพร้อมกัน แต่กลับได้ชมเรื่องราวน่าสนุกเสียก่อน!

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยเห็นพระเชษฐาองค์นี้แสดงท่าทีอ่อนโยนเช่นนี้ต่อสตรีคนใดมาก่อนเลย! ก็ไม่น่าแปลกใจนัก ภายในวังหลวง เหล่านางกำนัลเหล่านั้น มีสักกี่คนที่งดงามโดดเด่นจริง ๆ กันเล่า?

แม้แต่สตรีที่มีรูปโฉมสะสวยอยู่บ้าง ก็มักจะโง่เขลา หรือไม่ก็ธรรมดาสามัญ จะไปเทียบได้อย่างไรกับบรรดาซิ่วหนี่ว์ที่ถูกคัดเลือกอย่างพิถีพิถันจากตระกูลชั้นสูง?

เจียงปี้ชิงงั้นหรือ? หลีอ๋องอดไม่ได้ที่จะส่งเสียง “เชอะ ๆ” ในลำคอ สตรีนางนั้น ใบหน้าชุ่มชื้นสดใส ดวงตากลมโตดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แฝงไปด้วยความไร้เดียงสาและซื่อใส ราวกับดอกบัวขาวที่ผลิบานยามรุ่งอรุณ อาบไล้ด้วยหยาดน้ำค้างยามเช้า แม้แต่เขาเองยังรู้สึกหวั่นไหวไปบ้างเล็กน้อย องค์ไท่จื่อช่างเลือกดูคนได้ดีจริง ๆ

ไม่นาน คนของหลีอ๋องก็กลับมารายงานผลการสืบสวน นอกจากพวกเขาแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีอีกฝ่ายหนึ่งที่กำลังสืบเรื่องของซิ่วหนี่ว์ที่ชื่อเจียงปี้ชิงอยู่เช่นกัน อีกฝ่ายระมัดระวังเป็นอย่างมาก จึงยังไม่อาจสืบได้แน่ชัดว่าผู้ใดเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง

ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามเองก็เริ่มรู้สึกถึงการมีอยู่ของพวกเขาแล้ว เช่นนี้แล้ว ควรจะสืบต่อไปหรือไม่ ยังต้องรอคำสั่งจากนายเหนือหัวอีกครั้ง

หลีอ๋องจึงสั่งให้คนของตนยุติการสืบสวน พลางหัวเราะเย็นชา เขารู้ดีว่า ไม่มีใครอื่นที่กำลังสืบเรื่องของเจียงปี้ชิง นอกจากองค์ไท่จื่อแน่นอน!

"เสด็จพี่ไท่จื่อเอ๋ย... ท่านคิดว่า หากเสด็จพ่อรู้ว่า ท่านเกิดความรู้สึกต้องห้ามกับสตรีของพระองค์แล้วล่ะก็ พระองค์จะทรงคิดเช่นไร?"

รอยยิ้มบนริมฝีปากของหลีอ๋องยิ่งลึกขึ้นเรื่อย ๆ จากรอยยิ้มเย้ยหยันกลายเป็นเสียงหัวเราะเบา ๆ และไม่นาน เสียงหัวเราะนั้นก็ดังก้องขึ้นทีละน้อย

เมื่อถึงเวลานั้น คงเป็นเรื่องที่น่าสนุกไม่น้อยเลยทีเดียว!

**

[1] 秀女 (xiù nǚ) หมายถึง สตรีที่ถูกคัดเลือกเข้าวังเพื่อเป็นสนมหรือข้าหลวงของจักรพรรดิ

 

 

 

 

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น