บทที่ 1149 คัดเลือกซิ่วหนี่ว์
ช่วงนี้หลี่ฟู่กำลังยุ่งมาก มักออกไปข้างนอกในช่วงค่ำคืนเสมอ
เหลียนฟางโจวเข้าใจดีว่าย่อมเป็นเพราะมีรับสั่งจากตำหนักบูรพา
นางจึงเพียงดูแลเรื่องการกินอยู่ของเขาอย่างระมัดระวัง
โดยที่ทั้งสองสามีภรรยามีความเข้าใจโดยไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้
ในวันที่หกของเดือนเจ็ด ตั้งแต่เช้าตรู่ บรรดาซิ่วหนี่ว์[1]ที่ผ่านการคัดเลือกต่างทยอยเข้าสู่พระราชวัง
หลังจากการคัดสรรอย่างเข้มงวดต่อเนื่องสามวัน ท้ายที่สุด
มีเพียงสองร้อยยี่สิบคนที่ได้รับคัดเลือกให้อยู่ต่อ
ส่วนที่เหลือได้รับเงินค่ารถม้าและถูกส่งตัวกลับบ้านตามอัธยาศัย
ซิ่วหนี่ว์ทั้งสองร้อยยี่สิบคนที่เหลือถูกจัดให้อาศัยอยู่ใน่ตำหนักฉู่ซิ่วตามธรรมเนียม
พร้อมเข้ารับการฝึกฝนเรื่องกฎระเบียบในวังหลวง รวมถึงมารยาทและการวางตัว
อย่างไรก็ตาม การที่พวกนางได้อยู่ต่อในวัง
ไม่ได้หมายความว่าทั้งหมดจะได้อยู่จนถึงท้ายสุด
ในระยะเวลาการฝึกฝนหนึ่งเดือนข้างหน้า อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้
บางคนอาจโง่เขลา เรียนรู้อะไรไม่ทัน หรือเผลอฝ่าฝืนกฎจนถูกขับออกไป
บางคนอาจถูกซิ่วหนี่ว์คนอื่นใช้เล่ห์กลวางแผนกลั่นแกล้งจนพังพินาศ
บางคนอาจถูกเหล่าสนมในวังหลอกใช้เป็นหมากจนกลายเป็นผู้ที่ถูกสังเวย
และบางคนอาจถูกขับไล่เพราะพฤติกรรมไม่เหมาะสมหรือจิตใจอคติ
ซิ่วหนี่ว์เหล่านี้
จะมีเพียงไม่เกินสิบคนเท่านั้นที่สามารถได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งจากฮ่องเต็ได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนที่เหลืออาจถูกพระราชทานให้แก่เหล่าอ๋องและเจ้าเมือง
หรือถูกขอไปเป็นนางกำนัลข้างกายเหล่าสนมในวัง
ส่วนที่เหลือก็ทำได้เพียงใช้ชีวิตว่างเปล่าอยู่ในวัง รอวันความงามร่วงโรย
หรือเฝ้ารอให้โชคชะตาเข้าข้างจนพลิกชีวิตขึ้นมาได้ในชั่วข้ามคืน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้
ซิ่วหนี่ว์กว่าสองร้อยคนเหล่านี้จะไม่แก่งแย่งชิงดีกันได้อย่างไร?
เกียรติยศและความมั่งคั่งนั้น
หาได้มาโดยง่ายไม่
เนื่องจากช่วงนี้อากาศค่อนข้างร้อน
แสงแดดแรงจัด เวลาพักช่วงกลางวันของบรรดาซิ่วหนี่ว์จึงยาวขึ้น
หัวหน้าข้าหลวงหญิงที่ดูแลซิ่วหนี่ว์เหล่านี้เพียงกำชับว่า
"หากไม่มีเรื่องจำเป็น ห้ามออกจากตำหนักฉู่ซิ่ว"
ส่วนเวลาพักผ่อนของพวกนางนั้น นางไม่ได้ใส่ใจนัก
กล่าวโดยสรุป หลังผ่านไปหนึ่งเดือน จำนวนซิ่วหนี่ว์ที่ฝึกฝนจนผ่านเกณฑ์จะเหลือเพียงประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบคนเท่านั้น
บางคนเพราะความอยากรู้อยากเห็น
หรือด้วยเหตุผลอื่นใด แอบลอบออกไปเดินเล่นโดยไม่มีใครมาตำหนิ ซิ่วหนี่ว์คนอื่น ๆ
เห็นเช่นนั้นก็พากันทำตาม ทุกครั้งเมื่อถึงช่วงเวลานี้
พวกนางก็มักไปเดินเล่นในสวนหลังวังกันเป็นกลุ่ม
โดยไม่รู้เลยว่า
บรรดาหัวหน้าข้าหลวงหญิงต่างจับตาดูอยู่เงียบ ๆ การปล่อยให้ทำเช่นนี้โดยเจตนา
แท้จริงแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝน
เพราะนิสัยใจคอและพฤติกรรมของคนเรานั้น
มักจะเผยออกมาอย่างแท้จริงในช่วงเวลาเช่นนี้
ในวันนั้น องค์ไท่จื่อเพิ่งเสด็จออกจากตำหนักของฮองเฮาหลังจากถวายพระพร
ขณะเสด็จผ่านระเบียงยาว จู่ ๆ ก็มีซิ่วหนี่ว์นางหนึ่งหัวเราะคิกคักพลางวิ่งออกมาจากมุมทางเดินอย่างไม่ทันระวัง
หากองค์ไท่จื่อไม่ถอยหลังหลบฉับพลัน นางคงพุ่งชนเข้าเต็มอกพระองค์แน่
เสียงร้องอุทานดังขึ้นสองครั้ง
ทั้งสองฝ่ายต่างตกตะลึงไปชั่วขณะ
ซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นตกตะลึงจนใบหน้าซีดเผือด
ดวงตากลมโตดุจกวางน้อยเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก
รีบชะลอฝีเท้าและพยายามตั้งสติให้มั่น ก่อนจะพูดตะกุกตะกักว่า
"ท่าน...ท่าน...ท่านคือใคร?"
องค์ไท่จื่ออดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง
ๆ ออกมา
"บังอาจ!"
ขันทีน้อยที่ติดตามอยู่รีบส่งเสียงดุดัน "พบองค์ไท่จื่อแล้วยังไม่รีบคำนับอีก!
ดูจากท่าทางแล้วเจ้าคงเป็นหนึ่งในซิ่วหนี่ว์ที่ถูกคัดเลือกสินะ? กล้าถึงเพียงนี้ ถึงกับพุ่งชนองค์ไท่จื่อ ช่างบังอาจยิ่งนัก!"
ซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นอุทานเสียงดัง
"อ๊า!" สีหน้าซีดเผือดลงไปอีก รีบคุกเข่าลงทันที
ก้มศีรษะต่ำกล่าวเสียงสั่น "หม่อมฉันถวายพระพรองค์ไท่จื่อ
ขอพระองค์ทรงอภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันมิได้ตั้งใจจริง ๆ!"
"พอเถิด
หลิวเหอ เจ้าอย่าได้ทำให้นางตกใจไปมากกว่านี้เลย" องค์ไท่จื่อกระแอมเล็กน้อย
ก่อนจะยิ้มให้ซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ลุกขึ้นเถิด
เราเชื่อว่าเจ้าคงไม่ได้ตั้งใจ จะยกโทษให้เจ้า"
ซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นดีใจจนตาเป็นประกาย
รีบเงยหน้าขึ้น ดวงตาชุ่มฉ่ำจับจ้ององค์ไท่จื่อด้วยความลังเล ก่อนเอ่ยถามเสียงเบา
“จริง...จริงหรือเพคะ?”
องค์ไท่จื่อเห็นท่าทางไร้เดียงสาและแววตาบริสุทธิ์ของนาง
ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ พลางยิ้ม “แน่นอนว่าเป็นจริง
เราเคยพูดแล้วไม่รักษาคำหรือ? ลุกขึ้นเถิด!
แต่อย่าลืมว่า ที่นี่คือวังหลวง ไม่เหมือนโลกภายนอก
หากเผลอไปพุ่งชนฮองเฮาหรือสนมที่มีอำนาจ หรือแม้แต่นางกำนัลคนสนิทของพวกนาง
เจ้าจะเดือดร้อนแน่ ดังนั้น ต่อไปอย่าบุ่มบ่ามเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่? ตอนนี้พวกเจ้ากำลังเรียนรู้กฎระเบียบและมารยาทจากหัวหน้าข้าหลวงหญิงอยู่มิใช่หรือ? ถ้าไม่มีธุระสำคัญ อย่าออกจากตำหนักฉู่ซิ่วจะดีกว่า”
“เพคะ! หม่อมฉันจะจดจำคำสอนขององค์ไท่จื่อ
หม่อมฉันจะทำตามเพคะ!” ซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นรู้สึกอบอุ่นในใจ
ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางอดไม่ได้ที่จะเหลือบมององค์ไท่จื่อแวบหนึ่ง
ก่อนจะรีบหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว แก้มขึ้นสีระเรื่อ
องค์ไท่จื่อยิ้มบาง
ๆ ส่งเสียงรับในลำคอเบา ๆ โดยไม่กล่าวอะไรอีก แล้วเดินผ่านซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นไป
มือไพล่หลังอย่างสง่างาม
เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว
องค์ไท่จื่อกลับหยุดชะงัก ก่อนเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา “เจ้าชื่ออะไร?”
ซิ่วหนี่ว์ผู้นั้นยังตกอยู่ในภวังค์ของความลุ่มหลง
พอได้ยินคำถาม หัวใจของนางก็พลันเต้นแรง
ความปิติที่ไม่อาจอธิบายได้เอ่อล้นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว รีบตอบอย่างตื่นเต้น “หม่อมฉันชื่อเจียงปี้ชิงเพคะ!”
องค์ไท่จื่อพยักหน้าเบา
ๆ “อืม…” แล้วก้าวเดินจากไป
เจียงปี้ชิงเพิ่งรู้สึกตัว
นางลุกขึ้นยืนอย่างระมัดระวัง ก่อนจะกล้าหันไปมองแผ่นหลังขององค์ไท่จื่อที่เดินห่างออกไป
ดวงตานางจับจ้องแน่วนิ่ง ใบหน้าค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นโดยไม่รู้ตัว
แววตาและท่าทางของนาง
บ่งบอกถึงความรู้สึกของหญิงสาวที่เพิ่งได้สัมผัสกับความรักเป็นครั้งแรก
แม้องค์ไท่จื่อจะมีพระชนมายุเกินสามสิบพรรษาแล้ว
แต่ด้วยสายพระโลหิตแห่งราชวงศ์อันสูงศักดิ์ พระวรกายสง่างาม พระพักตร์หล่อเหลาน่าเกรงขาม
เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสูงส่งที่บุรุษทั่วไปมิอาจเทียบได้
ประกอบกับน้ำเสียงอ่อนโยนที่ตรัสกับนาง
ล้วนเป็นเสน่ห์ร้ายแรงที่อาจทำให้หญิงสาวผู้ไร้เดียงสาต้องหลงใหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
เจียงปี้ชิงยืนมองอย่างเหม่อลอย
จนกระทั่งเงาขององค์ไท่จื่อลับหายไป นางยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ก่อนจะถอนหายใจเบา
ๆ อย่างแผ่วโศก จากนั้นก้มหน้าด้วยอารมณ์หม่นหมอง ค่อย ๆ เดินกลับไปยังตำหนักฉู่ซิ่วอย่างไร้จุดหมาย
ราวกับจิตใจของนางล่องลอยไปไกลแล้ว
ไม่ไกลจากระเบียงทางเดิน
หลังแนวพุ่มไม้ดอกฝูหรงอันเขียวชอุ่ม หลีอ๋อง ใน่ชุดคลุมยาวคอกลมสีเหลืองขมิ้นลายห้าสิริมงคล
เผยรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก พลางกล่าวกับขันทีน้อยข้างกาย “ไปสืบเรื่องของเจียงปี้ชิงให้เปิ่นหวาง
แล้วให้คนของเราจับตาดูนางอย่างใกล้ชิด”
หลีอ๋องหัวเราะเบา
ๆ ก่อนหมุนตัวเดินจากไปอย่างเชื่องช้า
วันนี้เขาเข้าวังมาเพื่อถวายพระพรซูเฟยพอดี
ตอนแรกตั้งใจจะทักทายองค์ไท่จื่อและออกจากวังพร้อมกัน
แต่กลับได้ชมเรื่องราวน่าสนุกเสียก่อน!
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เขาไม่เคยเห็นพระเชษฐาองค์นี้แสดงท่าทีอ่อนโยนเช่นนี้ต่อสตรีคนใดมาก่อนเลย!
ก็ไม่น่าแปลกใจนัก ภายในวังหลวง เหล่านางกำนัลเหล่านั้น
มีสักกี่คนที่งดงามโดดเด่นจริง ๆ กันเล่า?
แม้แต่สตรีที่มีรูปโฉมสะสวยอยู่บ้าง ก็มักจะโง่เขลา หรือไม่ก็ธรรมดาสามัญ
จะไปเทียบได้อย่างไรกับบรรดาซิ่วหนี่ว์ที่ถูกคัดเลือกอย่างพิถีพิถันจากตระกูลชั้นสูง?
เจียงปี้ชิงงั้นหรือ? หลีอ๋องอดไม่ได้ที่จะส่งเสียง “เชอะ ๆ” ในลำคอ สตรีนางนั้น
ใบหน้าชุ่มชื้นสดใส ดวงตากลมโตดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
แฝงไปด้วยความไร้เดียงสาและซื่อใส ราวกับดอกบัวขาวที่ผลิบานยามรุ่งอรุณ
อาบไล้ด้วยหยาดน้ำค้างยามเช้า แม้แต่เขาเองยังรู้สึกหวั่นไหวไปบ้างเล็กน้อย องค์ไท่จื่อช่างเลือกดูคนได้ดีจริง
ๆ
ไม่นาน
คนของหลีอ๋องก็กลับมารายงานผลการสืบสวน นอกจากพวกเขาแล้ว
ดูเหมือนว่าจะมีอีกฝ่ายหนึ่งที่กำลังสืบเรื่องของซิ่วหนี่ว์ที่ชื่อเจียงปี้ชิงอยู่เช่นกัน
อีกฝ่ายระมัดระวังเป็นอย่างมาก
จึงยังไม่อาจสืบได้แน่ชัดว่าผู้ใดเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง
ยิ่งไปกว่านั้น
ดูเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามเองก็เริ่มรู้สึกถึงการมีอยู่ของพวกเขาแล้ว เช่นนี้แล้ว
ควรจะสืบต่อไปหรือไม่ ยังต้องรอคำสั่งจากนายเหนือหัวอีกครั้ง
หลีอ๋องจึงสั่งให้คนของตนยุติการสืบสวน
พลางหัวเราะเย็นชา เขารู้ดีว่า ไม่มีใครอื่นที่กำลังสืบเรื่องของเจียงปี้ชิง
นอกจากองค์ไท่จื่อแน่นอน!
"เสด็จพี่ไท่จื่อเอ๋ย...
ท่านคิดว่า หากเสด็จพ่อรู้ว่า
ท่านเกิดความรู้สึกต้องห้ามกับสตรีของพระองค์แล้วล่ะก็ พระองค์จะทรงคิดเช่นไร?"
รอยยิ้มบนริมฝีปากของหลีอ๋องยิ่งลึกขึ้นเรื่อย
ๆ จากรอยยิ้มเย้ยหยันกลายเป็นเสียงหัวเราะเบา ๆ และไม่นาน
เสียงหัวเราะนั้นก็ดังก้องขึ้นทีละน้อย
เมื่อถึงเวลานั้น
คงเป็นเรื่องที่น่าสนุกไม่น้อยเลยทีเดียว!
**
[1] 秀女 (xiù nǚ) หมายถึง
สตรีที่ถูกคัดเลือกเข้าวังเพื่อเป็นสนมหรือข้าหลวงของจักรพรรดิ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น