วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 1 ตื่นขึ้น (รีไรท์)

              ศรีษะเธอปวดแปลบราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
              หลังจากค่อยๆฟื้นสติขึ้นมา   จั่วเหมยรู้สึกประหลาดใจและดีใจเป็นล้นพ้น  เธอยังไม่ตาย!
              หลังจากที่ตนเองเฝ้ามองรถยนต์ลอยละล่องจากหน้าผาสูงชัน  ทว่ากลับยังคงรอดชีวิตมาได้  อะไรจะโชคดีขนาดนี้ ...นะ!
             ท่ามกลางความรู้สึกประหลาดใจและดีใจผสมปนเปกัน   หญิงสาวลุกขึ้นนั่ง  พลันให้อึ้งตะลึง ตกใจอ้าปากค้าง
             ยามนี้มีเด็กชาย2คนและเด็กหญิง1คนยืนเฝ้าอยู่รอบเตียง  เด็กชายที่แก่กว่าอายุราว 12 ปี ขณะที่เด็กชายอ่อนวัยกว่าและเด็กหญิงตัวน้อยดูอายุไม่จะน่าเกิน 8 หรือ 9 ปี

            เด็กทั้งสามต่างสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบที่เก่าซอมซ่อ   อาภรณ์ลายดอกไม้ของเด็กหญิงตัวน้อยเก่าซะจนกระทั่งลายดอกไม้เลือนจางแทบมองไม่เห็น
.            เป็นพวกเธอ...ที่ช่วยชีวิตฉันใช่ไหมจ๊ะจั่วเหมยถาม  เด็กชายทั้งสองไว้ผมยาวเกล้าเป็นจุกบนศีรษะ   เธอคิดเพียงว่าพวกเขาคงอาศัยอยู่ในที่ห่างไกลจากความเจริญซึ่งยังคงรักษาประเพณีแบบโบราณอยู่  เลยไม่ได้ประหลาดใจมากนัก 
             “พี่ใหญ่เด็กหญิงระเบิดเสียงร่ำไห้คร่ำครวญ และโถมตัวมากอดเธอ  พลางส่งเสียงสะอื้นขณะเอ่ยว่า พี่ใหญ่  ท่านยังไม่ตาย ท่านยังไม่ตาย ฮือ.ฮือ..
             พี่ใหญ่หรือ?
             จั่วเหมยอยู่บนโลกใบนี้มาเกือบ30ปีแล้ว  อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนใจตาม  รำพึงในใจว่า  เด็กหญิงตัวเล็กๆเท่านี้ช่างขี้อ้อนจริงๆ!  เธอสาบานได้ว่า เด็กคนนี้เรียกเธอว่า พี่ใหญ่
ได้ยินเสียงเด็กน้อยร่ำให้เศร้าสร้อย  จั่วเหมยอดยื่นแขนมาโอบกอดเธอมิได้  พลางตบหลังเด็กน้อยเบาๆ  ร่างน้อยๆของเด็กหญิงสั่นสะท้าน  ยิ่งกอดกระชับจั่วเหมยแน่น
             “ฟางฉิง ปล่อยพี่ใหญ่เถิด  นางแทบจะหายใจไม่ออกแล้วนะ”  เด็กชายที่โตกว่าเอื้อมมือมาดึงเด็กหญิงตัวเล็กที่ชื่อฟางฉิงออก   เธอรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นดีใจแปลกๆในน้ำเสียงเขาอย่างชัดเจน
             ฟางฉิงน้อยถูกดึงตัวออกไป  ส่งเสียงครวญคล้ายแมวร้องอย่างขัดใจ   แต่ก็ไม่ได้เกาะติดจั่วเหมยอีกแล้ว   เธอยืนนิ่งอย่างว่าง่ายอยู่ข้างๆ  สูดน้ำมูกและจ้องมองจั่วเหมยด้วยดวงตาดำงดงามเป็นประกาย  สายตาเต็มไปด้วยความรักใคร่ห่วงใย
             จั่วเหมยสูดหายใจเข้าลึกๆ และยิ้มให้เด็กชายที่โตกว่า  เด็กชายทั้งสองรู้สึกสะเทือนอารมณ์มากขึ้น  ที่นี่คือที่ไหนกันจ้ะ   แล้วพวกเธอชื่ออะไรกันบ้าง”  จั่วเหมยคลี่ยิ้มขณะเอ่ยถามเด็กชายที่โตที่สุด
             ทันไดนั้นเด็กชายแก่วัยกว่าผู็นั้นพลันเบิกตากว้าง  จ้องมองจั่วเหมยอย่างโง่งม  สีหน้าของเขาสะกดชัด 4 คำว่า เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร
           จั่วเหมยยิ้มค้าง  และเริ่มรู้สึกแปลกๆบ้างแล้ว
           “พี่ใหญ่!”  ก่อนที่เธอจะมีเวลาแม้แต่จะถาม   เด็กหญิงตัวน้อยน้ำตาคลอหน่วย  ร้องตะโกนเสียงลั่นจนจั่วเหมยสะดุ้ง
            “พี่ใหญ่  ท่านจำพวกเราไม่ได้หรือ?  ท่านไม่ต้องการพวกเราอีกต่อไปแล้วหรือ อา....”  เด็กหญิงโผเข้าหาจั่วเหมยอีกครั้ง ระเบิดเสียงร้องไห้ยกใหญ่
             “อย่าร้อง อย่าร้องนะ! พี่ใหญ่ไม่ได้จะทอดทิ้งพวกเจ้าหรอก  นางไม่ทำเช่นนั้นแน่นอน”  เด็กชายตัวเล็กๆสูดน้ำมูกเบาๆ   หน้าตาอยากร้องไห้อย่างชัดเจนแต่จำต้องกัดริมฝีปากฝืนไว้  ส่งสายตาตัดพ้อน้อยใจให้จั่วเหมย  ก่อนจะดึงแขนเสื้อฟางฉิง
             ลักษณะอาการของพวกเด็กๆ  ช่างดูน่ารักน่าสงสารนัก!   สายตาตัดพ้อที่ส่งมา  แทบทำให้จั่วเหมยทนไม่ไหว  คล้ายว่าเธอไปทำผิดอะไรไว้
             “พี่ใหญ่ในที่สุดเด็กชายที่โตกว่าก็รู้สึกตัวและดึงเด็กผู้หญิงตัวน้อยออกมาก  ผลักเด็กน้อยไปไปให้เด็กชายที่อ่อนวัยกว่าปลอบโยน   เขาจ้องจั่วเหมยอย่างประเมิน  แล้วเอ่ยออกมาด้วยความหดหู่ใจ  พี่ใหญ่ ท่านต้องไม่เป็นแบบนี้นะ  หากสกุลหยางต้องการถอนหมั้น  เช่นนั้น...ก็ปล่อยให้พวกเขาทำเถิด!  พวกเขาก็แค่เหยียบย่ำซ้ำเติมเรา  เพราะว่าเราไม่มีท่านพ่อท่านแม่อีกต่อไปแล้ว?   หากพี่ใหญ่แต่งเข้าสกุลเช่นนั้น   ชีวิตพี่ใหญ่คงเจอแต่ความลำบากพี่ใหญ่...ข้าจะเป็นผู้ดูแลท่านต่อจากนี้เอง  ได้โปรดอย่าโศกเศร้าเสียใจอีกเลยนะ ได้ไหม....
               “…..”  จั่วเหมยนิ่งฟังอย่างงุนงง   แม้ว่าเด็กหนุ่มจะอธิบายความมากขึ้น   ทว่าเธอก็ไม่อาจประมวลผลเข้าใจได้  เธอบอกไม่ได้ว่าคนไหนในพวกเขาที่สติฟั่นเฟือน!
                จนกระทั่งเธอเหลือบมองมือทั้งสองของตนเองโดยไม่ได้ตั้งใจ  ใจเธอพลันกระตุกแรง
                 “มีกระจกไหม”   จั่วเหมยถามขึ้นทันใด
                  เด็กชายยืนแข็งค้างและครางออกมา กระจก?”
                  “เธอเอาน้ำมาให้ฉันอ่างหนึ่งได้ไหม!”   จั่วเหมยถามอีกครั้งอย่างตื่นตระหนก
                 “ข้าไปเองเด็กชายตัวเล็กเพิ่งปลอบฟางฉิงน้อยเสร็จ  หลังจากได้ยินจั่วเหมยร้องขอ  เขาหมุนตัวและวิ่งออกไปทันที
                  หลังจากนั้นไม่นานนัก  เด็กชายตัวน้อยก็ถืออ่างไม้ที่มีน้ำเต็มเปี่ยมเข้ามา  พลางเดินส่ายไปมา  เด็กชายที่แก่กว่ารีบวิ่งไปรับไว้อย่างรวดเร็ว
                  จั่วเหมยรีบลงจากเตียงทันใด    วางอ่างไม้บนโต๊ะสี่เหลี่ยมเก่าคร่ำคร่า  ชะโงกศีรษะ  แล้วจึงเห็นใบหน้ายาวรีรูปไข่ขาวซีด  ดวงตากลมโต  ริมฝีปากสีแดงสด.....
                  ใบหน้าอ่อนเยาว์เนียนละเอียด  แน่ชัดแล้วว่าไม่ใช่ใบหน้าของเธอที่อายุเกือบ30 ปี!  แขนขา ร่างกายและใบหน้าดวงเล็กเหล่านี้  เป็นของสตรีอ่อนวัยที่ผอมบางเพราะขาดอาหาร  อายุราว 14 หรือ 15 ปีอย่างเห็นได้ชัด!
                  รวมกับเสียงเรียก พี่ใหญ่จากเหล่าสามพี่น้องเมื่อกี๊นี้   ร่างกายจั่วเหมยสั่นระริก  เซไปจนเกือบสะดุดล้มลง  เธอได้ข้ามกาลเวลามาสู่โลกอื่น...โลกอื่นหรือนี่!....
                  “พี่ใหญ่!เด็กชายโตกว่ารีบวิ่งเข้ามาพยุงเธอ  พี่.ใหญ่ไหวหรือไม่?   ท่านอยากนั่งพักสักครู่ไหม?” 
                 .ฉัน”  จั่วเหมยอ้าปาก แต่พบว่าตนเองไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมาดี
                   เธอปล่อยให้เด็กหนุ่มพยุงเธอนั่งลง  พลางมองไปรอบๆ  พร้อมทั้งประเมินสภาพบ้านซึ่งแสดงให้เห็นถึง ความยากจนข้นแค้น รู้สึกถึงความเศร้าโศกที่ทิ่มแทงในหัวใจ
                   เธอถอนหายใจในใจเงียบๆ  ไม่ว่าในหัวใจที่สับสนว้าวุ่นจะรู้สึกอย่างไรในตอนนี้   เธอจำต้องยินยอมและยอมรับความจริงอันนี้
                  “พี่สบายดี”  จั่วเหมยฝืนยิ้ม และพูดอย่างอ่อนโยน พี่จะไม่ยอมตาย หลังจากวันนี้  พวกเราจะเป็นครอบครัวเดียวกัน….”
                   “ตราบใดที่พี่ใหญ่สบายดี!”  เด็กหนุ่มพยักหน้าแรงๆ  ตื่นเต้นยินดียิ่งนัก  คลี่ยิ้มช้าๆ จนเห็นฟันขาวสะอาด
                  จั่วเหมยรู้สึกว่าเขาช่างดูหล่อเหลาเมื่อเขายิ้มอย่างเปิดเผยเช่นนี้
พี่ใหญ่! พี่ใหญ่!” ฟางฉิงวิ่งเข้าไปสวมกอดหญิงสาวอีกครั้ง  พลางสะอื้นไห้ เอ่ยเสียงหวานว่า พี่ใหญ่จะต้องไม่ตาย   พี่ใหญ่รักและตามใจข้าที่สุดข้าจะไม่ยอมให้พี่ใหญ่ตาย.....
                  จั่วเหมยยิ้มบางๆ และอดไม่ได้ที่จะกอดนางกลับแน่นๆ
                  ตอนนี้ เธอได้เพียงแต่ทำทุกอย่างทีละขั้นๆ  สามพี่น้องนี้ล้วนยังเด็กนัก  จากกิริยาอาการของพวกเขา  มันชัดเจนว่าทั้งสามรักพี่สาวคนโตคนนี้อย่างสุดซึ้ง  บางทีคงไม่ลำบากนัก  หากให้พวกเขาอธิบายสิ่งต่างๆ โดยที่เธอไม่เผย พิรุธใดๆ  ขณะที่อยู่ในร่างอ่อนวัยนี้      เด็กทั้งสามคนจะรู้เรื่องการกลับชาติมาเกิดใหม่แค่ไหนนะ?
                  อย่างไรก็ตาม   เนื่องจากเธอไม่มีความเจ็บปวด หรืออาการป่วย หรือรอยแผลบนคอ  ไม่มีบาดแผลซักรอยบนร่างกาย ทำไมเด็กทั้งสามถึงร้องไห้และส่งเสียงร้องตื่นเต้นกับการที่เธอไม่ตาย?
                 .เช่นนั้น...เมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้นกับพี่?” จั่วเหมยถามด้วยรอยยิ้ม  
                  "หญิงอ้วนสกุลหัวคนนั้นเข้ามาในลานบ้านเราและเริ่มตะโกนด่าทอเราจากนอกเรือน  หลังจากพี่ใหญ่ได้ฟัง พี่ใหญ่ก็ฟุบล้มลงกับพื้น และ...และแล้ว ท่านก็หยุดหายใจ!” ฟางฉิงพูดอย่างรวดเร็ว
                  “สกุลหัว?”  จั่วเหมยอึ้งเล็กน้อย
                  “ฟางฉิง!”  เด็กหนุ่มเตือนน้องสาวตัวเล็กเบาๆ  แล้วหันไปหาจั่วเหมยด้วยสายตางุนงง                       . ท่านจำคนสกุลหัวไม่ได้หรือ?”
                  จั่วเหมยนวดขมับพร้อมยิ้มเจื่อน  พี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอีกด้วย หลังจากตื่นขึ้นมา  จิตใจยามพี่นี้มันออกจะสับสนยุ่งเหยิง  ครานี้มีหลายสิ่งที่ไม่กระจ่างนัก....
                  เด็กชายที่โตกว่าพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเข้าใจโดยฉับพลัน  เขาไม่สงสัยแม้แต่น้อย  และไม่ต้องให้จั่วเหมยอ้าปากถาม  เขาพลันเอ่ยว่า เมื่อครึ่งปีก่อน  หลังจากท่านพ่อท่านแม่ได้จากไปในเหตุการณ์น้ำป่าไหลบ่าฉับพลัน  หลังจากที่พวกท่านขึ้นเขา  สกุลหยางของคู่หมั้นพี่ใหญ่  ประสงค์จะยกเลิกการหมั้นหมาย แต่พี่ใหญ่....
                  เด็กหนุ่มเหลือบมองจั่วเหมยอย่างอึดอัดใจ
                  เห็นได้ชัดว่าจั่วเหมยคนก่อนต้องยืนกรานไม่ย่อมปฏิเสธเป็นแน่
                  ถึงกระนั้น...เป็นไปไม่ได้ที่จะตำหนิเธอ   ยามนี้ครอบครัวของนางยากจนลง  ไม่มีบิดามารดา  และแถมยังมีพี่น้องวัยเยาว์พ่วงมาอีก3หน่อ  ด้วยสภาพเช่นนี้  ทันทีที่มีการถอนหมั้น  จะมีสกุลอื่นใดเต็มใจให้เธอแต่งเข้ามาอีกเล่า?
                   เธอยิ้มและพยักหน้าอย่างเข้าใจ  พลันถามต่อ เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น
                   เมื่อเห็นดั่งนี้แล้ว  เธอจึงปล่อยวางความทุกข์ใจก่อนหน้าได้หมสิ้น  เด็กหนุ่มโล่งใจและรีบเล่าต่อ คนสกุลหยางไม่ได้ยกเลิกการหมั้นหมาย  แต่ทว่าพวกเขาทาบทามหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนนางหนึ่งในหมู่บ้านเรา  เช่นนั้นแล้ว..พวกเขาบอกคนสกุลหัว  ให้หาวิธีทำให้พี่ใหญ่เป็นฝ่ายยกเลิกการหมั้นหมายแทน  แล้วแม่เฒ่าผู้นั้นได้ให้ลูกสะไภ้ใหญ่ของสกุลฮัว  คือฮูหยินหลิว  ไปตะโกนด่าทอท่านที่หน้าประตูบ้านครั้งแล้วครั้งเล่า   จนพี่ใหญ่คับแค้นกับวาจากล่าวโทษของนางจนเป็นลมไป...อย่างน้อยที่สุดตอนนี้พี่ใหญ่ก็สบายดีแล้ว  มิเช่นนั้นข้าจะเอาชีวิตข้าต่อกรกับฮูหยินเหลียวให้ได้
                   นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น
                    จั่วเหมยแอบถอนหายใจในใจ  พี่สาวเด็กหนุ่มไม่ได้เป็นลมเพราะโทสะ  แท้จริงแล้วเธอตายเพราะความคับแค้นใจต่างหาก!
                     แม่นางผู้นี้ถูกปั่นหัวง่ายดายเกินไป!
                     พลันเสียงแหลมบาดหูดังมาจากหน้าประตูรั้วบ้าน  จั่วเหมยอดไม่ได้ที่จะเงี่ยหูฟัง...


11 ความคิดเห็น:

  1. แอบขอลิ้งค์ไว้นานแสนนาน กลับมาอ่านแล้วนะคะ เริ่มอ่านใหม่ ตามอ่านมาจากเด็กดี ฮื่อออ

    ตอบลบ
  2. ติดตามจ้า น่าสนุกมาก เป็นกำลังใจให้น้าา

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณมากค่ะ🌸😊

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณที่แปลให้อ่านค่ะ

    ตอบลบ
  5. เพิ่งเริ่มเข้ามาอ่าน เนื้อเรื่องน่าสนใจดีค่ะ ติดตามและขอบคุณที่แปลให้อ่านนะคะ

    ตอบลบ
  6. พึ่เ
    ริ่มเข้ามาอ่านวันนี้เป็นกำลังใจให้ผู้แปลนะคับ

    ตอบลบ
  7. เคยอ่านตั้งแต่สมัยอยู่เด็กดี ดีใจมากเลยที่กลับมาเจออีกครั้ง ขอบคุณที่อัพนะคะ

    ตอบลบ
  8. กำลังเริ่มอ่าน บังเอิญเจอ น่าสนใจมากค่ะ ขอติดตามอีกคนนะคะ

    ตอบลบ
  9. ขอบคุณที่แปลให้อ่านนะคะสนุกมากค่ะเพื่อนแนะนำให้อ่าน

    ตอบลบ
  10. ไม่ได้อ่านมานานมาก ตอนนี้กลับมาอ่านเริ่มแต่หนึ่งใหม่🥰🥰

    ตอบลบ