เหลียนฟางโจวยิ้มอย่างขมขื่น
แอบหัวเราะเยาะตัวเองในใจเงียบๆ เธอกำลังคิดว่าตัวเองสูงส่ง เผลอคิดไปว่าจะมีผู้ชายสักคนใช้ความเพียรพยายามอย่างหนัก มีความมุ่งมั่นที่จะแต่งงานกับเธอ ยืนหยัดเพื่อเธอ ทุ่มเททุกอย่างเพื่อเธอ....
แล้วคนอายุสามสิบปีอย่างเธอ ไปมีความคิดเพ้อฝันไร้สาระนี้ได้อย่างไร! คงเป็นเพราะอยู่ในร่างสาวน้อยเช่นนี้ ถึงได้ลวงตาตัวเองใช่หรือไม่? เธอต้องการฝากชีวิตไว้กับใครสักคนหนึ่งอย่างนั้นรึ?
เชอะ! คงต้องอยู่คนเดียวไปจนแก่ตาย จะไปหาผู้ชายแบบที่ชอบเกาะคนอื่นกินได้รึ
? ถึงชีวิตนี้จะปราศจากผู้ชาย มันก็เหมือนชีวิตเมื่อชาติก่อนของเธอ ซึ่งเธอคิดว่าเป็นวิถีการดำเนินชีวิตที่ยอดเยี่ยมมาก!
เหลียนฟางโจวเทน้ำในอ่างทิ้งไปแล้ว เช็ดมือให้แห้ง หันหลังเดินกลับเข้าบ้าน
เหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อเหนื่อยล้ามาจากงานในช่วงเช้า ทั้งสองจึงอยู่เฝ้าบ้าน
เห็ดซึ่งเหลียนฟางฉิงเก็บมาอย่างเอาจริงเอาจังราวกับของมีค่า ได้ถูกนางกับเหลียนเช่อนำไปล้างน้ำ ขัดถูให้สะอาด วางไว้ในครัว ทั้งสองอยากให้เหลียนฟางโจวยอมให้ปรุงเจ้าพวกนี้ในมื้อเย็น คงจะถูกใจพวกเขามาก ใบหน้าของเด็กเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
พี่ใหญ่และพี่รองทั้งสองต่างเดินไปเดินกลับ
สี่รอบ จึงขนของเก็บจนเสร็จ ทั้งสองต่างเหนื่อยล้า ปวดเมื่อยขบไปทั้งหลัง แขนและขา
เหลียนฟางโจวปาดเหงื่อที่ไหลโซมกายออกมามากมาย เอามือถูไหล่พลางถอนหายใจอย่างหนักหน่วง งานในฟาร์มเป็นงานที่ต้องใช้แรงกายอย่างแท้จริง! ตอนนี้แรงงานที่ใช้ได้ก็มีเพียงเธอและเหลียนเซ่อเท่านั้น เธอมีภาระมากมาย ต้องถากถางพื้นดินเพื่อขุดหาอาหารมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนทั้งสี่ให้อิ่ม ต้องส่งเสียเหลียนเช่อให้เรียนหนังสือ
ทั้งต้องหาภรรยาที่ดีให้ทั้งเหลียนเซ่อและเหลียนเช่อด้วย ส่วนฉิงเอ๋อร์ ย่อมต้องการสินเดิมของเจ้าสาวไว้เผื่อตอนแต่งงานออกไป ทุกเรื่องล้วนยากลำบากจริงๆ! เมื่อคิดถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญ
และเป็นนักวิจัยด้านเกษตรกรรมก็ให้รู้สึกเศร้าใจนัก ทั้งปีนี้ ปีหน้า เธอต้องเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิตให้ได้....
เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อกลับถึงบ้านในตอนเย็น
น้องๆทั้งสองรู้สึกถึงความอ่อนล้าของพี่ๆได้ ทั้งคู่ฉลาดมีไหวพริบ รีบไปหาน้ำหาท่ามาให้พี่ๆล้างหน้า ล้างมือ ทั้งยังรินน้ำชาให้ดื่มด้วย เหลียนฟางฉิงยกกำปั้นน้อยๆ
คอยทุบหลังให้กับพี่สาวคนโต
เหลียนเช่อก็ปัญญาไวตรงเข้าครัวเตรียมก่อไฟในเตาเพื่อใช้หุงอาหาร...
เหลียนฟางโจวมีความสุขมาก ที่พวกน้องๆรู้จักเอาใจใส่เช่นนี้ เธอต้องช่วยครอบครัวนี้ให้มีวันที่ลืมตาอ้าปากให้ได้
หลังจากได้พักสักครู่ เหลียนฟางโจวจึงเอาน้ำครึ่งหม้อใส่กระทะเหล็กต้ม ในขณะเดียวกันเธอก็ฝานเห็ดเผาะเป็นชิ้นบางๆอย่างประณีต เมื่อน้ำเดือดดีแล้ว จึงเอาเห็ดที่หั่นเป็นชิ้นบางๆไว้แล้วใส่ลงไป คนด้วยตะเกียบ
กะประมาณ 2 เค่อ (30นาที)
จึงตักขึ้นและพักไว้ในอ่างไม้ที่ใส่น้ำสะอาดเตรียมไว้ มองเห็นชิ้นเห็ดลอยฟ่องเต็มอ่าง
ขณะที่เธอกำลังทำอาหาร หญิงสาวได้พูดกับเหลียนเซ่อและเหลียนฟางฉิงไปด้วย
“ต้องกล่าวได้เลยว่ามีเห็ดหลากหลายชนิดในภูเขาและที่ราบนี้ และเห็ดที่ต่างชนิดกัน ต้องมีกรรมวิธีในการปรุงที่แตกต่างกัน บางพวกเหมาะนำไปทอดหรือผัด บางพวกเหมาะไปต้มเป็นน้ำซุปโดยตรง บางพวกต้องนำไปแช่น้ำเย็นสักหนึ่งคืน บางพวกจะได้ผลต้องต้มในน้ำเท่านั้น แต่บางพวกเหมาะนำไปหมักกับเกลือ มิเช่นนั้น
หากกินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปอาจเจอเรื่องไม่คาดฝันขึ้น! ผู้คนในหมู่บ้านเราไม่ค่อยรู้เรื่องเหล่านี้มากนัก ดังนั้นจึงไม่กล้าเก็บเห็ดป่า!”
เหลียนฟางฉิงปรบมือรัวๆกับคำอธิบายพลางยิ้มอย่างชื่นชม
“พี่ใหญ่ข้าเก่งฉกาจที่สุดเลย! พี่ใหญ่ช่างมีความรู้กว้างขวาง!
ต่อไปพวกเราไปเก็บเห็ดป่ามาให้มากๆเถิด!”
ตัวเหลียนเซ่อเองก็พยักหน้าเบาๆอย่างเห็นด้วยโดยพลัน เมื่อได้ยินวาจาของเหลียนฟางฉิงที่พูดโดยไม่ทันคิด เขาอดเหลือบตามองเหลียนฟางโจวไม่ได้ ไม่ได้กล้าถามว่านางรู้ได้อย่างไร แต่เขาบอกกับตัวเองได้เลยว่าไม่ว่าพี่สาวเขาจะทำสิ่งใด เขาเชื่อนางอย่างไม่มีเงื่อนไข! เชื่อถือนางจนหมดใจ!
เหลียนฟางฉิงมองชิ้นเห็ดเผาะที่ผัดอยู่ในกระทะ เมื่อคิดว่าเพราะนางเป็นผู้เก็บมา จึงอดรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
ผ่านไปสักครู่หญิงสาวจึงยกกระทะลง เด็กน้อยรีบปรี่ไปช่วยพี่สาว ในเวลาเดียวกันก็สูดกลิ่นหอมอันยั่วยวนไปเต็มที่ ใบหน้าเล็กๆคลี่ยิ้มกว้าง “หอมจังเลย!”
เหลียนเซ่อเหลือบมองชิ้นเห็ดผัดมากมายที่มีเต็มไปด้วยน้ำมันเคลือบอยู่ เอ่ยเบาๆคล้ายกระซิบด้วยความเศร้าใจ “จะไม่หอมได้เช่นไร ใส่น้ำมันไปตั้งมาก....”
เหลียนฟางโจวเมื่อได้ยินเช่นนั้น จึงรู้สึกละอายใจขึ้นมา
เธอมาจากยุคสมัยใหม่ เคยชินกับชีวิตความเป็นอยู่แบบสมัยใหม่ การปรุงอาหารจานผัดที่ใส่น้ำมันถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาก!
อย่างไรก็ดี สิ่งแรกที่เธอลืมคำนึงไปคือ ในยุคโบราณนี้ น้ำมันกลับกลายเป็นของมีราคาค่างวด
หลายครอบครัวไม่สามารถเอาน้ำมันมาปรุงอาหารได้มากนัก จึงจำเป็นต้องใช้กันอย่างประหยัด
นี่ นี่เธอกำลังโดนตำหนิใช่ไหมนี่! ที่ใช้น้ำมันอย่างไม่ระมัดระวัง เหลียนฟางโจวยิ้มอย่างขมขื่น เมื่อนึกถึงไข่เจียวทอดเมื่อคืน เธอใส่น้ำมันลงไปตั้งสองช้อน!
เมื่อวานนี้
คาดว่าเหลียนเซ่อคงต้องอดกลั้นไม่เอ่ยปาก
คืนนี้เธอก็ยังทำพฤติกรรมแบบเดิมอีก
เขาคงไม่สามารถทนดูต่อไปได้
หากยังขืนปรุงอาหารเช่นนี้ไปเรื่อยๆ บางทีน้ำมันครึ่งขวดนี้อาจถูกใช้หมดไปภายในครึ่งเดือน ภายหลังจากนั้นเป็นนาน เหลียนฟางโจวจึงได้รู้ว่าน้ำมันครึ่งขวดนี้ ดั้งเดิมครอบครัวนี้ใช้กินกันไปได้ถึงครึ่งปีทีเดียว!
“น่าเสียดายนัก น้ำมันนี้เป็นของราคาแพง ต่อไปเวลาปรุงอาหารข้าจะใส่เพียงเล็กน้อย!” เหลียนฟางโจวยิ้มเอาใจเหลียนเซ่อ
เหลียนเซ่อกล่าวพลางยิ้ม “จริงๆแล้ว ครานี้ใช้น้ำมันไปแล้วครึ่งหนึ่ง ยังเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง ทว่าก็ยังเพียงพอให้ใช้กินต่อไปได้ คราวหลังใส่ครั้งละสองหยดก็น่าจะยังพอรับได้” เหลียนฟางโจวพยักหน้ายิ้มรับ รู้สึกละอายใจกับพฤติกรรมที่เคยชินและการไม่ระมัดระวังก่อนหน้ามากขึ้น
ทั้งสี่พี่น้องลงมือกินอาหารมื้อเย็นพร้อมหน้าพร้อมตากัน หลังจากนั้นเหลียนเช่อเก็บกวาดจานบนโต๊ะอาหารเก็บเข้าครัวอย่างขยันขันแข็ง ส่วนเหลียนฟางฉิงก็ลงมือล้างจานชาม
ในตอนเย็น เหลียนฟางโจวดูน้ำอาบที่ต้มอยู่ในหม้อต้ม ให้รู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งนัก หักไปอีกทางก็เห็นเด็กน้อยทั้งสองกำลังง่วนอยู่กับงานบ้าน ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนนั่งพักเอาแรงอยู่ในห้องโถง ในหัวเธอครุ่นคิดถึงวันคืนในอนาคตที่ต้องก้าวข้ามผ่านไป
ทันใดนั้นมีเสียงตะโกนแหลมดังกรีดผ่านอากาศขึ้นมา
จากภายนอกบ้าน เสียงประณามก่นด่านั้น เหลียนฟางโจวค่อนข้างคุ้นเคยอยู่มาก เมื่อเธอเดินชะโงกหน้าไปดู จึงพบว่า เป็นฮูหยินหลิวของสกุลหัวมาเยือน
ดูเหมือนว่าเรื่องราวตอนกลางวันมีคนในสกุลหัวรับรู้แล้ว จึงโกรธอย่างรับไม่ได้ ดังนั้นจึงส่งฮูหยินของตระกูลมาตะโกนสาปแช่งเธอ
“ชัดเจนเลยว่า เรื่องนี้เป็นฝีมือของคนในสกุลหยางที่ยุยง จึงเป็นเหตุให้นางวิ่งมาสาบแช่งด่าว่าที่หน้าประตูรั้วบ้านคนอื่นได้ ข้าจะไล่นางไป!” เหลียนเซ่อโกรธจัด
“ข้าไปเอง!” เหลียนฟางโจวยึดตัวเขาไว้ ก้าวเท้าอย่างใจเย็นจนถึงบริเวณลานบ้าน จึงถืออ่างน้ำเย็นไปด้วย เธอเดินตรงไปด้านนอก “โครม..ปัง!” น้ำเย็นสาดกระจายไปทั่วตัวฮูหยินหลิว
ครานี้มีความแตกต่างจากครั้งก่อน คืออ่างน้ำใหญ่ขึ้น น้ำเย็นขึ้น
แรงที่สาดน้ำก็มากขึ้นอีกด้วย
“!เหลียนฟางโจว เจ้า..ฮัดเช่ย..!” ฮูหยินไม่คาดว่าสวรรค์จะประทานน้ำเย็นมาให้อีก ทั้งตกใจและโมโห นางโดนสาดด้วยน้ำเย็นจนเปียกโชก ตัวสั่นจนแทบหายใจไม่ออก
“เจ้า ต้องการอะไร! เจ้ากลายเป็นหญิงที่หมกมุ่น ชอบดุด่า ทะเลาะเบาะแว้งกับชาวบ้านไปแล้วรึ?
ว่างงานมากนักรึไง? ถึงได้แจ้นมาเกะกะระรานบ้านคนอื่น
รีบไสหัวออกไปเลย ก่อนที่ข้าจะสาดน้ำเจ้าอีก!” เหลียนฟางโจวตะโกนขู่พลางจ้องด้วยดวงตากร้าวกระด้าง
“เจ้า เจ้า และทีเจ้าไปยั่วยวนว่าที่น้องเขยของสกุลเรา เจ้าไม่ห่วงหน้าตาชื่อเสียงตัวเองเลย!” ฮูหยินหลิวกวาดน้ำบนใบหน้าออกอย่างไม่พอใจ จ้องหน้าเหลียนฟางโจวพลางกรีดร้องเสียงดัง “มาดูกันเร้ว มาดูกันเร็ว! เด็กสาวสกุลเหลียนเป็นพวกอันธพาล ! ทำร้ายผู้คน! ไม่รักนวลสงวนตัว
ชอบยั่วยวนผู้ชายโดยไม่คำนึงถึงเหตุผลใดๆ ! มาดูกันเร็ว!”
“ฮูหยินหลิว
เจ้ากล้าพูดจาใส่ร้ายอีกแล้ว!” ใบหน้าเหลียนเซ่อพลันเปลี่ยนเป็นซีดขาว
อย่างนี้ต้องจัดการให้เข็ดคนประเภทนี้...ไม่รู้นางเอกจะแก้เผ็ดยังไง...รออ่านคะ ขอบคุณคะ
ตอบลบเนื้อเรื่องเข้มข้นมากจริงๆ
ตอบลบขอบคุณมากครับแปลได้ดีมากๆเลย
ตอบลบไรท์แปลดี และสนุกมากค่ะ ขอบคุณที่แปลนิยายดีๆให้อ่านกัน
ตอบลบรอติดตามตอนต่อไป รอเจอท่านแม่ทัพ
เมื่อไหร่จะได้อยู่อย่างสงบๆบ้างนะ ยังผู้หญิงแก่ๆนั่นก็ชอบหาเรื่องจริงๆ เบื่อนาง!
ตอบลบน่าจสาดน้ำร้อนนะ
ตอบลบน้ำเย็นกะละมังเดียวไม่พอละมั้งน่าจะสาดไปอีกหลายๆกะละมังเลย
ตอบลบคนทำงานหนักแทบตาย กล้าพูดมาได้ว่าว่างไปยั่วยวนคนอื่น เห้อ...ไปแล้วสมอง
ตอบลบขอบคุณค่ะ
ตอบลบ