วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ภรรยาข้าผู้ร้ายกาจเจ้าเล่ห์ -บทที่ 20 โรงเตี๊ยมริมหน้าผา

          หัวหน้าโจรกวาดสายตามองนี่ฉิงไล่จากศีรษะจรดปรายเท้าขึ้นและจากปลายเท้าจรดศีรษะ  แล้วโบกมือไล่เขาให้หลีกไปไกลๆ “แค่มองผ้าขี้ริ้วที่เจ้าสวมก็น่าเวทนาแล้ว เจ้าอยากทำให้ชื่อเสียงของกลุ่มโจรข้ามัวหมองรึ  รีบไสหัวไปให้ไกลเลย อย่าเข้ามายุ่มย่าม ไม่มีใครพูดว่าจะปล้นเจ้าเสียหน่อย”

            นี่ฉิงสีหน้าดิ่งลง ถลึงตามองมู่หรงหยุนชูทันที
            มู่หรงหยุนชูงุนงงนัก  เขาใส่เสื้อผ้าเก่าซอมซ่อเอง  แล้วมาจ้องนางหาอะไร?
            ก็เขาดูเป็นยาจกกว่านางนี่นา! นี่ฉิงจึงอารมณ์บูดและหันไปค้อนมู่หรงหยุนซูทีหนึ่ง รถม้าคันนี้น่าจะหุ้มด้วยแผ่นเงิน และทอง ซ้ำผ้าม่านยังเป็นผ้าไหมที่มีราคาแพง ภายในก็บุด้วยผ้าไหมทั้งหมด  ดูเหมือนเจ้าของคงกลัวว่าจะไม่ได้พบโจรกระมัง!
            มู่หรงหยุนชูกลัวว่าโจรจะไม่มองหานางจริงๆนั่นแหละ ทว่านั่นคือเรื่องเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ยามนั้นนางมีเหตุให้ต้องขึ้นเขาฮั่วโตว นางชื่นชอบการแต่งกายของสองพี่น้อง เฟิ่งเฉิงและเฟิ่งหลิง จึงนำรูปแบบมาตกแต่งรถม้า ภายหลังคิดว่าเงินทองที่จ่ายไปนั้นคุ้มค่า  ทำให้นางได้นั่งรถม้าที่แสนสะดวกสบาย ผู้คนที่เดินทางสัญจรผ่านไปมา เมื่อเห็นรถม้าแล้วต่างอดส่งสายตาชื่นชมปนอิจฉาริษยาไม่ได้  ช่างเตะตาสายตาประชาชนมากจริงๆ
            ดี วันนี้พบโจรขึ้นมา นางจึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบไปเต็มๆ มู่หรงหยุนชูทำเหมือนยกมือขึ้นแตะต่างหูรูปทรงคล้ายพิณประดับพลอยสีเขียวน้ำเงินอ่อน  รู้สึกคล้ายว่าสายพิณที่เล็กและเย็นเยียบบนต่างหูส่งแสงวูบวาบ ครั้นแล้วนางจึงลดมือลง อย่างนิ่งสงบ และล้วงมือเข้าไปในถุงใส่เงิน พลางเอ่ยขึ้น “ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย  แล้วราคาค่าผ่านทางเล่า
            โจรภูเขารู้สึกคล้ายกับว่าพวกตนได้พบเจอปีศาจ  ปีศาจที่งดงามและใช้เงินมือเติบอีกด้วย  หัวหน้าโจรหันไปปรึกษากับลูกน้อง จากนั้นจึงยกมือขึ้นข้างหนึ่ง พลางเอ่ยขึ้น “ห้าพันสองร้อยตำลึงเงิน”
            แล้วรอคอยคำตอบจากมู่หรงหยุนชู  พลันเฟิ่งหลิงร้องตะโกนขึ้นมาอย่างฉุนเฉียว “ค่าผ่านทางอันใดกัน ตั้งห้าพัน ปล้นกันชัดๆ!”  
            มู่หรงหยุนชูอดไม่ได้ ค้อนเฟิ่งหลิงไปทีหนึ่ง “เดิมทีพวกเขาก็กำลังปล้นเราอยู่นะ”
            อูย น่าอายยิ่งนัก เฟิ่งหลิงเก้อเขินจนเผลอแลบลิ้นออกมา จึงถอยไปยืนอยู่ข้างๆมู่หรงหยุนชูเงียบๆ  ก่นด่ามู่หรงหยุนชูในใจว่า  ก็ดันเจรจาต่อรองด้วยท่าทางเรียบเรื่อยเช่นนั้น  เลยทำให้นางเข้าใจผิด เผลอนึกว่าหญิงสาวกำลังเจรจาการค้าอยู่
            “ห้าพันสองร้อยตำลึงเงิน...มากเกินไป” มู่หรงหยุนชูหันไปมองพวกโจรที่รายล้อมอยู่พลางเอ่ยขึ้น “ท่านเพียงปลูกต้นไม้ และตั้งด่านกั้นถนน คำนวณต้นทุนดูแล้ว คงให้ได้มากสุดหนึ่งร้อยยี่สิบเหรียญเงินเท่านั้น
            พวกโจรแทบจะไปไม่เป็น  อา..นี่นางคิดว่าพวกเขากำลังเจราการค้ากันอยู่หรือไร?
            “ใช่ หนึ่งร้อยยี่สิบเท่านั้น ห้ามยื้อเด็ดขาด! เฟิ่งหลิงประกาศเสียงก้อง
            “อ้อ ห้ามยื้อ ห้ามต่อรองรึ! เราไม่ใช่สุภาพชนอะไรนั่นนะ!” หัวหน้าโจรส่งสัญญาณให้ลูกสมุน เตรียมลงมือ
            เฟิ่งหลิงเห็นว่าจะเกิดการลงไม้ลงมือขึ้นแน่  พลันกระโดดไปซ่อนข้างหลังมู่หรงหยุนชูทันใด พลางกระซิบเสียงสั่น “พี่มู่หรง เงินห้าพันสองร้อยตำลึงให้พวกมันไปเถิด อย่างไรท่านก็เป็นถึงเจ้าของสำนักแลกเงินไฮ่เฟิ่งเฉียนเชียวนา
            มู่หรงหยุนชูพลันรู้สึกเส้นเลือดตรงหน้าผากเริ่มเต้นตุบๆ พลางถามขึ้น “เจ้ามาซ่อนหลังข้าทำไม?  เจ้าเป็นวรยุทธ์มิใช่รึ?”
            เฟิ่งหลิงหน้าแดงพลางกระทืบเท้า “พี่ชายสอนข้าให้รู้จักหลีกเลี่ยงปัญหาเป็นหลัก เขาบอกว่าวรยุทธ์ข้ามีไว้เพื่อเอาชนะคนแบบนี่ฉิงได้เท่านั้น”
            อันที่จริงนี่ฉิงคิดจะช่วยพูดแก้ต่างให้เฟิ่งหลิงสักสองสามประโยค อาทิเช่น  นางตัวเล็ก อรชรอ้อนแอ้นขนาดนี้ ที่ไหนจะไปเอาชนะกลุ่มชายกำยำล่ำสันพวกนั้นได้  ทว่าพอได้ยินเฟิ่งหลิงพูดว่า นางจัดการได้แต่คนแบบนี่ฉิงเท่านั้น  เขาจึงตัดสินใจไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้านทันที
            มู่หรงหยุนชูเอามือนวดหัวคิ้ว  แต่เดิมหวังว่าเฟิ่งหลิงที่เป็นคนในโลกยุทธภพคงช่วยนางได้ เดาว่าคงจัดการพวกโจรไปได้สักครึ่งหนึ่ง  ปรากฏว่าเฟิ่งหลิงวิทยายุทกลับอ่อนด้อยนัก  ยังไม่นับรวมว่ารอบๆตัวตอนนี้มีแต่คนฝีมือล้ำเลิศกำลังเอาเรื่องนางอยู่  นางเสียใจที่ประเมินความแข็งแกร่งของเฟิ่งหลิงดีเกินไป  หากรู้เช่นนี้คงไม่ให้ร่วมทางมาด้วยแล้ว
ดูเหมือนว่าคงต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยอมจำนนเสียแล้ว  การเจรจาจึงง่ายขึ้น  มู่หรงหยุนชูถอนหายใจเบาๆ  ฝืนใจยกมือขึ้นบีบต่างหูรูปทรงคล้ายพิณ        
            “คุณหนู... “ลู่จีกล้าพอไปเตือนเจ้านายตน ว่ายามนี้ไม่ใช่เวลามาแสดงบทนิ่งสงบสยบเคลื่อนไหวแล้ว
            มู่หรงหยุนชูไม่สนใจลู่จี ทำเพียงแต่เอานิ้วโป้งเคาะต่างหูเบาๆ  ใบหน้านางนิ่งสงบ  ลดตัวลงนั่งหลังตรง พร้อมปิดเปลือกตาลงราวกับเข้าสมาธิ
            โจรทั้งหมดเห็นนางนิ่งสงบเช่นนั้น พลันไม่กล้าเข้าจู่โจม ในใจนึกสงสัย  นางกำลังท่องคาถาอะไรหรือ  ใช่คาถาเรียกผีหรือไม่?
            นี่ฉิงและเฟิ่งหลิงหันไปจ้องลู่จีเขม็ง  คุณหนูบ้านเจ้ากำลังเรียกวิญญาณร้ายหรือ?
            ลู่จีเองรู้สึกฉงนสนเท่ห์ในใจ  คุณหนูนางประหลาดผิดผู้ผิดคนก็จริง  แต่ทำสิ่งแปลกประหลาดเช่นนี้ นับว่าเป็นครั้งแรก...
            ความสงสัยทั้งหมดพลันยุติลง  ขณะที่เกิดเสียงซวบซาบ ชี่ชี่ ดังขึ้น ครั้นแล้วเสียงกรีดร้องดังก็ตามมา “งู!” เฟิ่งหลิงขนหัวลุก ทั้งยังร้องเสียงหลง กระโดดเหยงๆไปข้างๆ ราวกับว่างูกำลังเลื้อยปีนขึ้นตัวนาง
            “ที่ไหนมีงู.....” นี่ฉิงอุทาน เสียงชายหนุ่มพลันขาดหาย  ใบหน้าซีดเผือด  แล้วเริ่มอาเจียนออกมา
            “นี่ฉิง!” เฟิ่งหลิงรีบเข้ามาเอามือลูบหลังนี่ฉิงโดยเร็ว
            คราแรกพวกโจรอยากหัวเราะเยาะเหยื่อของพวกมันที่ขี้ขลาด กลัวกระทั่งงู  ทว่าเมื่อเห็นงูหลายตัวพากันเลื้อยมาจากพุ่มไม้  ตามรอยแยกบนพื้นดิน  เลื้อยปีนลงมาจากต้นไม้ ไม่หยุดหย่อน ทันใดนั้นพวกมันก็หวาดกลัวจนขี้หดตดหาย
            “งู!  ยั้วเยี้ยเต็มไปหมดเลย...พวกโจรต่างตะโกนเสียงลั่น พากันวิ่งหนีเผ่นแน่บไป
            จนกระทั่งเสียงร้องตะโกนของพวกโจรค่อยๆเบาลง จนเงียบหายไปในที่สุด  มู่หรงหยุนชูจึงลืมตาขึ้น ในเวลาเดียวกันงูทั้งหมดต่างทยอยเลื้อยกลับเข้ารูตามเดิม
            “ไปได้”   มู่หรงหยุนชูไม่เห็นความหวาดกลัวจนวิญญาณแทบหลุดลอยของคนที่เหลือ  หันมาสั่งคนขับรถม้าด้วยท่าทีสบายๆ
            ทุกคนในที่นั้นต่างหันมามองหน้ากันและกัน  ไม่มีคำอธิบายให้หน่อยหรือไร?”
            ****
            ยามโพล้เพล้ รถม้าสองคันค่อยๆชะลอความเร็วลง จนหยุดอยู่หน้าโรงเตี๊ยมเล็กๆริมถนน ที่ดูหรูหราแต่ชำรุดทรุดโทรม ช่างให้ความรู้สึกขัดแย้งอย่างรุนแรงนัก
            “
            “นายท่าน เชิญเข้ามา จะแวะกินอาหารหรือพักค้างคืนขอรับ?” เสี่ยวเอ้อยืนรออยู่ข้างรถม้าคันของมู่หรงหยุนชู เพื่อรอถามแขกอย่างพินอบพิเทา
            “พักค้างคืน  จองสองห้อง”” มู่หรงหยุนชูกล่าว
            “สี่ห้อง” นี่ฉิงกล่าวเสียงอ่อนระโหย ใบหน้าเขายังคงซีดขาวอยู่ เป็นผลพวงมาจากภาพเหตุการณ์งูที่เพิ่งผ่านมาสดๆร้อนๆ
            มู่หรงหยุนชูสาวเท้าเข้าไป พลันชะงักไปเล็กน้อย ครั้นแล้วจึงเดินเข้าไปด้านในเงียบๆ  เมื่อเห็นหญิงสาวเดินขึ้นชั้นบนไป นางได้ยินเสียงนี่ฉิงเอ่ยขึ้นเบื้องหลังว่า “ท่านยังไม่ได้จองห้องพักเลยนะ?”
            “ไฉนข้าคนเดียวต้องการจองสี่ห้อง?” มู่หรงหยุนชูถาม
            นี่ฉิงนับคนสี่คนรวมทั้งตัวเขาเอง
            “ท่านจะนอนพักทั้งสี่ห้องเลยรึ?” มู่หรงหยุนชูถามกลับ
            นี่ฉิงเมื่อถูกนางถามถึงกับตะลึง เขาพูดเมื่อไรกันว่าตัวเขาคนเดียวจะพักสี่ห้อง?
            “เนื่องจากท่านจองห้องพักให้ทุกคนเป็นสี่ห้อง ไยข้าต้องลงชื่อจองไปเพื่ออันใดเล่า?” มู่หร่งหยุนชูกล่าวจบ ครั้นแล้วหันหน้ากลับเดินขึ้นบันไดไป
            นี่มันตรรกะอันใดเนี่ย? นี่ฉิงนิ่งงัน
            ลู่จีส่งสายตาเห็นใจอย่างสุดซึ้งไปให้นี่ฉิง  ทำตัวเป็นล่ามให้นี่ฉิงอย่างใจดี “คุณชายนี่ คุณหนูข้าหมายความว่า  ห้องพักที่จองนี้ยกให้ท่านเป็นผู้จ่าย
            “เพราะเหตุใด?” นางนับเป็นมนุษยที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดอย่างไม่มีข้อกังขา...?
            “เป็นท่านที่พูดเองว่าจองสี่ห้อง อา!” ลู่จีมองชายหนุ่ม พลางคิดว่าไม่มีใครบังคับให้เขาจองเสียหน่อย
            “คุณหนูพูดว่าจองแค่สองห้อง อา ข้าคือคนของตระกูลมู่หรง กิน นอน และอาศัยอยู่กับคุณหนู ทว่าท่านและเฟิ่งหลิงไม่ใช่  ดังนั้นคุณหนูจึงจองห้องพักสำหรับนางและข้า....”
            “นี่จำเป็นต้องแบ่งแยกขนาดนั้นเชียวหรือ?” นี่ฉิงถาม
            “แน่นอน!” ลู่จีพยักหน้า “หรือท่านต้องการให้ข่าวลือเลวร้ายเริ่มต้นขึ้น?”
            “ข้าไม่บ้าแน่” นี่ฉิงกล่าวเสียงเย็นชา
            ลู่จีผงกหัว “ท่านไม่ควรบ้าจะดีกว่า นายท่านฉู่คือหัวหน้าพรรคโม่เจี่ยว อย่าได้กล้าคิดอะไรไม่ดีกับคุณหนูข้าไม่ว่าจะคืนไหน” นี่ฉิงกรอกตา ครั้นแล้วจึงเดินไปจองห้องโดยไม่พูดจาสักคำ ทำสีหน้าเหม็นเบื่อ ชายหนุ่มคิดว่าช่วงนี้รอบๆกายเขามีแต่คนประหลาดๆทั้งนั้น
            ในขณะเดียวกัน  บนโต๊ะอาหารโต๊ะหนึ่งในมุมหนึ่งของโรงเตี๊ยม แขกคนหนึ่งละมือจากตะเกียบมาจับอาวุธอย่างเงียบเชียบ
            ภาพที่เห็นนี้ตกอยู่ในสายตาของเฟิ่งหลิง นางมองไปรอบๆ สายตาจับจ้องพวกเขาอย่างสงสัย เอียงศีรษะพึมพำเบาๆ “ทำไมดูคุ้นตาจัง...” พยายามนึกก็นึกไม่ออกว่าเคยพบที่ไหน ดังนั้นจึงสั่นหัวและกระโจนขึ้นบันไดไป
              ***
            ห้องพักดูธรรมดา มีหนึ่งเตียง หนึ่งโต๊ะ และชุดน้ำชา 1 ชุด พร้อมโต๊เก้าอี้อย่างละ 1 ตัว ภายในไม่มีการประดับตกแต่งใดๆ มู่หรงหยุนชูเม้มริมฝีปาก หากไม่ได้เป็นเพราะพบโจรระหว่างทาง ยามนี้นางควรได้พักอยู่ในเมืองฉิงหยวนแล้ว มู่หรงหยุนชูเปิดหน้าต่าง ภาพตรงหน้าเป็นวิวภูเขาที่มีแต่หมอกปกคลุมจนมองไม่เห็นพื้นเบื้องล่าง  พลันใจกระตุก  รีบมองไปให้ทั่ว แล้วเพิ่งจะพบว่าโรงเตี๊ยมสร้างอยู่ติดหน้าผา  แล้วห้องของนางดันหันหน้าเข้าหาริมหน้าผาพอดี
            โชคดีที่ลู่จีพักอยู่ห้องตรงช้าม มิเช่นนั้นยายเด็กผีคนนี้ต้องหลอนแน่  มู่หรงหยุนชูรู้สึกสดชื่นกับทิวทัศน์  ทันใดนั้นได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวจาก ประตูห้องข้างๆ  และหยุดฉับพลันเมื่อผ่านไปได้ครึ่งทาง  ครั้นแล้วทุกอย่างจึงกลับคืนสู่สภาพปกติ ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อน
            “เฟิ่งหลิงหายตัวไป!” นี่ฉิงตะโกนออกมา ดวงตาเฉยเมยเริ่มปรากฏความกลัดกลุ้มอย่างเห็นได้ชัด
            ลู่จีก็วิ่งเข้ามาในห้องนางด้วย “คุณหนู บ่าวลงไปข้างล่างเพื่อสั่งอะไรกินเมื่อครู่ก่อน  พอกลับมา พบว่าข้าวของสัมภาระของเราหายไปเจ้าค่ะ!”
            สีหน้าของมู่หรงหยุนชูดิ่งลง นิ่งคิดและพึมพำออกมา “ข้าเพียงคิดว่า ในอดีตเมื่อข้าเห็นงูตัวหนึ่ง  ข้าหมดสติไปสามวัน  ไม่ได้กินอะไรเลย  แล้วไยเจ้าออกไปสั่งอาหารกินได้อย่างไร?”
            ลู่จีสั่นหัวไปยืนข้างๆ  ย้ำเรื่องสำคัญอย่างอ่อนใจอีกครั้ง  “คุณหนู ข้าวของพวกเราหายไปนะเจ้าคะ”
            “ไม่มีของมีค่าอันใดในสัมภาระพวกเรา” มู่หรงหยุนชูกล่าว “เมื่อถึงเมืองถัดไป เราจะไปร้านแลกเงิน  แล้วค่อยส่งเงินไปจ่ายค่าที่พักภายหลัง
            ลู่จีไม่อยากพูดมากนัก ในห่อสัมภาะมีตั๋วแลกเงินมูลค่าหลายพันตำลึงเงินสองใบ  ทว่านางคิดว่าถึงพูดไป  คุณหนูคงไม่สนใจ  เพราะฉะนั้นปิดเงียบเสียดีกว่า
            “เฟิ่งหลิงหายไป “นี่ฉิงย้ำอีกครั้ง แม้ว่าเขายังคงสงสัยเรื่องงูที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน  แล้วเหตุใดจึงหายไปอย่างไร้ร่องรอย  และยอมรับอย่างลึกๆถึงเรื่องที่นางต้องอดอาหาร ทว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้นี่
            “แล้วไง?” มูหรงหยุนชูปรายตามองชายหนุ่ม
            “เราควรตามหานาง!
            “ท่านต้องการให้ข้าควานหาตัวนางด้วยกันกับท่านหรือ?” มู่หรงหยุนชูถาม
            นี่ฉิงขมวดคิ้วมุ่น “จริงๆแล้วท่านต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”
            “หากท่านต้องการให้ข้าช่วย” มู่หรงหยุนชูพูดกับชายหนุ่มประหนึ่งดังพระพุทธองค์ที่ทรงมีเมตตาต่อสัตว์โลก
            “ท่านต้องเชื่อฟังข้าทุกอย่าง”
            นี่ฉิงตระหนักดีว่ามู่หรงหยุนชูเป็นคนเผด็จการ  ต้องการควบคุมทุกสิ่ง อย่างสำนักแลกเงินไง นั่นเป็นตัวอย่างอันหนึ่ง  นิสัยช่างคล้ายกับเฟิ่งหลิงคนประหลาดนัก เขาคือชายชาตรี ไยต้องฟังนางด้วย? แม้ว่ามู่หรงหยุนชูจะมีขั้นขุนนางสูงกว่าเขาก็เถอะ  ทว่านี่คือเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับข้อราชการของราชสำนัก
            ลู่จีเหยียบเท้านี่ฉิง และกระซิบกระซาบ “เจ้าหน้าที่นี่ คุณหนูข้าเชื่อว่ามีผู้นำเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำการค้าได้ดี  นางเผด็จการมากกว่าพ่อของนางเสียอีก จากประสบการณ์ของข้า หากทุกคนเชื่อฟังคุณหนู  ทุกอย่างจะราบรื่น”
            นี่ฉิงตระหนักโดยพลันว่า หากไม่ร่วมมือกับมู่หรงหยุนชู  เขาจะทำภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายมาไม่สำเร็จแน่นอน
            “ท่านมีแผนอันใดหรือไม่?” นี่ฉิงถาม
            “คอยดูต่อไป” มู่หรงหยุนชูกล่าว และปิดหน้าต่างเงียบๆ
            นี่ฉิงมีสีหน้าโมโห  ให้คอยดูต่อไป ไม่ได้หมายความว่าไม่ตั้งใจช่วยล่ะหรือ? เขาไม่อยากเชื่อคนผิดเลย   พลางเริ่มสงสัยอีกครั้ง  และอีกครั้งลู่จีก็เข้ามากระซิบข้างหู “ท่านอย่าได้วิตกไป ท่านเห็นไหมว่าคุณหนูข้าสุขุมเยือกเย็นขนาดไหน แสดงว่าในใจนางต้องมีแผนการดีๆเป็นแน่”
           นี่ฉิงครางเสียงเย็น เขาอยากจะพูดนักว่า คุณหนูของเจ้านิ่งสงบเป็นนิจเมื่อไร  สาวใช้นางจะรู้ไหมว่าที่จริงเจ้านายนางไม่ได้รอบรู้ หรือเชี่ยวชาญแผนกลยุทธ์ใดๆหรอกนางแค่เป็นคนขี้เบื่อเท่านั้นเอง
--------------------------------------
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์และการติดตามค่ะ
กดเพื่อคอมเมนต์บนเฟซบุค

1 ความคิดเห็น: