“เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก แสดงว่าข้าหาคนที่เหมาะสมเจอแล้ว!” เด็กสาวที่แต่งกายชุดสาวใช้ปรบมือยิ้มดีใจ
“ข้าชื่อซี่เชวี่ย
ข้าเป็นสาวใช้ประจำตัวคุณใหญ่สกุลจ้าว(*) เมื่อครู่ก่อนคุณหนูตระกูลของเราอยู่ในรถม้าซึ่งกำลังตื่นตกใจ
โชคดีที่พี่ชายท่านนี้ได้ช่วยเหลือเอาไว้!
คุณหนูเห็นว่าเขามีหน่วยก้านดี เลยอยากจะจ้างเขาให้เป็นคนขับรถม้า
ท่านเสนอมาเลยว่าจะเอาเงินเท่าใด หากมอบคนผู้นี้ให้แก่คุณหนูสกุลจ้าวของเรา
ซี่เชวี่ยพูดอย่างคนใจกว้างขวางมีเมตตานัก
พูดเสียงเจื้อยแจ้ว คล้ายว่าไม่ยี่หระเรื่องเงินเรื่องทอง มองเหลียนฟางโจวด้วยหางตาอย่างภาคภูมิใจเต็มเปี่ยม
เหลียนฟางโจวเห็นท่าทางหยิ่งยโสแล้ว ทั้งฉุนทั้งขำ ส่วนคนที่อิสรภาพของชีวิตกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ครานี้กำมือใต้แขนเสื้อเกร็งแน่น!
หากเป็นเธอ เธอจะปฏิเสธ ทว่าในกรณีอาเจี่ยนไม่เหมือนกัน
อาเจี่ยนนั้นสูญเสียความทรงจำ และควรฟื้นความทรงทำที่เสียไป หากเขาอาศัยอยู่ในเมือง
บางทีเขาอาจจะสืบข่าวคราวได้สะดวก คิดได้ดังนั้นเหลียนฟางโจว จึงพาอาเจี่ยนแยกมาคุยกันเบาๆอีกด้านหนึ่ง
“อาเจี่ยน หากท่านจะตามนางไป
ก็แล้วแต่ท่านตรึกตรองและตัดสินใจเองก็แล้วกัน! บางที หากอาศัยอยู่ในเมืองจะสะดวกในการสอบถามข่าวคราว...”
“จะตระกูลจ้าวไหน ข้าก็ไม่อยากไปทั้งนั้น
ข้าจะกลับหมู่บ้านฟางพร้อมกับท่าน!”
อาเจี่ยนส่ายหัวรัวๆ
เหลียนฟางโจวครั้นได้ยินเช่นนั้น พลันรู้สึกใจชื้นขึ้น
ดวงตาทอประกายเจิดจ้า
ทว่ายังพูดขึ้นอย่างลังเล “เจ้าไม่ลองไคร่ครวญดูใหม่อีกครั้งรึ? เหนือสิ่งอื่นได..”
“ไม่เอา ท่านไม่ได้บอกข้ารึว่า ท่านจะไปขอให้คนอื่นคอยสืบข่าวให้ข้า?” อาเจี่ยนยังคงส่ายหัวอย่างแข็งขัน
ถึงแม้เขาจะสูญเสียความทรงจำ
แต่ไม่ใช่คนโง่งม คุณหนูสกุลจ้าวคนนี้ถูกใจความแข็งแกร่งและความสามารถของเขา เพียงแต่เมื่อเขาได้มีโอกาสเป็นคนในครอบครัวสกุลเหลียน เขาเห็นแต่เพียงความเท่าเทียมกันและความเคารพให้แก่กันและกัน เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ถึงให้ความสำคัญในเรื่องนี้นัก
หากไม่เป็นเช่นนั้น ตลอดทางที่เขาร่อนเร่ผ่านมา เขาคงมีที่พักพิงเป็นหลักเป็นแหล่งไปนานแล้ว
ไหนเลยจะต้องรอนแรมมาถึงเมืองยู่เหอเซียนนี้เล่า?
ที่ผ่านมาคนอื่นๆที่ชายหนุ่มได้พบเจอ ล้วนสนใจเพียงแต่ความแข็งแกร่งของเขา คนพวกนั้นพยามยามพูดดีกับเขาเพื่อหวังรั้งตัวเขาไว้ เพียงแค่ต้องการใช้งานเขาเยี่ยงทาส
เช่นนั้นเขาจึงปฏิเสธ
กับคุณหนูสกุลจ้าวผู้นี้ ก็ไม่ต่างจากคนอื่นที่เขาพบ
เหลียนฟางโจวได้ยินเขากล่าวออกมาโดยไม่เสียเวลาคิด
จึงพยักหน้าและยิ้มให้ “อืม เช่นนั้นก็ดีนัก! ”
ด้วยเหตุนี้เธอจึงหันกลับไปเจรจากับซี่เชวี่ย
“เสียใจด้วยนะ แม่นางซี่เชวี่ย
อาเจี่ยนเขาไม่อยากไป เช่นนั้นท่านได้โปรดกลับไปเถิด!”
ซี่เชวี่ยตะลึงงันขึ้นทันใด
นางไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้ยินคำปฏิเสธง่ายดายเช่นนี้! มองอาเจี่ยนด้วยความงุนงงสงสัย
อาเจี่ยนเอ่ยขี้นเรียบๆ “ฟางโจวกล่าวได้ถูกต้องแล้ว
ขอบคุณสำหรับความปราถนาดีของแม่นางด้วย!”
ซี่เชวี่ยกลัดกลุ้มนัก
เรื่องง่ายๆแค่นี้กลับไม่สามารถจัดการได้ แล้วนี่นางจะมีหน้ากลับไปหาคุณหนูได้อย่างไร?
ครานี้นางไม่สนใจสิ่งใดแล้ว ขยิบตาส่งให้ชายหนุ่มหลายๆครั้ง ถามขึ้น
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคุณหนูสกุลจ้าวของเราคือใคร? ทั่วเมืองยู่เหอเซียนนี้
บรรดาร้านผ้าไหม ร้านปักผ้า โรงรับจำนำ และร้านอาหาร
กว่าครึ่งหนึ่งเป็นของตระกูลจ้าวของเรา! ตระกูลของคุณหนูช่างเลือกนัก
ไม่รู้ว่ามีคนสักเท่าใดที่อยากจะเข้ามาทำงานในตระกูลจ้าว
ทว่าไม่อาจทำได้ หากไม่ใช่ว่าท่านได้เคยช่วยเหลือคุณหนูของเราไว้
แค่ท่านอยากจะเข้าไปในจวนตระกูลจ้าวก็คงเพียงแค่ความฝัน! คุณหนูท่านสั่งไว้ว่าตราบไดที่ท่านตกลงไปกับเรา
จะได้ค่าแรงเป็นสองเท่า!”
นางกัดฟัน เอ่ยว่า “เดือนหนึ่ง
ท่านจะได้ค่าแรงอย่างน้อย 2 เฉียน(**) เชียวนะ!”
แววตาของอาเจี่ยนไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ยังคงเรียบนิ่ง หนุ่มร่างสูงส่ายหัวพลางเอ่ย “แม่นาง
โปรดกลับไปเถิด!”
สี่เชวี่ยนกระทืบเท้าขัดใจ เอ่ยกับชายหนุ่ม
แต่ปรายตามองไปทางเหลียนฟางโจว “มีใครบางคนข่มขู่เจ้าหรือไร เจ้าจึงไม่เต็มใจจะไปกับข้า? อย่าได้หวั่นเกรงไปเลย
บอกข้ามาเถอะ คุณหนูสกุลจ้าว เป็นชนชั้นสูงในเมืองยู่เหอเซี่ยน ซ้ำนายท่านตระกูลเราก็เป็นที่นับหน้าถือตามากที่สุดในเมืองนี้
เหลียนฟางโจวพยายามกัดริมฝีปากเพื่อกลั้นหัวเราะ
มองซี่เชวี่ยแล้วคิดว่า ในโลกนี้มีคนที่คิดว่าตนเองถูกต้องชอบธรรมอยู่ตลอดเวลา นับว่าหายากจริงๆ
อาเจี่ยนเริ่มจะหมดความอดทนลงไปทุกที พลางเอ่ยว่า
“ข้าบอกว่าไม่ไป ก็คือไม่ไป เจ้าไม่เข้าใจหรือไร?”
ซี่เชวี่ยเหมือนมีอะไรมาจุกที่คอหอย
ทว่ายังไม่ยอมถอดใจ คราวนี้หันไปเข้าทางเหลียนฟางโจวแทน “แม่นาง
ถ่านของเจ้าข้าก็ต้องการด้วย เจ้ากลับไปเผามาเพิ่มอีก แล้วส่งไปที่จวนตระกูลจ้าวได้เลย
จะส่งมามากเท่าไรก็ได้ เราจะรับซื้อไว้ทั้งหมด! สำหรับคนผู้นี้เจ้าก็จงมอบให้ตระกูลจ้าวของเราด้วย
เจ้าจะว่าอย่างไร?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้
เหลียนฟางโจวชักไม่สบอารมณ์ เอ่ยเสียงเรียบ “แม่นางซี่เชวี่ย ตระกูลจ้าวร่ำรวยมหาศาล
มีคนแบบใดบ้างที่ตระกูลท่านไม่มี ไยจึงต้องการตัวอาเจี่ยนถึงเพียงนี้?
อีกทั้งข้าได้บอกไปแล้วว่าข้ายกให้อาเจี่ยนเป็นผู้ตัดสินใจ
หากเขาไม่เต็มใจจะไป ข้าก็ไม่อาจทำอันใดได้!”
“ฟางโจว อาเจี่ยน เกิดอันใดขึ้น?” ลุงลี่และลี่ซานเหอเพิ่งกลับมาถึง
มองซี่เชวี่ยด้วยสายตาแปลกๆ
สาวใช้ตระกูลจ้าวมองคนทั้งสอง ไม่อยากเข้าไปต่อความยาวสาวความยืดอีก นางกรอกตาไปมา ครั้นแล้วเอ่ยกับอาเจี่ยนด้วยรอยยิ้มหวานหยดย้อย “พี่เจี่ยน ที่ข้าพูดไปเมื่อครู่นี้
ท่านช่วยไปตรึกตรองดูอีกครั้งด้วยนะ! เผื่อพี่จะเปลี่ยนใจไปทำงานที่ตระกูลจ้าว
ส่วนที่อยู่จวนตระกูลจ้าว พี่ถามคนแถวนี้ได้เลย ทุกคนรู้จักทั้งนั้น!”
พอกล่าวจบ ก็ยิ้มหวานปานน้ำผึ้งให้ชายหนุ่ม
ส่งสายตากะลิ้มกะเหลี่ย ยั่วยวนไปให้ แล้วจึงหมุนตัวสะบัดเอวส่ายสะโพกเดินจากไป
เห็นดังนั้น ลุงลี่จึงหันมาสบตาลี่ซานเหอ
สองพ่อลูกรู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมาทันที
คงไปว่าพวกเขาไม่ได้ เพราะทั้งสองเป็นเพียงชาวนาซื่อๆ ไหนเลยจะเคยเห็นท่าทางแบบนี้?
เหลียนฟางโจวให้รู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาเหมือนกัน แทบหัวเราะไม่ออก นี่นางถึงกับลงทุนหว่านเสน่ห์กันเลยทีเดียว ทว่าแผนหญิงงามนี้ คนส่วนใหญ่มักชอบใช้ แต่ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ผลทุกครั้ง
บางคนใช้กลยุทธ์นี้
แทนที่จะได้ผล อาจได้สิ่งตรงกันข้าม!
เหลียนฟางโจวปรายตามองอาเจี่ยนเงียบๆ
เห็นเขามีสีหน้ารังเกียจ ซ้ำยังขมวดคิ้วมุ่นอีกต่างหาก
“ตระกูลจ้าวรึ? คนในเมืองนี้รู้จักตระกูลนี้ดี แล้วไปทำอันใดถึงได้ไปเกี่ยวข้องได้เล่า?”
ลุงลี่ทำหน้าประหลาดใจ
“เป็นเพราะข้ามันยุ่งไม่เข้าเรื่องเอง” อาเจี่ยนรีบเล่าให้คนทั้งหลายฟังแบบรวบรัด
ลุงลี่และลี่ซานเหอสองพ่อลูกมองหน้ากัน
แอบโล่งอกในใจเงียบๆ พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “อาเจี่ยน เจ้าไม่ตามนางไปนับว่าดีแล้ว คนรวยพวกนี้
มักชอบข่มเหงกดขี่ผู้คนนัก! หากเป็นคนท้องถิ่นแถวนี้ ก็ยังไม่ค่อยกระไร คนพวกนี้มีเส้นมีสายมาก
กล้าข่มเหงผู้คนอย่างไม่เป็นธรรม ยิ่งเป็นคนต่างถิ่นเช่นเจ้า เมื่อไม่มีพวกพ้องที่นี่ก็เหมือนเป็นคนไม่มีราก
ย่อมต้องปล่อยให้โดนกดขี่ข่มเหงไป! อย่าไปเลย! อย่าได้ไปเด็ดขาด!”
เรื่องเผาถ่านก็เพิ่งจะเริ่มต้น
หากไม่มีอาเจี่ยน คงจะทำให้หลายคนขาดความมั่นใจเป็นแน่
“ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” อาเจี่ยนยิ้มออกมา
“เราอย่าไปพูดถึงคนอื่นเลย ลุงลี่ พี่ลี่ซานเหอ
ท่านไปสืบราคามา ได้ความว่าอย่างไรบ้างเล่า?” เหลียนฟางโจวเอ่ยแทรกขึ้น
หลังจากลุงลี่และลี่ซานเหอ
เล่าให้หญิงสาวฟังแล้ว แล้วทั้งสี่คนหารือกันว่า ตกลงใจจะตั้งราคา โดยถ่านหนัก 100ชั่ง
(50 กิโลกรัม) จะให้ราคา 225 อีแปะ เมื่อปีที่แล้ว
ถ่านหนัก 100 ชั่งราคาอยู่ราวๆ 120-230 อีแปะ
เช่นนั้น พวกเขาจึงรีบเร่งบังคับเกวียน
ไปยังร้านอาหารที่เจอเป็นที่แรก หากเป็นสถานที่พวกนี้ คงมีความต้องการใช้ถ่านมากกว่าที่แห่งอื่น
ราคาที่เสนอยังไม่ตรงใจผู้ซื้อนัก ยังต้องการให้ลดราคาลงไปอีก 5-10 อีแปะ ใครจะรู้ว่าหลังจากผ่านช่วงนี้ไปราคาจะแพงขึ้นหรือไม่? ครานี้ซื้อเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย แล้วหากไม่ซื้อจะทำให้เสียโอกาสหรือไม่!
เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ยามนี้เพิ่งเข้าเดือนสิบ ทว่าเริ่มมีน้ำค้างแข็งยามเช้าแล้ว
ทำให้อากาศหนาวเย็นจนเกือบแข็งตาย เห็นได้ชัดว่าฤดูหนาวในปีนี้ อากาศจะหนาวเหน็บมากอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ย่อมต้องซื้อไว้โดยไม่มีทางเลี่ยง! หากไม่ซื้อไว้ ภายหลังราคาจะแพงขึ้นหรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้
ทว่ามันคงไม่มีทางถูกลงเป็นแน่! แล้วนี่เมื่อปีที่แล้ว ไม่ใช่ราคานี้หรอกหรือเจ้าคะ? หากท่านต้องการของถูก ราคาที่เสนอไปก็ถูกเท่ากับปีที่แล้วอยู่แล้ว ซ้ำท่านลองดูเอาสิ ถ่านของเราไม่มีสิ่งเจือปนแม้แต่น้อย
ทำจากไม้เนื้อแข็งที่ให้ความร้อนระอุ ไม่มีควัน ทั้งยังให้ความร้อนได้นาน
ขี้เถ้าก็มีเพียงเล็กน้อย แค่มองดูด้วยตาเปล่าย่อมรู้ว่าคุณภาพดีแค่ไหน! นี่แค่ตัวอย่างที่เราลองเผาดูนะ ดังนั้นเราจึงให้ราคานี้ หากรอซื้อคราวหน้าคงไม่ได้ราคานี้อีกแล้วเจ้าค่ะ!”
----------------------------------------
*เกี่ยวกับเรื่อง ประเด็นฮูหยินจ้าว
และคุณหนูสกุลจ้าว นะคะ คำว่าจ้าวใช้คำสะกดเดียวกัน เพียงแต่
กรณี ฮูหยินจ้าว คำว่าจ้าวคือชื่อ
กรณี คุณหนูสกุลจ้าว
คำว่าจ้าวคือนามสกุลค่ะ
สรุปใช้คำว่าจ้าวเหมือนกัน
คนหนึ่งคือชื่อ อีกคนหนึ่งคื่อชื่อสกุล(แซ่)ค่ะ
**หน่วยเงินของจีน
จะยึดถือตามน้ำหนักของโลหะที่เอามาทำหน่วยเงินจริงๆ
文(อีแปะ หรือ เหวิน)
คือหน่วยเงินสำริด (เป็นเหรียญที่มีรู)
ซึ่งมีค่าน้อยที่สุดในหน่วยเงินตราสมัยก่อนของจีน โดย 1000 อีแปะเท่ากับ 1 ตำลึง
,1 เฉียนมี 100 อีแปะ
钱(เฉียน) เป็นหน่วยเหรียญเงินขาว
มีรูตรงกลางเหมือนเงินอีแปะ(เหรียญสำริด) แต่ทำจากโลหะเงิน จึงมีค่ามากกว่า
โดยทั่วไป 1 เฉียนมีค่าเท่ากับ 10 เฟิน 10 เฉียนเป็น 1 ตำลึง
兩(เหลี่ยง) = ตำลึง (จีนหนัก
50 กรัม,ไต้หวันหนัก 60กรัม)
斤(จิน) = ชั่ง (จีน
หนัก 500 กรัม, ไต้หวันหนัก 600 กรัม)
ปัจจุบัน
10 ตำลึงเท่ากับ 1 ชั่ง เมื่อก่อน 16 ตำลึงเท่ากับ 1 ชั่ง
ส่วนของไทย
20 ตำลึงเท่ากับ 1 ชั่ง
ส่วนชั่งของไทยนั้น
ประมาณ 1200 กรัม
***ดังนั้นเงินค่าถอนหมั้นของนางเอก แท้จริงแล้วมีค่า 10 เหลี่ยงเงิน หรือ 10 ตำลึงเงิน
-----------------------------
และขอขอบคุณทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ
*ข้อสังเกตุ พระเอกเรียกชื่อนางเอกตรงๆ
ไม่เรียกว่าแม่นาง..แล้ว
นางเอกช่างเหมาะสมเป็นแม่ค้าจริงๆค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ตอบลบเริ่มหนิดหนมละ ^^
ตอบลบมีเสน่ห์ตายละนังคนใช้ สวยมากกก ฟางโจวยังดีกว่่า
ตอบลบขอบคุณคะ รอติดตามต่อไปคะ
ตอบลบติดตามนะคะ รอต่อไป
ตอบลบตายตามเจ๊หยินจ้าวไปอีกตัว
ตอบลบนางมาร้ายจะโผล่มาละ
ตอบลบนางมาร้ายจะโผล่มาละ
ตอบลบอาเจียน อาเจียน หลงรักฟางโจวจนหัวปักหัวปำแว้ว
ตอบลบฮูหยินจ้าว จ้าวคือแซ่รึป่าวคะไม่น่าจะใช่ชื่อตัว เท่าที่อ่านนิยายจีนมาฮูหยินจะใช้แซ่เดิมไม่ได้เปลี่ยนไปใช้แซ่สามี แต่ฮูหยินจ้าวกับคุณหนูจ้าวไม่จำเป็นต้องเป็นตระกูลเดียวกัน อ่านเหมือนแต่ตัวอักษรจีนต่างกันก็ได้
ตอบลบฟางโจวสวมสกิลไม้กันหมา กับสกิลแม่ค้าเลเวลอัพ
ตอบลบส่วนยัยสาวใช้จงเป็นขี้ข้าต่อไปสกิลยั่วยวนหล่อนมันกวนบาทาคนอ่านกับอาเจี่ยนมากๆ
อาเจี่ยนไม่ไปยังตื้ออีก//เค้ามาขายถ่านนะไม่ได้ขายอาเจี่ยน
ตอบลบอือหือ นักขายมาเอง
ตอบลบขนาดโผล่มาแค่นี้ก็ทำให้รู้ถึงอุปสรรคของนางเอกแล้วอ่ะ
แบบนี้สิพระนางรักกันข้ามผ่านอุปสรรคด้วยกัน อิอิ พันกว้าตอนนี่จะมาม่าเรื่องอะไรน้ออ
สนุกจังคะ ขอบคุณคะ
ตอบลบสนุกจังคะ ขอบคุณคะ
ตอบลบทำไมเม้นเราชอบหายอ่ะ งง
ตอบลบขอบคุณครับ
ตอบลบขอบคุณค่ะ อยากให้มีการแปลรวมเล่มจริงๆ สุขใจมากอ่านเรื่องนี้ ไม่รู้ทำไม
ตอบลบ