“ป้าสาม
ไก่พวกนี้.....ท่านมาฆ่าเองดีไหม? ท่านกล้าฆ่าหรือไม่?” น้ำก็ต้มไปแล้วด้วย เหลียนฟางโจวพลันรู้สึกกระอักกระอ่วน รีบหันไปยิ้มประจบป้าสาม งานฆ่าไก่พวกนี้ บอกตรงๆว่า..เธอไม่กล้าทำเอาเลยจริงๆ
“นี่...อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่กล้าฆ่ามันน่ะ!” ป้าสามทำตาประหลับประเหลือกใส่เหลียนฟางโจว พลันยื่นตะหลิวในมือส่งให้หลานสาวทันที แล้วเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน ฉวยชามใบหนึ่งใส่น้ำเล็กน้อย โรยเกลือใส่ลงไปเพียงหยิบมือ แล้วหยิบช้อนมาคนเกลือให้ละลาย มือหนึ่งกำมีด
มือหนึ่งถือชาม แล้วเรียกเหลียนฟางฉิงให้หิ้วถังไม้เดินตามไป
ถังไม้ |
ชามน้ำเกลือนั้นเอาไว้รองเลือดไก่ และการเติมเกลือลงไป เพื่อให้เลือดไก่จับตัวเป็นก้อนได้อย่างรวดเร็ว ทำเช่นนี้ เวลาเอาไปต้ม หรือไปปรุงเป็นอาหารจะได้ไม่กระจายตัวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ซ้ำเวลากินจะยังคงความนุ่มลื่นอยู่
ส่วนถังไม้ขนาดใหญ่นั้น ใช้เพื่อกักไก่ให้อยู่ข้างใน จะได้ลงมือเชือดได้ง่ายขึ้น และเลี่ยงไม่ให้ไก่กระพือปีกสเปะสปะเพื่อบินหนี ทั้งกันมิให้เลือดไก่สาดกระจายบนพื้นอีกด้วย
“มาคอยช่วยข้าจับตีนไก่เอาไว้ จับให้แน่นๆนะ
ประเดี๋ยวมันจะดิ้นหลุดมือไปได้!” ป้าสามหันไปสั่งคนข้างๆ เหลียนฟางฉิงขานรับด้วยความตื่นเต้น
ป้าสามลงมีดเชือดอย่างว่องไวเงียบกริบ จนเหลียนฟางโจวมองไม่ทัน เพราะเพียงไม่กี่อึดใจต่อมา ป้าสามก็ถือชามที่มีเลือดไก่เต็มปริ่ม พร้อมทั้งมีดเปื้อนเลือดกลับมา
“เร็วอะไรเช่นนี้!”
เหลียนฟางโจวสะดุ้งตกใจ
“ขนาดไก่ก็ยังไม่เคยฆ่า
แล้วเจ้าจะไปทำอะไรได้!” ป้าสามวางมีดและชามลง แล้วเอ่ยว่า “เอาเถิด ไก่พวกนี้ จะให้ข้าจัดการต่อเลยไหม ส่วนเจ้าก็จี่เล่าปิ้งต่อไป! อีกไม่กี่อึดใจก็ละมือได้แล้ว อ้อ..แล้วอย่าลืมเอาหมั่นโถวที่หนึ่งไว้ก่อนหน้ายกลงมาด้วยเล่า ตุ๋นไก่ใช้เวลาไม่นาน ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็ได้น้ำแกงรสดีแล้ว!”
เดิมทีเหลียนฟางโจวไม่เคยต้องลงมือทำอะไรเองแบบนี้ ในชาติภพยุคสมัยใหม่ที่เธอจากมา หากอยากได้ไก่
ก็แค่ตรงไปซื้อที่ร้านขายไก่ ที่เขาฆ่าและถอนขนทำความสะอาด จัดวางขายไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ขืนเธอยังฝืนดันทุรังเอามาทำเองต่อไป เธอคงยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเป็นแน่ พอได้ยินป้าสามกล่าวออกมาเช่นนี้ เหลียนฟางโจวซึ่งกำลังเข้าตาจน จึงหัวเราะแหะๆ
รีบตอบตกลงทันที
ฝ่ายป้าสามแม้ในใจจะนึกเจ็บปวดที่ต้องฆ่าไก่ทั้งสองตัว ทว่าพอคิดว่าจะได้กินไก่อันโอชะ เป็นอาหารมื้อกลางวัน และตอนเย็น
ซ้ำยังอาจได้กินต่อในวันพรุ่งนี้ด้วยแล้ว
จิตใจพลันแช่มชื่นยิ่งนัก จึงรีบสาวเท้าออกนอกเรือนไปพร้อมกับเหลียนฟางฉิงอย่างเบิกบานสำราญใจ
ขณะที่สกุลเหลียนบ้านรองกำลังยุ่งวุ่นวายกับการทำอาหารกลางวันเลี้ยงคนงาน ในเมืองยู่เหออันอุดมสมบูรณ์
มีม้าฝีเท้าดี 2 ตัวถูกควบขี่ไปตามเส้นทางหลักมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านต้าฟาง
ผู้ที่อยู่บนหลังม้า คือเจ้านายและบ่าวหนุ่มคู่หนึ่ง ฝ่ายเจ้านายหนุ่มอายุราว
20 ปีต้นๆ สวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำเงินสว่าง ลายตารางสามช่อง คอกลม ปลายแขนสอบทรงลูกศร ที่เอวคาดสายรัดสีเดียวกัน เพียงตรงกลางสายรัดฝังหยกสีขาวไว้ด้วย ส่วนที่เอวห้อยถุงหอมสีเหลือง นอกจากนี้
ยังคลุมตัวอีกชั้นด้วยเสื้อคลุมยาวสีเขียวน้ำทะเลตั้งแต่หัวจรดเท้า และสวมรองเท้าหุ้มสูงสีดำ
ถุงหอม |
เป็นเพราะสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ยาว จึงเกือบปิดบังใบหน้าและศีรษะจนมิด คนภายนอกจึงมิอาจเห็นรูปร่างหน้าตาของเขา ทว่าเพียงเห็นท่วงท่ากิริยาที่ แสดงออกถึงความแช่มชื่นเบิกบาน ของร่างสูงนี้
ย่อมรู้ได้ว่า บุรุษผู้นี้
คือคุณชายรูปงามสูงศักดิ์ท่านหนึ่ง
บุรุษที่ติดตามมาด้วยอยู่ในอาภรณ์สีเขียวมรกต สวมเสื้อคลุมตัวนอกสีเขียว ในมือหิ้วกล่องของขวัญเล็กๆ มัดละสี่กล่อง 3 มัด คอยกวาดตามองไปรอบๆ เป็นครั้งคราว
ช่างน่าตกใจนัก บุรุษสองท่านนี้ คือชุยเฉ่าซี และบ่าวรับใช้ ที่ชื่อ ชุยอวี้
“ท่านชาย...ท่านนี่จริงๆแลย ท่านสลัดเหล่าพ่อบ้านทิ้ง เพื่อจะรีบเร่งเดินทาง มาแถวนี้นี่นะ! ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าท่านกำลังวางแผนทำสิ่งใดอยู่!” ชุยอวี้อดค่อนแคะไม่ได้
เดิมทีจากเมืองเต๋อซิงเพื่อไปเยี่ยม
สกุลซูที่เมืองชวงหลิว มีพ่อบ้านของสุกลชุย
2 คนร่วมทางไปด้วย ตัวเจ้านายล่วงหน้ามาพร้อมบ่าวรับใช้หนุ่ม ให้บรรดาคนที่มากับรถม้า รออยู่กลางทางที่เมืองช่างตู ปล่อยให้คนมากมายเหล่านั้นนั่งๆนอนตามสบายได้อย่างไรกัน? ท่านชายพาเขารีบเร่งเดินทางมากันสองคนเพียงลำพัง ลงท้ายเกือบทำห่อผ้าสัมภาระเหล่านี้หาย
ยามขากลับ เจ้านายเขากลับอิดออด ซ้ำยังให้พ่อบ้านทั้งสองคนรออยู่กับขบวนก่อน ส่วนตนเองยืนกรานแยกเดินทางไปเอง ไม่คาดว่าจะงุบงิบปิดบัง แอบเดินทางมาเมืองยู่เหอแทน
ชุยอวี้ถึงได้รู้ว่าที่เขามาที่นี่ ก็เพื่อมาตามหา แม่นางเหลียนญาติห่างๆของสกุลซู ซึ่งเป็นญาติฝ่ายแม่ของฮูหยินน้อยสกุลซูนั่นเอง
ทว่าชุยอวี้เองไม่เข้าใจเลยว่า เจ้านายเขาจะตามหาตัวแม่นางเหลียนไปทำไมกัน อย่าบอกนะว่ามีอะไรที่น่าสนใจ
หรือน่าสนุกอยู่กับแม่นางเหลียนที่นี่?
ชุยเฉ่าซีได้ยินบ่าวรับใช้ บ่นกระปอดกระแปด จึงปรายตามองแล้วเอ่ยว่า “หากเจ้าไม่เต็มใจ เช่นนั้น...ก็ไม่ต้องตามข้ามา กลับไปติดตามพ่อบ้าน 2 คนนั่นเลย! หรือไม่เจ้าก็ไม่ต้องไปต่อ คอยอยู่ตรงนี้ดีไหม?”
“ไม่เอาขอรับ”
ชุยอวี้รีบยิ้มประจบ “บ่าวจะไปกับนายท่านคนดี ไม่เช่นนั้น
บ่าวไม่อาจวางใจได้ขอรับ!”
ชุยเฉ่าซีแค่นเสียง “ในเมื่อรู้แล้ว เจ้าก็ทำตามหน้าที่เสีย จะร่วมทางมากับข้า ก็ทำตัวให้ว่าง่ายหน่อย รู้จักหุบปากเสียบ้าง!”
“บ่าวเองมิได้อยากให้นายท่านหงุดหงิดเลยขอรับ!” ชุยอี้พึมพำเบาๆ
ซ้ำยังไม่กล้าบ่นอะไรอีก พลันหนีบท้องม้าทีหนึ่ง รีบควบตามชุยเฉ่าซีไปติดๆ
นายและบ่าวเร่งควบม้ามาตามถนน แล้วชะลอถามทางชาวบ้านไปพลาง ในไม่ช้าก็บรรลุถึงหมู่บ้านต้าฟางอย่างรวดเร็ว พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นอาคารบ้านเรือน ตั้งอยู่เรียงรายเป็นหย่อมๆ
ชุยเฉ่าซีเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง จับจ้องภาพตรงหน้าด้วยใบหน้ายินดีปรีดาเป็นที่สุด อดไม่ได้
มือจับสายบังเหียนแน่น ดึงเบาๆจนม้าหยุด แล้วคลี่ยิ้มถามชุยอวี้
“เจ้าว่า หากแม่นางเหลียนมาเห็นพวกเราตอนนี้เข้า นางจะทำหน้าอย่างไรนะ?”
ดวงตาชุยเฉ่าซีสว่างเจิดจ้า ทอประกายวิบวับ ริมฝีปากบางเผยอขึ้นมานิดหนึ่ง แล้วค่อยๆยกขึ้นจนกลายเป็นรอยยิ้ม
แม้จะเป็นยิ้มบางๆ ถึงกระนั้นก็มาจากก้นบึ้งของหัวใจชายหนุ่มจริงๆ
ชุยอวี้เหล่ตามอง
พร้อมทั้งเหยียดมุมปาก เอ่ยว่า “ไม่ต้องให้พูดเลย แน่นอนคงทั้งตกอกตกใจและดีใจ คงดีใจจนเนื้อเต้น สับสนว้าวุ่น
จนทำอะไรไม่ถูกไปเลย! ท่านชายอุตส่าห์ถ่อสังขารมาไกลถึงเพียงนี้ ก็เพื่อเจาะจงมาดูหน้านางโดยเฉพาะ
นี่คงเป็นเพราะกุศลผลบุญที่นางบำเพ็ญเพียรมา
8 ภพชาติแท้เทียว!”
“เจ้านี่..มันชักจะเอาใหญ่แล้ว
ไฉนถึงพูดจาปากเสียเช่นนี้! “ ชุยเฉ่าซีตวัดสายตาใส่ชุยอี้ด้วยความไม่พอใจ ใบหน้าบึ้งตึงโดยพลัน
“ เจ้าฟังคำสั่งนายเจ้าให้ดีไว้นะ! หากพบแม่นางเหลียน
และครอบครัวนางเมื่อใดต้องให้ความเคารพด้วย
อย่าได้เสียมรรยาท
จนขายหน้ามาถึงนายเจ้าได้”
ชุยอวี้จับจ้องชุยเฉ่าซี ด้วยสีหน้าแปลกพิกล แล้วจึงเปล่งเสียงยานคาง “ขอรับ” นึกบ่นอยู่ในใจ แม่นางเหลียนกำพร้าบิดามารดา มีกันสี่คนพี่น้อง ข้าต้องให้ความเคารพเด็กเล็กๆพวกนั้นด้วยหรือ?
ชุยเฉ่าซีชักไม่สบายใจ พอได้ยินชุยอวี้ตอบมาเช่นนี้ ในใจให้รู้สึกผิดอยู่บ้าง ธรรมดาเขาหาใช่คนเข้มงวดเย่อหยิ่งไม่ ถึงกระนั้นยังคงทำสีหน้าเรียบนิ่ง เหล่มองชุยอวี้ พลางเอ่ยว่า “นายเจ้ามิเตือนเจ้าได้เช่นไร
แม่นางเหลียนคือเปี่ยวเม่ย (ญาติฝ่ายหญิงอายุน้อยกว่า) ของเปี่ยวเส้า(ภรรยาของญาติผู้พี่)ของข้า เปี่ยวเส้านั้นให้ความสำคัญกับแม่นางเหลียน! หากแสดงกิริยาไม่เคารพแม่นางเหลียน ก็เท่ากับไม่เคารพเปี่ยวเส้าด้วย หากไม่เคารพเปี่ยวเส้าแล้ว ก็เท่ากับไม่เคารพเปี่ยวเกอ
(ญาติผู้พี่)ของข้าด้วย พอไม่เคารพเปี่ยวเกอ ก็เท่ากับดูถูกสกุลซูไปด้วย! อย่างไรสกุลซู
คือสกุลเดิมของมารดาข้า
เจ้ากล้าดูถูกสกุลซู ก็เท่ากับเจ้าดูถูกมารดาข้าด้วย
ซ้ำยังเป็นการดูถูกข้าผู้ซึ่งเป็นนายของเจ้าด้วย ได้ยินหรือไม่!”
“ได้ยินแล้ว! บ่าวได้ยินแล้วขอรับ! บ่าวจะให้ความเคารพอย่างมิมีบิดพริ้ว ไม่ทำให้นายท่านขายหน้าเป็นอันขาด!” ชุยอวี้ได้ยินวาจายืดยาวแล้ว
ถึงกับเหงื่อเย็นหลั่งชุ่มเต็มแผ่นหลัง
ไฉนเขาถึงยังงุนงง กับวาจา ที่ท่านชายกล่าวออกมาเช่นนี้อยู่ดี? ฟังดูเหมือนกับจะมีเหตุมีผล ทว่า...การดูถูกแม่นางเหลียนเท่ากับดูถูกนายท่านหรือ? เรื่องนี้ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ชุยอวี้รู้สึกมึนตึบ
เขาคงไม่มีทางเลี่ยง และได้แต่โอนอ่อนผ่อนตามเท่านั้น!
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว!” ชุยเฉ่าซีพึงพอใจนัก
ปรายตามอง แล้วเอ่ยเสียงดังให้ไปต่อได้แล้ว จึงดึงบังเหียนบังคับม้าย่างเหยาะเข้าไปในหมู่บ้านช้าๆ
เพียงเข้ามาสู่ถนนในตัวหมู่บ้าน ก็พบกับคนผู้หนึ่งสวมชุดคล้ายนักพรตสีน้ำตาลหม่น
ดูจากรูปร่างท่าทางแล้ว น่าจะเป็นชายวัยกลางคน ชุยเฉ่าซีคิดแล้ว จึงพริ้วกายลงจากหลังม้า ร้องถามลุงผู้นั้นเสียงดัง “ท่านลุง ได้โปรดหยุดก่อน!” ชายหนุ่มสาวเท้าเข้ามาหา
พลางประสานมือคารวะ
แย้มยิ้มเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่า บ้านของแม่นางเหลียนฟางโจวอยู่แถวไหน? ขอท่านลุง ได้โปรดบอกทางที!”
ชุยอี้เห็นเจ้านายลงจากหลังม้า จึงพริ้วกายลงจากหลังม้าบ้าง พลางรีบสาวเท้าตามติด
ดวงตาของชายวัยกลางคนผู้นั้นเรืองวาบ สายตามองชุยเฉ่าซีไล่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ถามขึ้น
“ท่านมาตามหาฟางโจวหรือ? ท่านเป็นใคร?”
ชุยเฉ่าซีอึ้งงันไปชั่วขณะ เจอชายวัยกลางคนถามเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ขณะสองจิตสองใจว่าจะพูดดีไหม ชายวัยกลางคนผู้นั้น ก็ตบหน้าผากตนเอง ร้องขึ้น ยิ้มแก้มแทบปริแล้วเอ่ยถาม “ท่านเป็นคนเมืองชวงหลิวหรือ?
ท่านคือคุณชายสกุลซูใช่หรือไม่?”
-----------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ ^-^
-มีรีดบางท่านถามเรื่อง นางเอกปลูกฝ้ายมากมาย จะขายใคร คำตอบคือ นางเอกจะเอาไปผลิตผ้าฝ้าย ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ในสมัยนั้น อารมณ์คล้ายๆ ขายไอโฟนช่วงแรกๆ ซึ่งมีแต่คนแย่งซื้อค่ะ
-แม่ทัพจะคืนความทรงจำ หลังแต่งงานแล้วไปพักหนึ่งนะคะ ราวๆ ตอนห้าร้อยปลายๆ
โห. หนุ่มตามมาถึงบ้านละ
ตอบลบเมือไรจะได้แต่งงานนี่ต้องรออีกสี่ร้อยตอนเชียวหรือ?? นิยายดำเนินไปเรื่อยๆแต่สนุกค่ะ
ตอบลบโอ๊ยย รักนาง รักผู้แปลด้วยค่ะ อิอิ
ตอบลบท่านลุงเป็นใครอ่ะ ถ้าให้เดาน่าจะเป็นลุงนางเอกแน่เลย
ตอบลบชักจะกลัวว่าจะเป็นลุงป้ามหาภัย -___-);;
ตอบลบขอบคุณผู้แปลนะคะ! <3
นิยายสนุกกกกกกก แต่ก็ยังรู้สึกใจร้อนอยากให้ฟางโจวรีมแต่งๆสักที😂😂
ตอบลบอ่าาา~....ลุงป้ามหาภัยกลับมาแล้ว
ตอบลบฟางโจวทำหน้ายังไงนะรึ ...ก็มองบนพร้อมถอนใจเฮ้อตัวซวยเฮ้ยตัวปัญหามาอีกคนแล้ว
ตอบลบขอบคุณค่ะไรท์ที่ตอบคำถามนางเอกผลิตเป็นผ้าฝ้ายขายถึงว่านางถึงได้กล้าที่จะปลูกมากขนาดนี้///คนที่พระรองเจอคงไม่ใช่ลุงมหาภัยนะค่ะ
ตอบลบสงสารพระรอง จนสุดท้าย..เขาก็ยังไม่มีคู่ //ซบอกเราได้นะ ถถถถ
ตอบลบคงไม่ใช่ลุงของนางหรอกนะ ไม่งั้นได้เป็นปัญหาแน่
ตอบลบพระรองงานดีอะ จริงๆแอบเอาใจช่วยนะ55 แต่ก็นะชื่อเรื่องก็บอกพระเอกของเราคือท่านแม่ทัพ นิ่งๆแต่กินขาด
ตอบลบ