วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา - บทที่ 149 แขกมิได้รับเชิญ

                      เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  “ข้ามิได้โหมงานหนักสักหน่อย  ท่านพูดอะไรกัน!  ก็แค่ช่วงนี้เอง   ยุ่งๆเฉพาะตอนนี้ก็นับว่าดีแล้ว!”
                        อาเจี่ยนได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ   มิได้เอื้อนเอ่ยอะไรต่อ
                        เหตุผลที่เหลียนฟางโจวยืนยันจะเป็นฝ่ายเตรียมอาหารกลางวันเอง  ก็เพราะวิตกว่าบรรดาคนงานพวกนั้นคงไม่ชอบใจนักที่จะหากินเอง  ทุกๆวันได้กินแต่กระหล่ำปลีดองเค็ม  ไหนเลยจะทำงานกันอย่างแข็งขันได้เล่า?   เช่นนี้ย่อมกระทบต่อความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างเป็นแน่

                        ให้ครอบครัวเธอเองเป็นฝ่ายจัดเตรียมอาหาร  แม้ว่าจะหนื่อยหนักอยู่บ้าง  แต่รับรองว่าเหล่าคนงานจะได้กินของดีๆแน่นอน
    ที่บ้านมีแป้งสาลีเหลือไม่มาก  เหลียนฟางโจวกับอาเจี่ยน   เหลียนเซ่อจึงไปหาซื้อแป้งสาลีมา 100 ชั่ง   อีกทั้งกระดูกหมู 5-6 ท่อน  ไข่ไก่ 200 ฟอง  และผักดองเสียนไช่อีก 1 ไห
                        ป้าสามมักพร่ำบ่นเรื่องทำอาหารจานผัด  ว่าแสนลำบากนักหนา   ซ้ำทำให้คนงานกินด้วยก็เพิ่มความลำบากขึ้นไปอีก  ด้วยภายหลังก็ต้องเปลี่ยนอาหารจานผัดไม่ให้ซ้ำซาก  ส่วนกระดูกหมูท่อนใหญ่ที่เอามาตุ๋นน้ำแกงตามที่เคยทำเป็นประจำนั้น  เทียบกับการปรุงอาหารจานผัดแล้วสะดวกสบายกว่ากันมากนัก
                        ทั้งสามคนซื้อของเสร็จเรียบร้อยแล้ว   กำลังจะขับรถเกวียนออกไป  พลันได้ยินเสียงหญิงสาวหวานใสแกมยั่วยวนดังขึ้นเบื้องหลัง  ร้องเรียก  “พี่เจี่ยน!”
                   คนทั้งสามต่างหันขวับมามองทันที   สตรีผู้หนึ่งในชุดเสื้อท่อนบนสีน้ำเงิน คอเสื้อปักลายดอกเบญจมาศคล้ายชนชั้นสูง  สวมกระโปรงสีไข่ไก่  มองตรงมาด้วยรอยยิ้มหวานเต็มใบหน้า  ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจากซี่เชวี่ยที่หายหน้าหายตาไปนานนั่นเอง?
                        เหลียนฟางโจวสบตาเหลียนเซ่อ   แล้วทั้งสองคนเบนสายตามายังอาเจี่ยนพร้อมๆกัน
                        อาเจี่ยนผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่นิ่วหน้า  พึมพำ “ไยนางจึงมาอีกแล้วล่ะ!”
                   “พี่เจี่ยน!”  ซี่เชวี่ยเห็นอาเจี่ยนเอาแต่นิ่งเฉยไม่ตอบรับ   จึงเรียกเสียงหวานเจี๊ยบอีกครั้ง   พาให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมามองดูด้วยความสนเท่ห์
                        ไม่เพียงมองนาง  ทั้งยังไล่สายตามองอาเจี่ยนตามสายตาของซี่เชวี่ย  รวมไปถึงพวกเหลียนฟางโจวด้วย
                        “ท่านเคยไปเจรจากับนางแล้ว  ไม่รู้ว่านางมาหาท่านด้วยเรื่องอันใดอีก!   ท่านไปคุยเสียให้เสร็จเถิด พวกเราจะได้กลับบ้านกัน!”  เหลียนฟางโจวพรูลมหายใจเบาๆ
              แม้ใจจริงอาเจี่ยนไม่อยากไป  ทว่าเขาเข้าใจเจตนาของเหลียนฟางโจวดี   ยามนี้พวกเขาอยู่กลางถนนสายหลัก  มีคนสัญจรพลุกพล่าน   ผู้คนมองมาล้วนดูไม่ดี!
                        ซี่เชวี่ยผู้นั้นจากที่แสดงออก  ชัดเจนว่า คนผู้นี้ยังไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ
         “อื้ม” อาเจี่ยนพยักหน้ารับคำเสียงเบา  ตวัดสายตาไปยังที่นั่นแวบหนึ่ง  ชายหนุ่มไม่นึกอยากเดินไปหาสาวใช้ผู้นั้นเลยสักนิด  ในใจนึกรังเกียจพฤติกรรมของซี่เชวี่ยมากขึ้น
                   “ปกติฉิงเอ๋อร์มักเรียกขานเขาว่าพี่เจี่ยน  ข้าฟังแล้วก็ไม่รู้สึกอันใด   แต่พอมาได้ยินสาวใช้ผู้นั้นเรียกแบบนี้แล้ว   ไฉนข้าจึงรู้สึกขนลุกไปทั้งตัวนะ!”  เหลียนเซ่อพึมพำเบาๆกับเหลียนฟางโจว
                   เหลียนฟางโจวขำกิ๊ก  จนเหลียนเซ่อค้อนให้   แล้วจึงเอ่ยว่า “นางก็แค่สาวใช้ตัวเล็กๆ   ชีวิตล้วนอยู่ในกำมือเจ้านาย  จะเทียบกับฉิงเอ๋อร์ของเราได้อย่างไร นางย่อมมิอาจขัดคำสั่งเจ้านายได้!”
                        เรื่องนี้ไยจะเหมือนกันได้เล่าเหลียนฟางฉิงเรียกขานชายหนุ่มว่า ‘พี่เจี่ยน’ ก็เพราะเป็นธรรมดาที่เด็กย่อมเรียกบุรุษที่แก่กว่าตนเองขึ้นต้นด้วย ‘พี่’ ตามสัญชาติญาน  ในกรณีซี่เชวี่ยผู้นั้น   คงได้แต่เพียงหัวเราะขำ!
                        “จริงด้วย!   นางจะเทียบกับฉิงเอ๋อร์ของเราได้อย่างไร!”  เหลียนเซ่อผงกศีรษะ  จึงไม่ซุบซิบเรื่องซี่เชวี่ยอีก
                        เหลียนฟางโจวพูดคุยกับน้องชายไปพลาง  มองไปทางอาเจี่ยนและซี่เชวี่ยไปพลาง  โดยหามีความสนใจอันใดไม่   ในหัวครุ่นคิดเรื่องอื่น  ส่วนเหลียนเซ่อยืนเอ้อระเหยอยู่ข้างๆ   จับจ้องผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเพลินๆ
                        “ท่านมาทำไมอีกคิดจะทำอะไร!”   จู่ๆเหลียนเซ่อก็มีท่าทีระวังตัวและแผดเสียงดังขึ้นมา  ทำให้เหลียนฟางโจวพลอยสะดุ้งไปด้วย  หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้น  พลางรีบมองหาที่มา
                        พอเห็นแล้ว   หญิงสาวก็อึ้งงันตามไปด้วย   เสียงตวาดอีกสายหนึ่งพลันดังแหวกอากาศขึ้นมา  เหลียนฟางโจวถอยหลังไปสองก้าว  แสดงท่าทีรังเกียจและไม่ต้อนรับ   ใบหน้าบึ้งตึงเอ่ยเสียงเย็นชา  “ท่านมาทำอะไร?
                        เป็นธรรมดา  ที่เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อจะแสดงออกเช่นนี้   ซึ่งจะเป็นกับคนสกุลหยางเท่านั้น  มิหนำซ้ำคนผู้นี้คือตัวต้นเหตุคนสำคัญ หยางหวายชานนั่นเอง
                        ไยจะไม่เป็นต้นเหตุให้สองคนพี่น้องคู่นี้ไม่พอใจได้เล่า?
                        เหลียนเซ่อเข้าขวางโดยวาดแขนกางกั้นเหลียนฟางโจวไว้   เด็กหนุ่มตวาดขึ้นพร้อมทั้งถลาเข้าใส่หยางหวายชานอย่างดุร้าย “ท่านอยู่ห่างๆพี่สาวข้าเสีย !  หาไม่แล้ว  หากมีใครมาเห็นเข้าจะเอาไปฟ้องมารดาท่าน   ประเดี๋ยวพี่สาวจะข้าโดนใส่ร้ายอย่างไร้เหตุผลอีก!”
                        เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อพอเห็นเขา  ก็เกิดปฏิกิริยาตอบโต้    อันนำพาให้อดีตคู่หมั้นเจ็บปวดร้าวรานอย่างหาใดเปรียบ  ยามนี้พอได้ยินถ้อยคำของเหลียนเซ่อ   ยิ่งพาให้หยางหวายชานรู้สึกทุกข์ระทมมากขึ้น
         ใจของชายหนุ่มบีบรัดแน่น 
                        เขาไม่สาวเท้ามาข้างหน้าอีกแล้ว   หากยังไม่จากไปไหน  เพียงยืนอยู่ตรงนั้นแล้วเปล่งเสียง  “ฟางโจว---“
                        “ข้าหาได้สนิทสนมกับท่านถึงเพียงนั้น!”
    “โปรดให้เกียรติด้วย    นามพี่สาวข้าท่านเรียกขานตรงๆได้หรือ!”
                        เหลียนฟางโจวกับเหลียนเซ่อขัดคำพูดชายหนุ่มด้วยความไม่พอใจราวกับนัดกันไว้  โดยไม่สนใจความรู้สึกอีกฝ่ายแม้สักกะผีก
                         ซ้ำยังไม่ให้โอกาสเขาแก้ตัวใดๆ   หากเป็นไปได้เหลียนฟางโจวอยากจะฉีกร่างหยางหวายชานออกเป็นแปดส่วนจริงๆ!   ใต้หล้านี้ไฉนยังมีคนที่น่ารังเกียจน่ารำคาญได้ถึงเพียงนี้!   ตามตอแยราวกับผีหลอกวิญญาณหลอนเสียจริง!
                        “แม่นางเหลียน”  ใบหน้าหยางหวายชานมีแต่ความเจ็บช้ำ   ชายหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียด  เอ่ยขึ้น  “  เรื่องเมื่อสองวันก่อน  ข้าได้ยินเขาเล่ามา.....ข้าขอโทษแทนท่านแม่ข้าด้วย.....เจ้าวางใจเถอะ  ที่ดินผืนนั้นเนื่องจากได้มอบให้เจ้าแล้ว  บ้านพวกเราจะไม่เอาคืนกลับอย่างแน่นอน!”
                        เหลียนฟางโจวอดแค่นเสียงเบาๆไม่ได้   พูดกับตนเองในใจว่า ตรงกันข้ามพวกท่านนั่นและที่อยากได้คืนนัก  ทว่าพวกท่านนึกอยากจะเอาคืนก็จะเอาคืนกันได้ง่ายๆหรือ?’
                        “ท่านรีบไปเสียเถิดไปซะอย่ามาสร้างปัญหาให้ข้า!”  เหลียนฟางโจวเอ่ยอย่างเหลืออด
                   หากเธอเป็นเขา  พอรู้ว่าอดีตคู่หมั้นมาซื้อที่ดินของบ้านเขา และจะโดนแม่เขาหาเรื่อง  เขาควรหยุดแม่ของเขาไว้เสียแต่ทีแรก   แล้วตัวเขาค่อยรีบมาเตือนเธอให้รู้ตัวไว้ก่อน   เช่นนั้นเหลียนฟางโจวจึงจะยอมรับเยื่อใยเขาสักสองส่วน
                   ทว่าไม่มีเลย   สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆนั้น   เรื่องราวต่างๆที่ไม่สมควรเกิดขึ้น  ก็ได้เกิดขึ้นไปหมดแล้ว  เขาดันทะเร่อทะร่ามาพูดนั่นพูดนี่อย่างเป็นห่วงนักห่วงหนาเมื่อครู่   คงอยากโดนนางโบยก้นหนักๆใช่หรือไม่?
                        มิใช่แค่โบยธรรมดา   เหลียนฟางโจวอยากจะโบยเขาให้เนื้อแตกจนกระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆเลย!
                        โดยเฉพาะยามที่เห็นเขามายืนทำหน้าเจ็บปวดรวดร้าวด้วยแล้ว   เธอกลัวว่าไอ้หน้าตาแบบนั้นจะติดมาถึงเธอด้วย
                        หยางหวายชานถอนหายใจเบาๆ เอ่ยขึ้น  “เจ้า  เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?
              เหลียนฟางโจวจุกจนแทบหายใจไม่ออก  อยากจะบ้าตายนัก!
                        “ไส-หัว-ไป!”  หญิงสาวบดกรามแน่น  เอ่ยเสียงรอดไรฟันมาทีละคำ  ดวงตาคับแค้น   ถลึงตาใส่หยางหวายชาน
                        “ฟางโจว  ข้า-“
                   “พี่สาวบอกให้ท่านไสหัวไปได้แล้ว ท่านหูหนวกหรือไร!”  เหลียนเซ่อบันดาลโทสะ
                   “เกิดอะไรขึ้นรึ?”  อาเจี่ยนเดินกลับมาแล้ว   พอเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าจึงถามขึ้น
              “ไม่มีอะไรแค่คนแปลกหน้าน่ะ  พวกเราไปกันเถิด!”  เหลียนฟางโจวเอ่ยกับอาเจี่ยน  ไม่เหลือบไปมองหยานหวายชานอีกเป็นครั้งที่สอง   จากนั้นจึงเดินไปขึ้นรถเกวียนเทียมลาพร้อมกับเหลียนเซ่อ
              อาเจี่ยนเหลือบมองหยานหวายชาน  จึงผงกศีรษะเปล่งเสียง “อื้ม”   แล้วขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับเกวียนด้านหน้า  พลางตวัดแส้ขับรถเกวียนให้ออกตัวจากไป
                        การแสดงท่าทีชิงชังรังเกียจและห่างเหินอย่างเย็นชาเช่นนี้   ทำให้หยางหวายชานเจ็บปวดรวดร้าวเกินทน  เขายืนนิ่งเป็นหุ่นอยู่ตรงนั้น   มองรถเกวียนเทียมลาที่ค่อยๆห่างออกไปด้วยดวงตาพร่าเลือน  ผ่านไปเป็นนานก็ยังไม่ขยับตัว
                        เขาห่วงใยนางจากใจจริง   เป็นห่วงนางยิ่งนัก!   ไยนางจึงไม่มองเขาดีๆบ้าง?
              เขารู้ว่านางชิงชังเขา   ต่อว่าเขา  ทว่า  เขามิได้อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้จริงๆ  ช่างลำบากนักไยนางจึงไม่เข้าใจเขาบ้างนะ!
                        ทุกครั้งที่เจอกัน นางล้วนแสดงออกเช่นนี้  ทำให้เขาโศกเศร้าเจ็บลึกเกินจะทน  ถึงกระนั้นเขาก็ยังห่วงใยนางไม่เลิกรา  ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น  ก็ยิ่งเอาแต่ถวิลหานางมากขึ้น!
                        บางที  สักวันหนึ่งนางคงให้อภัยเขาได้ใช่ไหม ธาตุแท้นั้นฟางโจวเป็นเด็กสาวใจดีและอ่อนโยน  เขารู้ดีกว่าใคร.......

                        “ซี่เชวี่ยผู้นั้น   คงไม่ชวนท่านไปทำงานที่บ้านสกุลจ้าวใช่หรือไม่?”  พอรถเกวียนขับออกไปได้ระยะไกลพอควร  เหลียนฟางโจวซึ่งยังคงมีอารมณ์เบื่อหน่ายรำคาญก็ทำลายความเงียบขึ้น  ด้วยการเอ่ยปากถามอาเจี่ยน
       -----------------------------------------------------------------
    ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ  ^-^


8 ความคิดเห็น:

  1. โอยยยยยยยย วิบากกรรมตามมาไม่จบไม่สิ้น
    ชอบเรื่องนี้เพราะเหมือนตามติดชีวิตคนคนหนึ่ง คนเขียนแต่งได้น่าติดตามอย่างไม่น่าเชื่อ
    ขอบคุณที่แปลให้อ่านมาตลอดนะคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ

    ตอบลบ
  2. นิยายดำเนินเรื่ิองไปเรื่อยๆ แต่สนุก ชวนติดตาม

    ตอบลบ
  3. ถึงจะบอกว่าเป็นนิยายที่ดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ แต่ปัญหามีเข้ามาระราน ฟางโจวได้เรื่อยๆ เลย เหอออ ปวดหัวแทนนางเอก 55+

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ22 ธันวาคม 2560 เวลา 23:19

    ขอบคุณค่ะ
    ดีใจทุกครั้งที่เห็นโพสต์เตือนในเฟซบุ๊ค

    ตอบลบ
  5. ลูกแหง่ติดแม่จริงๆ....ดีแล้วที่นางเอกไม่แต่งด้วย แต่งเข้าไปเหมือนมีลุกตัวโตๆ เด๋วแม่ผัวก้อหาว่าข่มลูก หาว่าลุกหลงเมีย นางตัดสินใจได้ฉลาดมากกกกก

    ตอบลบ
  6. ผมคิดว่าเรื่องน่าติดตาม. แต่ว่าพออ่านไปแต่ล่ะตอนแล้วเหมือนเร่งเครื่องเกียร1 ลากเกียร์ขาดตอนทำไห้อัธรถในการอ่านติดขัดกระตุก แต่ขอบคุนที่แปลไห้ได้อ่านครับ

    ตอบลบ
  7. ตอนนี้กำลังชออบนิยายแนวนี้เลย

    ตอบลบ