วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

จับแม่ทัพไปไถนา - บทที่ 201 มีญาติมาหา (2)


เหลียนไห่มาพูดในนามส่วนตัว มิใช่ในนามครอบครัว ซ้ำยังเอ่ยอีกว่า ข้ารู้ว่าพวกเจ้ายามนี้มิได้ขาดแคลนเงินทองใช้สอย ชายหนุ่มที่กำลังมุมานะเรียนหนักในสำนักศึกษา รู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างบ้านหลักกับบ้านรองในเวลานี้ได้อย่างไร? ชัดว่า ยามกลับมาบ้านคงสอบถามมาจากเหลียนลี่และเฉียวซื่อจนรู้แจ้งแทงตลอดแล้ว
สอบถามข้อมูลมาโดยละเอียด แถมยิ้มแย้มเป็นธรรมชาติได้เช่นนี้ ซ้ำมาเยือนอย่างเป็นมิตรแบบนี้  ถางซยง (ญาติชายผู้พี่ฝั่งบิดา) สมแล้วที่เป็นทายาทของลุงใหญ่ คงได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาจากลุงใหญ่มาไม่น้อยทีเดียวสินะ!

เหลียนฟางโจวพลันบังเกิดความคาดหวังขึ้นบางส่วน  และรอดูว่าเขามานี่ ต้องการอะไรจากบ้านเธอกันแน่?
ของฝากนี้ เธอย่อมต้องรับไว้
พอเห็นเหลียนฟางโจวยอมรับของฝาก เหลียนไห่บังเกิดความโล่งใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อทักทายอย่างสุภาพกันพอหอมปากหอมคอแล้ว เหลียนไห่จึงถอนหายใจเบาๆ พลางมองหน้าเหลียนฟางโจว “ฟางโจว ถางเม่ย (ญาติหญิงผู้น้องฝั่งบิดา) เรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้น จริงๆแล้ว ข้าจนใจนัก! ข้ามิได้อยู่ช่วยเหลือถางเม่ยเลย กระนั้นก็อยากขอถางเม่ยให้อภัยด้วย”
พอกล่าวจบ จู่ๆเหลียนไห่ก็ลุกขึ้นยืนประสานมือค้อมหัวคารวะเหลียนฟางโจวอย่างขึงขังเต็มพิธีการ โดยไม่มีใครคาดคิด
เด็กน้อยฝาแฝด่ชายหญิงทั้งสองยังเยาว์นัก จึงมิได้คิดอันใด  แต่พอเห็นเหลียนเซ่อกับอาสามทำท่าตื่นตะลึง  เด็กทั้งสองจึงมีท่าทางเหลือเชื่อเพิ่มขึ้นมา 3-4 ส่วน ซ้ำยังรู้สึกผิดตามมาอีกด้วย
อย่างไรก็ดี เด็กทั้งสองก็หาได้เอื้อนเอ่ยอันใด ต่างพากันหันไปมองเหลียนฟางโจวพร้อมกันโดยไม่รู้ตัว
เหลียนฟางโจวมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หญิงสาวนินทาถางซยงผู้นี้ในใจ ลึกๆแล้วเขากำลังดีดลูกคิดรางแก้ว คิดแผนการอันใดในใจอยู่ล่ะ? เขาเป็นบุรุษที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายพวกเธอ ซ้ำคือความหวังว่าจะเป็นผู้สามารถผ่านด่านสอบของทางราชสำนัก มิคาดว่าจะค้อมหัวลงต่ำมาขอโทษเธอ....
เหลียนฟางโจวตื่นตกใจไม่ยอมรับการคารวะจากเขา หญิงสาวรีบลุกขึ้นยืนถอยห่างให้พ้นรัศมี พลางหัวเราะหึๆ แล้วขยิบตายิ้มทำหน้าทะเล้นเอ่ยว่า “จะว่าไปตลอดหลายปีมานี้ ข้าได้เจอถางซยงเพียงไม่กี่ครั้ง ข้าจำไม่ได้ว่าพวกเราบาดหมางกับถางซยงตั้งแต่เมื่อใด แล้วท่านจะมาขออภัยเรื่องอันใดกัน  ที่จริงแล้วคำขออภัยนี้ข้าไม่กล้ารับไว้หรอกนะ!”
ชัดเจนว่าแต่ละฝ่ายต่างคนต่างรู้ทันกัน ทว่าเหลียนฟางโจวกลับปฏิเสธจะท้าวความถึงเรื่องในอดีตที่เธอรู้อย่างคลุมเครือ  ส่วนเหลียนไห่รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
เมื่อตรองดูดีๆ หากถางเม่ยมิได้เคี้ยวยากเช่นนี้  บุพการีของตนจะพ่ายแพ้นางอย่างหมดท่ามาครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไร?  ในอดีตเขาสุภาพเป็นมิตรกับนาง ก็เพราะว่าเวลานั้นอารอง และอาหญิงรองยังอยู่น่ะสิ...
เทียบกับบิดามารดาแล้ว เขาฉลาดมีไหวพริบ แถมมีศิลปะในการพูดมากกว่านัก!
มิหนำซ้ำ  ที่นี่ไม่มีคนนอก  เรื่องราวทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้น บ้านใหญ่ย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ หากจะรื้อฟื้นขึ้นมาพูดประจานกัน ทำไมจะทำไม่ได้เล่า?
 “ในเมื่อฟางโจวถางเม่ยมิอยากพูดถึงอีกแล้ว ย่อมทำให้ใบหน้าข้ามิอาจคลายความกระอักกระอ่วนได้!” เหลียนไห่ยิ้มฝืดฝืน และจับจ้องเธอด้วยใบหน้าเผยความจริงใจ “ดังคำพูดที่ว่า บุตรย่อมไม่พูดเรื่องที่บิดาทำ มิพักต้องเอ่ยถึง เรื่องไม่สมควรที่บิดามารดาข้ากระทำไว้เหลือคณานับ ให้ข้าเป็นฝ่ายกล่าวออกมาเอง ก็คงไม่สะดวกจะเอื้อนเอ่ย ด้วยความที่เป็นบุตรชาย  สิ่งที่ข้าทำได้ ก็มีเพียงคำขออภัยเท่านั้น!  ถางเม่ย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องภายในตระกูลเรามิใช่หรือ หากเจ้าไม่ยอมรับคำขออภัยจากข้า ใจของถางซยงคนนี้คงมิอาจสงบสุขได้แม้เพียงวันเดียว!
บุรุษญาติผู้พี่นิ่งไปสักครู่แล้วเอ่ยขึ้น “ข้าขออภัยถางเม่ยจากใจจริง  หรือให้ถางเม่ยกล่าวออกมาเองดีไหม ว่าจะให้ข้าทำสิ่งใดเพื่อให้เจ้ายกโทษให้ ข้าพร้อมจะยอมทำตามมิมีบิดพริ้ว!”
น้ำเสียงของเหลียนไห่ฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความจริงใจจากส่วนลึก ทั้งใบหน้าและดวงตาปรากฏแววแห่งความจริงใจฉายชัด
เหลียนเซ่อเบนสายตาไปหาเหลียนฟางโจวอย่างอดไม่ได้ “พี่ใหญ่...”
เหลียนฟางโจวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ถางซยงรีบนั่งลงพูดคุยกันเถิด!  เรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมาก็ให้มันแล้วกันไป ไม่จำเป็นต้องรื้อฟื้นขึ้นมาอีก! ในเมื่อถางซยงกล่าวออกมาอย่างจริงจังถึงขนาดนี้  ข้า..ช้าหยาบคายแล้วที่คราแรกตั้งแง่กับท่าน ได้โปรดอภัยให้ด้วย!”
เหลียนฟางโจวอยากรู้นัก ว่าเหลียนไห่จะพูดอะไรต่อ
 “ดีนัก ดีนัก!” เหลียนไห่เหมือนยกภูเขาออกจากอกอย่างเห็นได้ชัด  ชายหนุ่มจึงนั่งลงแล้วเอ่ยขึ้น “ฟางโจว เจ้าช่างเป็นคนจิตใจอ่อนโยนเปี่ยมคุณธรรมนัก”
เหลียนฟางโจวอมยิ้มอย่างถ่อมตัว
 “นี่ก็เย็นมากแล้ว ข้าไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว! ข้ารู้ว่าทุกวันนี้พวกเจ้าล้วนมีธุระการงานล้นมือ!” หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายนั่งคุยไปสักพัก เหลียนไห่จึงยืนขึ้นกล่าวขอตัว ก่อนจากไป เขาได้หันมากล่าวคำมั่นกับเหลียนฟางโจวอย่างหนักแน่นจริงจังว่า “ฟางโจว ถางเม่ย เจ้าวางใจเถิด บิดาและมารดาข้า...นับจากนี้ไปพวกเขาจะไม่มาก่อเรื่องวุ่นวายอย่างที่แล้วๆมาอีก ข้าจะไม่ยอมให้พวกเขาทำเช่นนั้นอีกต่อไป!”
น้ำเสียงของเหลียนไห่ดูหนักแน่นมั่นคงนัก พาให้เหลียนฟางโจวรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาชั่ววูบ ไม่แน่ใจว่าตนเองฟังผิดไปหรือเปล่า
หญิงสาวกระพริบตา เพื่อมองสีหน้าเขาให้ชัดๆ  จึงตระหนักว่า ที่เขากล่าวมาเป็นความจริง เธอรับรู้ได้ว่าเขาพูดจริงมิได้พูดเล่น
 “ถางซยงกล่าวหนักไปแล้ว...” เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้ม
น้ำเสียงของเหลียนไห่เผยความจริงใจเต็มสิบส่วน  หากใครได้ฟังวาจานี้แล้ว  คงไม่มีใคร คลางแคลงในความจริงใจของเขาเลยสักคนเดียว
อย่างไรก็ดี  เหนืออื่นใดเขาเป็นบุตรของคนทั้งสอง ในยุคสมัยโบราณ มีแต่บุพาการีควบคุมบุตร จะมีบุตรไปควบคุมบุพาการีได้เสียที่ไหน?  มิต้องพูดถึงในยุคสมัยโบราณที่ยึดถือความกตัญญูกตเวทีเป็นที่ตั้งนี้อีก
ต่อให้เหลียนไห่ตั้งใจควบคุมความประพฤติของบิดามารดา เหลียนลี่และเฉียวซื่อไม่ฟังเสียอย่าง เขายังสามารถทำอะไรได้อีก?
ภายภาคหน้าหากเหลียนลี่และเฉียวซื่อยังมาระรานพวกเธอได้อีก  นั่นก็เป็นการพิสูจน์คำมั่นสัญญาของเขาแล้ว
เพียงแต่ คำมั่นสัญญานั้นมันจะมิได้ผลเลยสักนิดหรือ?
หากเขาตักเตือนบิดามารดาตนเองจริง พวกเขาคงรับฟังบุตรชายตนเองบ้างกระมัง
เช่นนั้น...ก็นับว่าไม่เลวเลยจริงๆ
เหลียนไห่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ผ่านมาบิดามารดาของเขาทำเกินไปนัก   ต่อให้วาจาของเขานี้เปี่ยมความจริงใจเต็มสิบส่วน  ก็ดูคล้ายว่าไม่สามารถโน้มน้าวใจญาติผู้น้องได้อย่างเบ็ดเส็ดเด็ดขาด  ชายหนุ่มจับจ้องเหลียนฟางโจว ท่าทางอึกอักอยากจะเอื้อนเอ่ย ในที่สุดก็ถอนหายใจเบาๆ  พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นข้ากลับก่อนละนะ!”
 “ถางซยงเดินดีๆนะ” เหลียนฟางโจวพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม  เธอและเหลียนเซ่อยืนส่งเขากลับไป
 “พี่ใหญ่ เยี่ยมไปเลย! จากนี้ไปลุงใหญ่และป้าใหญ่จะไม่วิ่งมาหาเรื่องพวกเราที่บ้านอีกแล้ว ใช่หรือไม่?” ขณะยืนส่งเหลียนไห่ ใบหน้าเหลียนเซ่อผ่อนคลายและเบิกบานใจ  เด็กหนุ่มยิ้มร่าเอ่ยกับเหลียนฟางโจวอย่างกลั้นไม่อยู่
เหลียนฟางโจวยิ้มมุมปาก พลางเอ่ยขึ้น “บางทีนะ! ตราบใดที่ถางซยงคอยโน้มน้าวลุงใหญ่และป้าใหญ่ให้อยู่นิ่งได้น่ะ”
 “นับจากนี้ไปถางซยงนับว่าเป็นความหวังสูงสุดของเรา  หากสามารถทำให้ลุงใหญ่และป้าใหญ่เชื่อฟังเขา!” เหลียนเซ่อเอ่ยขึ้นอีก
 “อืม! ข้าก็คิดเช่นนั้นเหลียนฟางโจวคลี่ยิ้ม ลึกๆในใจแล้ว เธอปรารถนาจะเชื่อน้ำคำเขาขึ้นมาอีกสองส่วนเสียด้วยซ้ำ
วันต่อมา เหลียนฟางโจวเข้าไปที่ไร่ และเดินตรวจไปทั่วพื้นที่เป็นระยะๆ เพื่อดูบรรดาบ่าวไพร่ทำงาน  บางครั้งก็ตรวจดูว่าพวกเขาทำงานถูกต้องหรือไม่
แม้ว่าฉินเฟิง ซูจื่อจี้ และอาเจี่ยนมิได้เล่าอะไรให้เธอฟัง ทว่าวันนี้เมื่อเข้าไปในไร่ ไปเดินวนดูยืนดูพวกข้าทาสทำงานอยู่ใกล้ๆรอบหนึ่ง เธอถึงได้บังเกิดความคิดหลายอย่างขึ้นมาในใจ
ข้าทาสหลายคนไม่คุ้นเคยกับงานในไร่เลยสักนิด ตอนปรับปรุงหน้าดิน ก็ไม่เอาใจใส่ มีปัญหาให้เห็นอยู่หลายจุด อาทิเช่น หน้าดินถูกปรับไม่ราบเรียบเสมอกันเพียงพอ ลึกบ้างตื้นบ้าง โคลนบ่อปลาและขี้เถ้าผสมคลุกเคล้าไม่ทั่ว ต้องมีคนคอยเตือนคอยแก้ไขให้โดยไม่หยุดหย่อน
เมื่อวานนี้พวกฉินเฟิงรวมสามคนคงแทบหมดแรงเป็นแน่
เหลียนฟางโจวอดรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้ หากเธอรู้ว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ เธอคงจะเข้ามาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว เธอคงสามารถช่วยแบ่งเบาภาระให้คนทั้งสามได้บ้าง ฉินเฟิง ซูจื่อจี้และอาเจี่ยนจะได้ไม่เหนื่อยล้าถึงเพียงนี้
อะแฮ่ม ความจริง คนที่เหนื่อยเป็นหลักมีเพียงฉินเฟิงและซูจื่อจี้  เพราะอาเจี่ยนไม่รู้เรื่องการเพาะปลูกเสียด้วยซ้ำ
อาเจี่ยน บุรุษผู้นี้สบายนัก เขาไม่รู้วิธีการเพาะปลูก จึงมิได้สอดมือเข้าไปร่วมวงด้วย ยามนี้ก็ทำได้แค่เพียงยืนอยู่ข้างกองโคลนบ่อปลา  คอยช่วยตักโคลนใส่ตระกร้า แต่ไม่ได้เข้ามาคอยกำกับควบคุมคนงานเลย
 “หวังซัน เจ้าทำผิดแล้ว ดินบริเวณนี้ยังถูกคลุกเคล้าไม่ทั่ว อย่าเพิ่งไปทำขั้นถัดไปสิ  กลับมาคลุกส่วนผสมให้ทั่วใหม่”  ทันใดนั้นเหลียนฟางโจวพลันเรียกชายคนหนึ่งให้หยุดมือ
บรรดาทาสที่ถูกซื้อมาจากพ่อค้าทาส จะถูกตั้งชื่อใหม่อีกครั้ง ไม่เปลี่ยนแซ่เป็นหวัง ก็เป็นหลี่ แล้วตามด้วยเลขลำดับก่อนหลัง
 “ขอรับ คุณหนู!” หวังซันยิ้มขณะหันกลับมา เขายิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “คุณหนู บ่าวไม่ได้ตั้งใจ หากมันไม่ถูกต้องเลยจริงๆ  ขอร้องคุณหนูช่วยชี้แนะได้หรือไม่ขอรับ?
ถ้อยคำที่หวังซันเอ่ยออกมาถูกต้องตามมรรยาท แต่แฝงความไม่จริงจังและไม่เอาใจใส่อยู่หน่อยๆ น้ำเสียงฟังดูคลุมเคลือ บอกไม่ได้ว่ามีความเคารพหรือไม่มีความเคารพ
น้ำเสียงและท่าทางการพูดนี้ยังหาความผิดปกติไม่ได้  แต่มิต้องสงสัย ฟังดูคล้ายอารมณ์ไม่ดีเลยทีเดียว
-----------------------------------------------------
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ คำแนะนำ ติชม และติดตามนะคะ 
-เหลียนไห่ คนนี้บอกได้ว่า ท่าดีทีเหลว เพราะแกขี้กลัวห่วงชื่อเสียงตัวเองมากเกินไปค่ะ
-จากบทนี้ ผู้แปลขอเปลี่ยนคำเรียกป้าสาม เป็นอาสามนะคะ เพราะแปลไปเพิ่งนึกได้ว่า ป้าสามานี้แท้จริงคือ น้องสาวของลุงใหญ่ และบิดาของนางเอก (บิดานางเอกเป็นบุตรคนที่สองของสกุลเหลียน) ต้องขอบคุณผู้อ่านที่ช่วยชี้แนะด้วยนะคะ
-และมีอีกเรื่อง คือ เหลียนเช่อ และเหลียนฟางฉิง ความจริงคือพี่น้องฝาแฝดชายหญิงค่ะ โดยเหลียนเช่อคลอดออกมาก่อน เด็กทั้งสองเกิดมาพร้อมกัน และสนิทสนมเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เกิดค่ะ เพราะไม่ค่อยมีเพื่อนนอกบ้าน ที่แปลผ่านๆมา ไม่ได้เน้นใส่คำว่าฝาแฝดเข้าไปด้วยค่ะ ต้องขออภัยค่ะ ^_^

10 ความคิดเห็น:

  1. ยิ่งอ่านก็ยิ่งรอคอย

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณค่ะ รออ่านความคืบหน้าของไร่นางเอกค่ะเหมือนร่วมทำไร่ไปกับนางด้วยได้ความรู้ดีมากๆค่ะ

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณค่ะ ยิ่งอ่านยิ่งน่าติดตามและตามติดค่ะ

    ตอบลบ
  4. รอตอนต่อไปค่ะ
    ขอบคุณมากค่ะ

    ตอบลบ
  5. แปลดีมากค่ะชอบสำนวนที่ใช้อ่านเข้าใจง่าย
    ขอบคุณนะคะ

    ตอบลบ
  6. เป็นเรื่องหนึ่งในดวงใจเลยค่ะ

    ตอบลบ
  7. ขอบคุณค่า บอสใหม่มาอีกแล้ว

    ตอบลบ
  8. อ่านไปก็คิดว่าเหลียนไห่นี่มาดีจริงหรือเปล่าเห็นวีระกรรมพ่อแม่ที่ทำไว้แล้วหว่งฟางโจวกับน้อง

    ตอบลบ