วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 1112 แผนการของอวิ๋นลั่ว

 

บทที่ 1112 แผนการของอวิ๋นลั่ว

 

หลิวจวิ้นหวางเฟยรีบดันตัวหลิวจวิ้นอ๋องออกไป ก่อนจะพูดอย่างร้อนรนว่า “เจ้าว่ามีวิธีงั้นหรือ? วิธีอะไร? ขอแค่ช่วยหงอิงออกมาได้ ข้าจะถือว่าเป็นบุญคุณ เจ้าต้องการอะไรข้าก็จะยอมทำให้ทุกอย่าง!”

เดิมทีอวิ๋นลั่วเพียงต้องการช่วยเหลือเพื่อประจบเหลียนฟางโจวซึ่งเป็นว่าที่ต้ากูหน่ายนายของนางในอนาคตเท่านั้น แต่เมื่อมีข้อเสนอดีๆ เช่นนี้ นางย่อมไม่ปฏิเสธ เพราะนางไม่ใช่คนโง่

อวิ๋นลั่วมองไปทางเหลียนฟางโจว ดวงตาของนางแฝงความสงสัยและเหมือนต้องการคำยืนยัน

เหลียนฟางโจวอดที่จะหัวเราะกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ได้ แต่ก็รีบพูดอย่างจริงจัง “เสี่ยวอวิ๋น ในเมื่อจวิ้นหวางเฟยทรงตรัสเช่นนี้แล้ว หากเจ้ามีความปรารถนาใดๆ หรือต้องการสิ่งใด นางก็จะช่วยเจ้าสมหวังแน่นอน... แต่อย่าไปพูดถึงดวงดาวบนฟ้าก็แล้วกัน!”

คำพูดนี้ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมา รวมถึงหลิวจวิ้นหวางเฟยที่ยิ้มพลางพยักหน้า “พี่สาวสพูดถูก!”

“ตกลงเพคะ!” อวิ๋นลั่วยิ้มหวาน ก่อนจะขยับไปกระซิบที่ข้างหูหลิวจวิ้นหวางเฟยเบาๆ

หลิวจวิ้นหวางเฟยเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความไม่สบายใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเหลียนฟางโจว

อวิ๋นลั่วโน้มตัวไปกระซิบเพิ่มอีกครู่หนึ่งที่ข้างหูพระชายา

หลิวจวิ้นหวางเฟยครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะพยักหน้าและพูดว่า “ตกลง!”

“ขอบพระทัยพระชายาเพคะ!” อวิ๋นลั่วยิ้มอย่างพอใจ แล้วกล่าวต่อว่า “เรื่องนี้ง่ายมาก สำหรับสถานที่อย่างจุ้ยหงโหลวย่อมต้องมีสถานที่เฉพาะที่ใช้กักตัวหญิงสาวที่ดื้อรั้นและไม่เชื่อฟัง โดยมีคนคอย ‘ฝึกปรือ’ พวกนางอยู่ ถ้าเราตามรอยคนที่รับหน้าที่นั้นไป ก็ย่อมเจอแน่นอนเพคะ!”

เหลียนฟางโจวและคนอื่นๆ ต่างอึ้งไปชั่วครู่

“ตัวคนที่รับหน้าที่นั้นอาจพอจะสืบหาได้ไม่ยาก แต่การสะกดรอยตามคนพวกนั้น...” เหลียนฟางโจวกล่าวด้วยน้ำเสียงลังเล “ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!”

หลิวจวิ้นหวางเฟยนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะหันไปจ้องหลิวจวิ้นอ๋องด้วยสายตาเอาเรื่อง!

หลิวจวิ้นอ๋องถูกจ้องจนรู้สึกขนลุก เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว ก่อนพูดตะกุกตะกัก “เจ้าจ้องข้าทำไม เจินเจิน? ข้า... ข้าไม่ได้ไปจุ้ยหงโหลวมานานมากแล้วนะ...”

อดีตที่เคยสว่างไสวของเขา ช่างเป็นบาดแผลที่รับมือได้ยากเสียจริง!

“งั้นท่านก็ไปเดี๋ยวนี้เลย!” หลิวจวิ้นหวางเฟยพูดเสียงหนักแน่นด้วยความเด็ดขาด

“สามี ท่านไปสักครั้งเถอะนะ? ข้าจะให้องค์รักษ์ลับสองคนตามไปด้วย ท่านชี้ให้พวกเขาดูว่าใครคือคนที่คุมเรื่องฝึกสอนหญิงสาวเหล่านั้น—ท่านอย่าบอกเชียวนะว่าไม่รู้ว่าเป็นใคร! ขอแค่ช่วยหงอิงออกมาได้ ข้าจะไม่ถือโทษท่าน... แต่ท่านต้องไม่ทำเกินไปนะ!”

หลิวจวิ้นอ๋องถึงกับอ้าปากค้างเหมือนถูกสะกด นี่มันเรื่องอะไรกัน!

เขาไม่อยากไปเลยจริงๆ และยังไม่ทันได้ไป นางก็หึงเสียแล้ว ถ้าไปกลับมาอีกจะไม่โดนรวบยอดคิดบัญชีหมดเลยหรือ?

อวิ๋นลั่วหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน ก่อนพูดขึ้น “ความจริงไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้นก็ได้ ถ้าท่านอ๋องทรงไม่อยากไป ก็ไม่ต้องไป เพียงแค่หาว่าใครเป็นคนคุมเรื่องฝึกสอนหญิงสาวก็พอเพคะ”

พูดจบ นางหยิบถุงยาผงเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ พร้อมกล่าวว่า “ให้คนสองคนแอบเข้าไปข้างในแล้วโรยผงนี้ใส่ตัวนาง ไม่ว่านางจะไปที่ไหน ข้าก็ตามกลิ่นหาเจอได้แน่นอน!”

หลิวจวิ้นอ๋องรีบสนับสนุนทันที “ใช่ ใช่! คนที่รับหน้าที่นั้นข้าจำได้ว่าเป็น ‘ฮวาต้าเหนียง’ นางเป็นคนดูแลหญิงสาวที่ถูกพาตัวกลับไป ข้าจะวาดรูปนางให้เอง!”

พูดจบ หลิวจวิ้นอ๋องก็รีบหลบฉากไปอย่างรวดเร็ว หลิวจวิ้นหวางเฟยได้แต่ส่งเสียง “ฮึ!” อย่างไม่พอใจ แต่ยังไม่มีโอกาสระเบิดอารมณ์ใส่เขาในตอนนี้

เหลียนฟางโจวดึงมือหลิวจวิ้นหวางเฟยและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ตอนนี้รู้สึกสบายใจขึ้นหน่อยหรือยัง? พวกเรามาช่วยกันคิดหาวิธีที่รอบคอบที่สุดเถอะ และพระองค์อย่าทรงจับผิดเรื่องท่านอ๋องอีกเลย ตอนนี้เขาก็อยู่ในสายตาพระองค์เพียงคนเดียวแล้วไม่ใช่หรือ?”

หลิวจวิ้นหวางเฟยพยักหน้าและยิ้มพลางถอนหายใจ “ใช่แล้วล่ะ คนเรามันก็ไม่มีความพอดี ข้านี่โง่จริงๆ ที่มัวแต่หึงเรื่องอดีตของเขา! เอาเถอะ ไม่พูดถึงมันแล้วล่ะ พูดไปก็คงไม่จบในสองสามวัน...”

ไม่นานหลิวจวิ้นอ๋องก็กลับมาพร้อมภาพวาด เป็นภาพหญิงวัยสี่สิบปีเศษ ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยม ตาเล็กเรียวลักษณะสามเหลี่ยม คิ้วยาวบาง ริมฝีปากบาง และรูปร่างค่อนข้างอวบ ทั้งหมดให้ความรู้สึกว่าเป็นคนไม่น่าไว้วางใจ

หลิวจวิ้นหวางเฟยเพียงมองภาพแวบเดียวก็แสดงความรังเกียจ “ยายเฒ่าคนนี้ดูน่ารังเกียจจริงๆ!”

เหลียนฟางโจวคิดในใจ ผู้หญิงที่ทำงานในสถานที่แบบนั้น จะหวังให้ดูมีน้ำใจหรืออ่อนโยนได้อย่างไร? นางจึงกล่าวว่า “น้องสาวเตรียมคนไว้ให้พร้อม คืนนี้เราจะให้คนแอบเอาผงยานี้ไปโรยใส่นาง!”

อวิ๋นลั่วที่พูดด้วยความมั่นใจว่า ผงยานี้จะได้ผลแน่นอน ทำให้เหลียนฟางโจวครุ่นคิดถึงที่มาที่ไปของอวิ๋นลั่ว นางจึงเลือกที่จะเชื่อมั่นในตัวอวิ๋นลั่ว

เมื่อหลิวจวิ้นหวางเฟยเห็นว่าเหลียนฟางโจวเชื่อ นางก็พลอยเชื่อมั่นไปด้วย

หลิวจวิ้นอ๋องที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการถูกขุดคุ้ยเรื่องในอดีต เลือกที่จะเงียบ ไม่พูดอะไรเพิ่มเติม

ส่วนจิ่งหมอมอและจื่ออิงที่อยากแสดงความคิดเห็น ก็ได้แต่เก็บงำความคิดไว้ เพราะสถานะของพวกนางไม่เหมาะที่จะออกความเห็น

แผนการในคืนนี้จึงตกลงกันตามนี้

อวิ๋นลั่วรีบพูดขึ้นทันที “ข้าจะไปด้วย! ข้าจะไปด้วย!”

เมื่อเห็นทุกคนมองมาที่นาง นางก็ยื่นปากยื่นจมูกอย่างขัดใจ ก่อนจะพูดว่า“กลิ่นของผงยานี้มีแค่ข้าคนเดียวที่รู้ หากข้าไม่ไปด้วย จะทำความคุ้นเคยกับสถานที่และสภาพแวดล้อมได้อย่างไร? พรุ่งนี้จะตามหาสถานที่ได้อย่างไรล่ะ?”

เหลียนฟางโจวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นด้วย แต่ก็ยังแสดงความกังวล

“ที่แบบนั้นมีพวกนักเลงมือหนักอยู่เต็มไปหมด คนพวกนั้นลงมือไม่ปรานีใคร เจ้า... แน่ใจหรือว่าจะไปไหว?”

อวิ๋นลั่วแค่นหัวเราะหยัน ก่อนตอบกลับด้วยรอยยิ้มมั่นใจ “ข้ารู้ว่าพี่สาวเป็นห่วง แต่พี่สาววางใจได้เลย คนพวกนั้น ข้าไม่เห็นอยู่ในสายตาหรอก! หากพวกมันกล้ารบกวนข้าจริงๆ ก็ให้พวกมันได้ลองลิ้มรสยาพิษของข้าสักหน่อยเป็นไร!”

เหลียนฟางโจวจึงยอมตกลง และกำชับนางไปว่า “ระวังตัวด้วย!”

คืนนั้น อวิ๋นลั่วเปลี่ยนเป็นชุดสำหรับออกปฏิบัติการในยามค่ำคืน จากนั้นออกเดินทางพร้อมกับองครักษ์ฝีมือเยี่ยมสองคนที่หลิวจวิ้นหวางเฟยคัดเลือกมาโดยเฉพาะ

ทั้งสามคนเคลื่อนตัวราวนกนางแอ่น ลอบเข้าไปยังสวนด้านหลังของจุ้ยหงโหลว อย่างไร้เสียง

ตามข้อมูลที่ได้มา พวกเขาไปถึงห้องนอนของฮวาต้าเหนียง อวิ๋นลั่วโรยผงยาลงบนผ้าห่ม ผ้าคลุมเตียง และหมอนของฮวาต้าเหนียงอย่างระมัดระวัง นางเป่าผงยาให้กระจายเนียนไปกับพื้นผิว เมื่อเห็นว่าไม่มีร่องรอยหลงเหลือ ก็ส่งสัญญาณยิ้มๆ ให้ทั้งสองคน ก่อนที่ทั้งสามจะลอบออกมาอย่างเงียบเชียบ

เดิมทีองครักษ์สองคนยังดูแคลนอวิ๋นลั่วอยู่ไม่น้อย เพราะเห็นนางตัวเล็กแขนขาเหมือนเด็ก แต่เมื่อได้เห็นวิชาตัวเบาของอวิ๋นลั่วที่เหนือกว่าพวกเขา กลับทำให้ความคิดนั้นหายไปหมดสิ้น ทั้งสองจึงยอมทำตามแผนของอวิ๋นลั่วโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

เมื่อกลับถึงตำหนักหลิวจวิ้นอ๋อง

หลิวจวิ้นหวางเฟยถามด้วยความกังวล “เป็นอย่างไรบ้าง? ทุกอย่างราบรื่นดีใช่ไหม?”

อวิ๋นลั่วยิ้มอย่างอารมณ์ดีและตอบว่า “วางพระทัยเถิดเพคะ! พรุ่งนี้ถ้าฮวาต้าเหนียงไปจัดการสั่งสอนใคร หม่อมฉันก็จะตามหาที่ซ่อนนั้นจนเจอเอง! แต่ว่า... พรุ่งนี้นางจะขี้เกียจไม่ไปหรือเปล่านะ?”

“ไม่มีทาง!” หลิวจวิ้นหวางเฟยตอบด้วยเสียงเย็นชา “ถ้านางไม่ทำงาน แล้วแม่เล้าจะเลี้ยงดูนางไว้ให้เสียข้าวสุกหรือ? ข้าล่ะเกลียดยายเฒ่าคนนี้เสียจริงๆ รอให้หมดประโยชน์แล้ว ค่อยจัดการให้นางได้รับบทเรียน!”

อวิ๋นลั่วหัวเราะเบาๆ ก่อนพูด “เรื่องนั้นง่ายจะตายเพคะ! พรุ่งนี้ให้หม่อมฉันจัดยาให้นางเพิ่มอีกดีไหม? เอาแบบไหนดีล่ะ? ให้ใบหน้าเสียโฉม หรือให้คันทั้งตัวจนผิวหนังเปื่อยยุ่ยดี? หรือจะเป็นยาที่ทำให้นอนไม่หลับ เกิดอาการประสาทหลอน คลุ้มคลั่ง ปวดหัว เป็นตะคริว หรือปวดตามข้อดีล่ะ? แม้แต่ยาที่จะทำให้นางกลายเป็นแอ่งน้ำหนอง หม่อมฉันก็มีนะเพคะ!”

อวิ๋นลั่วพูดด้วยท่าทางภูมิใจในตัวเอง

หลิวจวิ้นหวางเฟยถึงกับอึ้ง นางรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว ก่อนจะมองอวิ๋นลั่วด้วยสายตาตกตะลึงและพึมพำ “เจ้า... เจ้าเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่ง เจ้าไปหายาพิสดารแบบนี้มาจากที่ไหนกัน?”

สำหรับหลิวจวิ้นหวางเฟยที่เติบโตในราชวงศ์ ท่ามกลางการเลี้ยงดูอย่างประณีตและได้รับการปกป้องมาตลอดชีวิต นางไม่เคยได้ยินอะไรที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อน

อวิ๋นลั่วหัวเราะคิกคักและตอบ “ท่านปู่ท่านย่า พี่ชายพี่สาว ลุงป้าน้าอา รวมถึงสะใภ้ในตระกูลต่างก็ให้หม่อมฉันมาไงเล่าเพคะ!”

“...”

หลิวจวิ้นหวางเฟยรู้สึกเหงื่อเริ่มผุดเต็มหน้าผาก พลางพูดพึมพำ “ข้าไม่รู้เลยว่าตัวเองตัดสินใจผิดหรือถูก ที่ดันไปตกลงอะไรกับเจ้าคนนี้...”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

2 ความคิดเห็น:

  1. น้องมาช่วยสร้างสีสันให้นิยายตื่นเต้นเพิ่มขึ้น ขอบคุณคะ

    ตอบลบ
  2. สนุกมากค่ะ รอติดตามตอนต่อไปนะคะ และขอบคุณมากค่ะ

    ตอบลบ