วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 1132 ความกังวลในวันพรุ่งนี้

 

บทที่ 1132 ความกังวลในวันพรุ่งนี้

 

สวีอี้หยุนร้องไห้เบาๆ อย่างขมขื่น น้ำตาที่ไหลออกมาราวกับหัวใจถูกฉีกขาดเป็นเสี่ยงๆ นางเคยคิดว่านางจะไม่มีวันรักใครอีก และไม่กล้าที่จะรักอีกแล้ว แต่ความอ่อนโยน ลึกซึ้ง และความเอาใจใส่ของชายผู้นี้ได้ทำให้นางตกหลุมรักอย่างลึกซึ้งไปนานแล้ว เพียงแต่นางไม่เคยรู้ตัว

หรือบางที...นางอาจไม่อยากคิดถึงมันเลย

จนถึงวันนี้ บางทีอาจเพราะหลังจากวันนี้ ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะวันนี้อาจเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่นางจะสามารถสลัดทิ้งทุกความกังวล และไม่ต้องลังเลอะไรอีกแล้ว

นางไม่ใช่คนโง่ ความผิดปกติของหรงซื่อจื่อ  ทำให้นางเกิดความสงสัยในใจมานาน และในที่สุดก็แปรเปลี่ยนเป็นความระแวดระวัง

ตั้งแต่แยกจากกันไป เขาก็ไม่เคยกลับมาหานางอีก นางถูกพ่อแม่บังคับควบคุม และรู้ดีว่าระหว่างนางกับเขาจะไม่มีอนาคตอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่เคยคิดว่าเขาจะมาสนใจใยดีนางขึ้นมาอีกครั้งอย่างกะทันหัน

ท่าทีของเขาช่างเร่งร้อนเกินไป ร้อนรนจนดูไม่จริงใจ ทำให้นางไม่อาจละเว้นความคิดมากไปได้

เมื่อนางคิดไตร่ตรองไปมา แม้นางไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ต้องยอมรับความจริง

 

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่นางแต่งงานแล้ว เขากลับตามรังควานนางอย่างไม่สนใจสิ่งใด หากจะบอกว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขารักนางจริงๆ คำพูดนั้นก็ฟังดูไม่น่าเชื่อเลยสักนิด

หากเขารักนางจริง เวลานี้เขาก็ไม่ควรมาเจอนางอีก และจะไม่มีวันพยายามประจบหรือส่งความรู้สึกให้นางครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่รู้หรือว่า ชื่อเสียงเกียรติยศ สำคัญเพียงใดสำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง? หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไป นางจะไม่มีทางรอดชีวิตได้เลย!

เมื่อเปรียบเทียบท่าทีของเหลียนเจ๋อกับเขาในการปฏิบัติต่อนาง นางยิ่งตระหนักได้ชัดเจนว่า สิ่งที่เขามีต่อนางไม่ใช่ความรักอย่างแน่นอน

เช่นนั้น ก็ย่อมต้องมีจุดประสงค์อื่น

และจุดประสงค์นี้ยังต้องไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หากไม่เช่นนั้น เขาคงไม่ตามตื๊อนางอย่างไม่ลดละเช่นนี้

สวีอี้หยุนรู้สึกหนาวสะท้านในใจ เขาต้องการอะไรกันแน่!

นางคิดซ้ำไปซ้ำมาแต่ก็นึกไม่ออก แต่ในใจกลับมีลางสังหรณ์บางอย่างว่า จุดประสงค์นี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา และเขาคงไม่มีวันปล่อยนางไปง่ายๆ อย่างแน่นอน

พรุ่งนี้เมื่อพบเขา จะเกิดอะไรขึ้น นางไม่อาจคาดเดาได้

ถ้าหากนางพูดเหตุผลกับเขาไม่รู้เรื่องล่ะ? หากเขายืนกรานจะตามรังควานไม่เลิกล่ะ? แล้วนางจะทำเช่นไรได้?

ข้อแรก นางไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ข้อที่สอง หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผย นางจะเหลือเพียงหนทางเดียวคือตายอย่างไร้เกียรติและชื่อเสียง

หากเป็นเช่นนั้นจริง นางยอมตายเสียตั้งแต่พรุ่งนี้ยังดีกว่า...

บางที พรุ่งนี้...นางอาจไม่มีวันได้กลับมาอีก!

น้ำตาของสวีอี้หยุนไหลพรั่งพรูลงมาเป็นสาย เมื่อคิดถึงเหลียนเจ๋อ ในวินาทีนั้นเองที่นางเพิ่งเข้าใจว่าผู้ชายคนนี้มีความสำคัญต่อหัวใจของนางมากเพียงใด และนางไม่อยากจากเขาไปเลย! นางไม่อยากจากความอ่อนโยนและความลึกซึ้งที่เขามอบให้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่นางเฝ้าตามหามาตลอดหรอกหรือ?

แต่ว่า ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว สายเกินกว่าที่จะแก้ไขได้...ไม่ใช่หรือ?

นางอยากจะมอบตัวเองให้กับเขาในคืนนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไป

ทำไปเพื่ออะไรเล่า?

ในเมื่อจะจากไป ก็ต้องจากไปให้สะอาดหมดจด ไม่เหลือสิ่งใดเกี่ยวพันระหว่างกัน เพื่อที่ในอนาคต เมื่อข้าจากไป เขาจะได้เจ็บปวดน้อยลง เมื่อเขาแต่งงานใหม่ มีลูกมีหลาน ใช้ชีวิตผ่านไปนานวันเข้า เขาย่อมจะค่อยๆ ลืมข้าไป ลืมผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่เดิมก็ไม่ควรปรากฏในชีวิตของเขาอยู่แล้ว...

แต่ทำไมเพียงแค่คิดว่าเขาจะแต่งงานใหม่ มีลูกกับคนอื่น ใช้ชีวิตจนแก่เฒ่า เห็นดอกไม้ผลิบานและร่วงโรย ลิ้มรสชาติของชีวิต นางถึงรู้สึกเจ็บปวดในใจถึงเพียงนี้ น้ำตาไหลออกมาเป็นสายไม่หยุด ไหลผ่านแก้มจนเปียกเสื้อ และท่วมท้นหัวใจของนางจนหนักอึ้ง

สวีอี้หยุนร้องไห้ตลอดทั้งคืน จนกระทั่งใกล้รุ่งเช้า เมื่อความเหนื่อยล้าจากการร้องไห้เกินต้าน นางจึงค่อยๆ ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

เมื่อนางตื่นขึ้นมา เขาก็ออกไปข้างนอกแล้ว

ในใจรู้สึกโล่งขึ้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมีความว่างเปล่าอยู่บ้าง

ถ้าเขาอยู่ นางกลัวว่านางจะอดมองเขาอีกครั้งไม่ได้ ผู้ชายที่นางถูกลิขิตให้ต้องทำร้ายใจเขา และกลัวว่าตัวเองอาจเผลอแสดงพิรุธออกมา

แต่เมื่อเขาไม่อยู่ นางก็รู้สึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้มองเขาเป็นครั้งสุดท้าย แต่ในขณะเดียวกันก็โล่งใจ เพราะจะสามารถเดินหน้าต่อไปโดยไม่หันหลังกลับ

สวีอี้หยุนเขียนจดหมายฉบับหนึ่งฝากไว้กับหลู่หมอมอ พร้อมกำชับให้นางส่งจดหมายนั้นให้เหลียนเจ๋อในตอนเย็น ก่อนที่นางจะออกจากบ้านไปอย่างเงียบๆ

ที่หุบเขาแห่งหนึ่งชื่อซิ่งฮวากั่ง ห่างจากชานเมืองด้านเหนือของเมืองหลวงไปสิบลี้ ร่างของหรงซื่อจื่อที่แต่งกายมาอย่างประณีตกำลังยืนไพล่หลังอยู่ เขาแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย ชมทัศนียภาพของภูเขาเบื้องหน้า

เสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ ปลายชายเสื้อปลิวไสว มีหยกงดงามห้อยอยู่ที่เอว ผมสีดำสนิทราวน้ำตกไหลลงมาเป็นทาง ร่างกายของเขาสูงเพรียว ท่วงท่าดูสง่างาม เมื่อละสายตามองเขาท่ามกลางฉากหลังของภูเขา ก็ราวกับภาพวาดที่งดงามจนทำให้ผู้คนรู้สึกชื่นชม

สวีอี้หยุนยืนอยู่ห่างออกมา มองแผ่นหลังของหรงซื่อจื่อ ร่างกายยังคงเหมือนเดิม แต่ในใจของนางกลับไม่รู้สึกสะเทือนใจใดๆ เลยแม้แต่น้อย

ความรู้สึกปลื้มปิติที่เคยท่วมท้นในอกเมื่อแรกเห็นเขาในอดีต บัดนี้กลับไม่มีหลงเหลือแม้สักหยดเดียว

ในสายตาของนาง กลับปรากฏภาพของเหลียนเจ๋อ ภาพดวงตาคู่นั้นที่ลึกซึ้งและอ่อนโยน พร้อมกับรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความเข้าใจที่เขามอบให้นาง

หัวใจของสวีอี้หยุนเจ็บแปลบขึ้นมา นางพยายามเลิกคิดถึงมัน

นางถอนหายใจเบาๆ และอดไม่ได้ที่จะถามตัวเองในใจว่า "ในตอนนั้น ข้าหลงรักเขาได้อย่างไรกัน?"

บางที ในตอนนั้นนางอาจต้องการความอบอุ่นสักเล็กน้อย และต้องการเหตุผลบางอย่างที่จะทำให้นางยังคงผูกพันกับโลกใบนี้ต่อไป เขาในตอนนั้นปฏิบัติต่อนางอย่างอ่อนโยน เป็นมิตร และใส่ใจอย่างมาก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่นางไม่ได้รับอีกเลยตั้งแต่ท่านย่าของนางจากไป

แม้ว่าจะมีหลู่หมอมอและคนอื่นๆ อยู่ข้างกายนาง แต่ในท้ายที่สุด พวกเขาก็เป็นเพียงทาสรับใช้ และด้วยการกดขี่ของเมิ่งซื่อ แม้หลู่หมอมอและปิงเหมยจะปฏิบัติต่อนางอย่างสุภาพ แต่ก็ยังดูห่างเหินเพียงผิวเผิน แม้กระทั่งตอนที่เห็นสวีอี้เจินรังแกนาง พวกเขาก็ไม่กล้าเข้ามาช่วยปกป้องนาง ได้แต่ปลอบโยนลับหลังสองสามคำเท่านั้น นางจึงโหยหาและปรารถนาความอบอุ่นที่สามารถพึ่งพาได้ และความหวังที่นางจะสามารถตั้งตารอคอยได้อย่างมากมาย

นางคิดว่า หากในตอนนั้นผู้ที่นางพบไม่ใช่หรงซื่อจื่อ ต่อให้เป็นใครคนอื่น หากคนนั้นปฏิบัติต่อนางเช่นเดียวกัน นางก็คงหลงใหลในความผูกพันนั้น หลงรักเพราะความอาลัยอาวรณ์ และยึดติดจนไม่ยอมปล่อยมือใช่หรือไม่?

ดังนั้น ความรู้สึกของนางที่มีต่อหรงซื่อจื่อ แท้จริงแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย

แต่สิ่งนี้กลับแตกต่างจากสิ่งที่นางรู้สึกต่อเหลียนเจ๋ออย่างสิ้นเชิง

น้ำตาค่อยๆ เอ่อขึ้นจนล้นออกมาท่วมดวงตา ภาพทุกสิ่งเบื้องหน้าค่อยๆ เลือนรางและแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ

สวีอี้หยุนสะอื้นเบาๆ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจนหมด พร้อมกับพึมพำเบาๆ ว่า "ถ้า...ถ้าหากในตอนนั้นผู้ที่ข้าพบเป็นท่าน...มันจะดีสักแค่ไหน!"

นางสูดลมหายใจลึก รวบรวมสติอย่างแน่วแน่ ก่อนจะเช็ดร่องรอยน้ำตาที่เหลืออยู่บนใบหน้าให้สะอาด แล้วเดินอย่างสงบไปหาหรงซื่อจื่อ

"หรงซื่อจื่อ" สวีอี้หยุนยืนห่างจากเขาสามถึงสี่หมี่ แล้วเอ่ยเรียกเบาๆ

หรงซื่อจื่อค่อยๆ หันกลับมา ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนและลึกซึ้ง พร้อมรอยยิ้มอบอุ่นดุจแสงตะวัน เขาเอ่ยอย่างยินดีว่า "หยุนเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็มา!"

สวีอี้หยุนเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะถอยหลังไปเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว แล้วกล่าวว่า

"หรงซื่อจื่อ ท่านเรียกข้าว่าคุณหนูใหญ่สกุลสวี หรือฮูหยินสองเหลียนเถอะเจ้าค่ะ!"

หรงซื่อจื่อไม่ได้เรียกนางเช่นนั้น แต่เพียงแค่ดวงตาแฝงแววเจ็บปวดที่ผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ราวกับเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและหมดหนทาง

เขาจ้องมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน และพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า "หยุนเอ๋อร์ เจ้ายังคงโกรธข้าอยู่ใช่หรือไม่?"

"อย่าเรียกข้าแบบนั้น!" สวีอี้หยุนพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความโกรธและความหงุดหงิด ใบหน้าสวยสง่าของนางดูเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย เสียงของนางเย็นชาแฝงความห่างเหิน "ซื่อจื่อเรียกข้ามา มีธุระอันใดกันแน่?"

หรงซื่อจื่อเลิกคิ้วเล็กน้อย แม้ดวงตายังคงเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน แต่ในใจกลับรู้สึกสะดุดเล็กน้อย เขาลอบสังเกตนางอย่างละเอียด

จากท่าทีของสวีอี้หยุน เขาไม่เห็นร่องรอยของการเสแสร้ง ทุกคำพูดของนางดูเหมือนจะออกมาจากใจจริง

เป็นไปได้อย่างไร? หรือว่านางเปลี่ยนใจแล้ว? ไม่ชอบเขาอีกต่อไปแล้วหรือ?

นางเพิ่งจะแต่งงานออกไปได้ไม่นาน กลับไปชอบไอ้หนุ่มบ้านนอกคนนั้นแล้วหรือ? เมื่อคิดเช่นนี้ หรงซื่อจื่อก็ยิ่งรู้สึกโกรธขึ้นอีกหลายส่วน ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!

ผู้หญิงที่เคยชอบเขา ทำไมนางถึงสามารถเปลี่ยนใจไปชอบผู้ชายที่ไม่ว่าในด้านใดก็เทียบเขาไม่ได้เลย!

นี่มันคือการดูถูกเขาอย่างร้ายแรง!

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1 ความคิดเห็น:

  1. ตัวช่วยมาด่วนๆ ขอบคุณค่ะ รอลุ้นตอนต่อไป

    ตอบลบ