วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 1140 ความจริงเบื้องหลังการสลบไสล

 

บทที่ 1140 ความจริงเบื้องหลังการสลบไสล

 

หงอวี้มองเห็นใบหน้าของสวีอี้หยุนที่ซีดขาวและหม่นหมองในชั่วพริบตา ราวกับโดนกระแทกอย่างหนัก ความสะใจจึงแวบผ่านในใจของนาง ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่งว่า "ใช่แล้วเจ้าค่ะ นายท่านสองบอกมาแบบนี้จริง ๆ บ่าวไม่ได้เปลี่ยนแม้แต่คำเดียว"

"เป็นไปไม่ได้! ข้าจะไปถามนายท่านสองให้รู้เรื่อง!" ปิงลู่รีบร้อนพูดขึ้น

"ปิงลู่ น้องสาวลดเสียงลงหน่อยจะได้ไหม?" หงอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา "นายท่านสองเพิ่งจะเข้านอนเองนะ!"

ปิงลู่ใจเสีย รีบกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนลง "ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าแค่—"

"พอเถอะ ปิงลู่" สวีอี้หยุนรู้สึกปวดร้าวและขมขื่นในใจ เรียกปิงลู่ให้หยุด ก่อนจะฝืนยิ้มให้หงอวี้และกล่าวว่า "ขอบคุณพี่หงอวี้ที่ลำบากแล้ว ข้าจะกลับไปห้องของข้า หากเมื่อใดนายท่านสองต้องการพบข้า ขอพี่หงอวี้ช่วยบอกข้าด้วยเถิด ฝากด้วยนะ!"

หงอวี้ยิ้มตอบ "ฮูหยินสองช่างพูดเกินไปแล้ว บ่าวเป็นเพียงคนรับใช้ จะทำตามคำสั่งของนายเท่านั้น หากนายท่านสองต้องการพบฮูหยินสอง บ่าวไหนเลยจะกล้าไม่แจ้งให้ทราบได้เจ้าคะ?"

สวีอี้หยุนฝืนยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะพาหลู่หมอมอและคนอื่น ๆ ออกไปจากที่นั่น

หลังจากเหลียนเจ๋อกลับมา เขาได้พักรักษาตัวในห้องปีกซ้ายของเรือนใหญ่ ห้องขนาดสองห้องติดกัน มีสามช่องหน้าต่าง ไม่กว้างขวางนักแต่ก็ไม่แคบจนเกินไป ระยะทางจากห้องใหญ่ไปยังห้องปีกซ้ายก็เพียงยี่สิบก้าวเท่านั้นเอง

เมื่อกลับมาถึงห้องนอน หลู่หมอมอก็อดไม่ได้ที่จะปลอบว่า "ฮูหยินสอง โปรดอย่าเสียใจเลยนะเจ้าคะ นายท่านสองคงเพียงไม่อยากให้ท่านเหนื่อยนัก รอสักสองสามวัน เขาคงจะมาพบท่านเองแน่ ๆ!"

สวีอี้หยุนฝืนยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า "แม่นม ท่านไม่จำเป็นต้องปลอบข้าหรอก ข้ากับนายท่านสองรู้จักกันไม่นานนัก อุปนิสัยของเขาเป็นอย่างไรข้าก็พอเข้าใจอยู่บ้าง เขาคงไม่…"

คืนนั้น สวีอี้หยุนนอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาทั้งคืน ทั้งในฝันและเมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกไม่สงบ

นางเคยคิดว่าตัวเองเหนื่อยล้าจนหลับไปทันทีที่หัวถึงหมอน แต่ความจริงกลับไม่ใช่ ยิ่งรู้สึกอ่อนล้า ก็ยิ่งไม่อาจข่มตาหลับลงได้

สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวของนางมากที่สุดคือคำถาม

"ระหว่างข้ากับเขา...ยังมีอนาคตอีกหรือไม่?"

หากชีวิตนี้ไม่มีเขาอีกต่อไป เช่นนั้นนางจะเป็นเช่นไร...

ทันใดนั้น นางก็สะท้านขึ้นมาอย่างฉับพลัน ความหวาดกลัวแผ่ซ่านจากส่วนลึกในจิตใจจนไม่กล้าคิดต่อไปอีก

เวลาผ่านไปเพียงพริบตา สามวันก็ล่วงเลยออกไป เถ้าแก่เฟิ่งเข้าพบเหลียนเจ๋อแล้วกล่าวว่า "เรื่องร้านค้าและที่ดินของตระกูลหรงยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก ทว่า...เกิดเรื่องกับหรงซื่อจื่อแล้วขอรับ"

เมื่อเห็นสายตาของเหลียนเจ๋อเปลี่ยนเป็นคมกริบและมองมาที่เขา เถ้าแก่เฟิ่งจึงรีบกล่าวต่อ "ได้ยินมาว่าหรงซื่อจื่อไปปีนเขาชมทิวทัศน์เมื่อไม่กี่วันก่อน แล้วพลัดตกลงมาจากยอดเขา ศีรษะได้รับบาดเจ็บหนัก จนบัดนี้ยังไม่ฟื้นเลยขอรับ! ในตอนนี้จวนซิ่นหยางโหววุ่นวายกันไปหมด โดยเฉพาะฮูหยินท่านโหวร้องไห้แทบขาดใจ ท่านหมอเซวที่เพิ่งออกจากเรือนของนายท่านสองก็ถูกจวนซิ่นหยางโหวร้องขอแทบตายให้ไปช่วยตรวจอาการแล้วขอรับ!"

เถ้าแก่เฟิ่งพูดไปก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองเหลียนเจ๋ออีกครั้ง ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยว่านายท่านสองได้รับบาดเจ็บมาได้อย่างไร?

"เจ้าว่าศีรษะของเขาได้รับบาดเจ็บ จนถึงตอนนี้ยังไม่ฟื้นตัวรึ?" เหลียนเจ๋อถึงกับชะงักไปชั่วครู่ ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป

"ใช่แล้วขอรับ" เถ้าแก่เฟิ่งพยักหน้ากล่าวต่อ

"หมอเทวดาเซวตรวจดูแล้วก็ยืนยันว่าไม่มีวิธีรักษา บอกว่าศีรษะด้านหลังของหรงซื่อจื่อได้รับการกระแทกจนมีเลือดคั่งในสมอง วิธีเดียวคือต้องรอให้เลือดคั่งนั้นสลายไปเองและฟื้นขึ้นมาอย่างธรรมชาติเท่านั้น ไม่มีทางอื่นเลย! ได้ยินว่าฮูหยินท่านโหวถึงกับเป็นลมหมดสติทันทีที่ได้ฟังคำพูดนี้…"

เหลียนเจ๋อหัวเราะเย็น ๆ ออกมาเล็กน้อย ในใจรู้สึกทั้งสมใจและผิดหวังปะปนกัน "ถึงกับสลบไสลไปเลยหรือ? นี่มันช่างง่ายดายสำหรับเขาเกินไปจริง ๆ!"

เขาจึงกล่าวว่า "สั่งคนให้จับตาดูเขาไว้ หากเขาฟื้นขึ้นมาเมื่อใด ให้รีบมารายงานทันที จำไว้ให้ดี ต้องเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด! และคอยสังเกตด้วยว่ามีใครแวะเวียนมาเยี่ยมเขาบ้าง"

เถ้าแก่เฟิ่งพยักหน้ารับคำแล้วก็จากไป

คำพูดของหมอเทวดาเซว ย่อมไม่มีใครกล้าสงสัย เพราะสมองเป็นอวัยวะที่ซับซ้อนที่สุด ไม่ว่าจะในยุคโบราณหรือแม้กระทั่งยุคปัจจุบัน หากคนปกติกล่าวอ้างว่าปวดศีรษะหรือสมองเจ็บ แม้แต่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ล้ำสมัยที่สุดก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคนผู้นั้นโกหกหรือไม่

เมื่อหมอเทวดาเซวเห็นว่าหรงซื่อจื่อหมดสติไม่ฟื้น และตรวจดูบาดแผลที่ด้านหลังศีรษะของเขา ก็ทำได้เพียงสรุปเช่นนั้น

แต่เหลียนเจ๋อไม่เคยคาดคิดเลยว่า ความจริงแล้วหรงซื่อจื่อไม่ได้หมดสติเลย แต่กำลังแกล้งทำอยู่ต่างหาก!

ในเหตุการณ์นั้น อีกฝ่ายกับซือซือกลิ้งตกลงมาจากเนินเขา ทั้งสองตกลงไปยังคนละจุดกัน บริเวณเชิงเขานั้นเต็มไปด้วยหญ้ารกชัฏที่สูงท่วมหัว สวีอี้หยุนจึงไม่ได้พูดถึงหรงซื่อจื่อ เพียงบอกว่าซือซือตกลงไป เมื่อคนของตระกูลเหลียนตามหาซือซือจนเจอ พวกเขาก็จากไป โดยไม่มีใครสนใจจะค้นหาอีกฝ่ายอีก

ขณะที่หรงซื่อจื่อตกลงมา เขาอยู่ในอาการหมดสติ แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาค่อนคืนแล้ว ด้วยความไม่มีทางเลือก เขาจึงต้องหลบอยู่ในพงหญ้ารกทึบในหุบเขาตลอดทั้งคืน รุ่งเช้าเขาถึงค่อยกลับเข้าเมืองอย่างเงียบ ๆ พร้อมเรียกคนสนิทมารับคำสั่ง จากนั้นจึงแสร้งทำเป็นหมดสติไม่ฟื้นตัวและกลับไปยังจวนซิ่นหยางโหว

เขาไม่อาจมั่นใจได้ว่าเหลียนเจ๋อเสียชีวิตแล้วหรือยัง แต่แน่ใจว่าสวีอี้หยุนยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นการแสร้งทำเป็นหมดสติในตอนนี้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อที่เขาจะได้เฝ้าดูทุกความเคลื่อนไหวอย่างเยือกเย็น

ในใจของเขาเต็มไปด้วยความแค้นต่อสวีอี้หยุน เขาสาบานว่า หากเหลียนเจ๋อตายไป และสวีอี้หยุนยังมีชีวิตอยู่ เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ตัวนางมา ไม่ว่านางจะยินยอมหรือเต็มไปด้วยความเคียดแค้นก็ไม่มีความแตกต่างสำหรับเขา!

แต่ถ้าหากว่า... หากว่าเหลียนเจ๋อไม่ได้ตายจริง ๆ ล่ะ? ความกังวลก็เริ่มก่อตัวในใจของหรงซื่อจื่อ หากเหลียนเจ๋อยังมีชีวิตอยู่ เขาย่อมไม่มีทางปล่อยตนเองไปแน่ ๆ แต่เมื่อได้ยินข่าวว่าตนหมดสติไม่ฟื้น อาจทำให้เหลียนเจ๋อต้องยอมปล่อยเรื่องไปก็ได้!

เขาไม่ได้คิดว่าตนเองจะสู้เหลียนเจ๋อไม่ได้ แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นพวกคนหยาบคายที่เอาแต่ใช้กำลังและข่มขู่ หากตนต้องเผชิญหน้ากับเขา ก็คงไม่คุ้มค่า! ถ้าเกิดถูกฟันจนตายด้วยน้ำมือของเหลียนเจ๋อ จะไม่เป็นการตายที่น่าเวทนาเกินไปหรือ?

หรงซื่อจื่อยังคงรู้สึกงุนงงในใจ ว่าทำไมเหลียนเจ๋อถึงปรากฏตัวขึ้นมาได้ ทั้งที่การนัดพบระหว่างเขากับสวีอี้หยุนกำลังเป็นไปอย่างราบรื่น

เขาไม่เคยคิดที่จะเผชิญหน้ากับเหลียนเจ๋อ และยิ่งไม่เคยคิดจะฆ่าเหลียนเจ๋อเสียด้วยซ้ำ เหลียนเจ๋อไม่ใช่หรือที่รักใคร่สวีอี้หยุนอย่างมาก? สิ่งที่เขาต้องการก็แค่ใช้สวีอี้หยุนเป็นทางผ่านเพื่อเข้าถึงทรัพย์สินของตระกูลเหลียนเท่านั้น! การฆ่าเหลียนเจ๋อจะมีประโยชน์อะไร? หากเหลียนเจ๋อยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังสามารถหาเงินมาให้เขาได้อยู่ดี!

แต่ในเมื่อเผชิญหน้ากันแล้ว เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเสี่ยงลงมือ...

ใครจะคาดคิดว่าจะมีผู้หญิงบ้าคนหนึ่งโผล่ออกมาจากไหนก็ไม่รู้ ราวกับหมาบ้ากระโจนกัดเขา แล้วยังมีสวีอี้หยุนที่เหมือนจะเสียสติไปอีกคน พยายามเอาชีวิตเข้าแลกกับเขา จนสุดท้ายเรื่องราวก็กลายเป็นแบบนี้!

หรงซื่อจื่อคิดไปคิดมาก็ต้องนึกถึงสวีอี้เจิน สถานที่และเวลานัดพบระหว่างเขากับสวีอี้หยุน มีเพียงสวีอี้เจินเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ นางเกลียดชังสวีอี้หยุนจนเข้ากระดูกดำ และเมื่อเหลียนเจ๋อพบว่าสวีอี้หยุนนัดพบกับตนเอง เหลียนเจ๋อย่อมต้องรังเกียจนางจนหมดสิ้น ซึ่งผลลัพธ์ที่สวีอี้หยุนจะต้องเผชิญย่อมเลวร้ายจนเกินจะจินตนาการ...

ความโกรธของหรงซื่อจื่อพุ่งทะลุขีดสุด เขาแทบอยากจะฉีกสวีอี้เจินเป็นชิ้น ๆ

"นังสารเลวคนนี้ กล้าคิดคดและทำลายแผนการของข้าได้อย่างไร!"

แต่ในตอนนี้ เขายังต้องแสร้งทำเป็นหมดสติอยู่ หรงซื่อจื่อจึงทำได้เพียงอดทนกล้ำกลืนความโกรธไว้ก่อน กระทั่งอีกสองถึงสามเดือนต่อมา เขาจึงวางแผนให้เกิด "อุบัติเหตุ" ขึ้น เมื่อก้อนหินใหญ่จากบนภูเขาจำลองกลิ้งลงมาอย่างเหมาะเจาะและบดขาของสวีอี้เจินจนหักทั้งสองข้าง นับแต่นั้นนางก็ต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนเตียงเท่านั้น!

อย่างไรก็ตาม หรงซื่อจื่อยังไม่ยอมปล่อยสวีอี้เจินไป แม้ในสภาพที่ต้องพิการเช่นนั้น ไม่นานหลังจากนั้น ข่าวร้ายจากจวนซิ่นหยางโหวก็มาถึงจวนสวีกั๋วกงว่า สวีอี๋เหนียงทนรับความจริงที่ต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างไม่ได้ จึงกลืนทองฆ่าตัวตาย!

ในเวลานั้น สวีกั๋วกงกำลังตกอยู่ในความอึดอัดใจและเจ็บปวดจากการทะเลาะกับเมิ่งซื่อ (ภรรยาใหญ่) ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เขาผู้ต้องการการปลอบประโลมและที่พักพิงใจจากความบอบช้ำทางอารมณ์ จึงรับอนุคนใหม่จากหอนางโลมเข้ามาในเรือน

เมิ่งซื่อโกรธแค้นจนสุดจะอดทน นางไม่เพียงไม่ยอมทนการยั่วยุและความระคายเคืองที่อนุคนใหม่สร้างขึ้น แต่ยังไม่อาจกล้ำกลืนความผิดหวังที่มีต่อสวีกั๋วกงอีกต่อไป ในเมื่อถึงจุดที่ไม่มีอะไรจะเสีย นางจึงตัดสินใจเด็ดขาดและใช้เล่ห์กลทำให้สวีกั๋วกงกลายเป็นอัมพาต ส่วนอนุคนใหม่ที่เขารับเข้ามานั้น เมิ่งซื่อก็จัดการขายกลับไปยังหอนางโลมที่เดิมอย่างไร้ความปรานี!

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ2 ธันวาคม 2568 เวลา 16:28

    กำลังสนุกเลยค่ะ รอติดตามตอนต่อไป
    ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ2 ธันวาคม 2568 เวลา 21:58

    รอดูจุดจบของพี่หรง คงจะไม่ต่างจากอี้เจิน สวีกั๋วกงก็เป็นผักไปแล้ว ขอบคุณคะ

    ตอบลบ