วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560

ภรรยาข้าผู้ร้ายกาจเจ้าเล่ห์ -บทที่ 22 ความลับของต่างหู

            วันถัดมา มู่หรงหยุนชูตื่นขึ้น  สิ่งที่แรกที่เห็นคือดวงตาที่บวมเป่งคล้ายเพิ่งผ่านการร้องไห้มา
            “คุณหนู ในที่สุดท่านก็ตื่นเสียที “ ลู่จีสาวใช้เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย
            “อืม” มู่หรงหยุนชูลุกขึ้นนั่ง  เห็นคุณชายนี่ดูคล้ายกับคนที่ตายไปแล้ว  ทำสีหน้าแปลกๆนั่งอยู่ไม่ไกลนัก  คล้ายกับว่าตัวเขามีเรื่องชอกช้ำขมขื่นกับนาง  “คุณชายนี่ไฉนจึงมีสภาพเช่นนี้..เป็นเพราะกินไม่อิ่ม หรือว่านอนไม่เต็มตาเล่า?  หญิงสาวถามเสียงแผ่วเบา
            “เฟิ่งหลิงเป็นอย่างไร  จะทำอันใด?”  ทุกๆคำที่ชายหนุ่มเอื้อนเอ่ย ล้วนลอดไรฟันออกมา
            “อ้าว..ท่านยังไม่ไปช่วยเหลือแม่นางเฟิ่งหลิงอีกรึ  มัวทำอันใดอยู่เล่า?”  มู่หรงหยุนชูขมวดคิ้วมุ่น  เห็นเขามีพฤติกรรมที่เพิกเฉยต่อน้องสาวของ สหายของประมุขพรรคว่าที่สามีในอนาคตของนางเช่นนี้  ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจนัก
            “ท่านไม่ได้เป็นผู้บอกเองหรือว่า  เรื่องทุกเรื่องให้รอฟังคำสั่งจากท่านก่อน?!”  นี่ฉิงคำรามออกมา
            มู่หรงหยุนชูพลันเผยสีหน้านึกขึ้นได้ จึงรีบเอ่ยว่า  “นางยังอยู่ในห้องพัก
            “ห้องไหนเล่า?”
            มู่หรงหยุนชูปรายตามองเขา  ท่าทีเรื่อยเฉื่อยคล้ายว่าเพิกเฉย ไม่ใส่ใจจะตอบคำถามนี้   หนำซ้ำยังเริ่มทำท่าปลดอาภรณ์บนตัวให้สาวใช้ลู่จี  พลางออกคำสั่ง “เตรียมน้ำร้อนให้ข้าที  ข้าต้องการอาบน้ำและเปลี่ยนอาภรณ์
            นี่ฉิงได้ยินเช่นนั้นถึงกับกระดากอาย  ใบหน้าชายหนุ่มซับสีแดงระเรื่อ  สีหน้าบูดบึ้งลุกขึ้น เดินออกไป ปากก็พร่ำบนว่า ‘ช่างทำตัวไม่สมเป็นกุลสตรี’ เอาเสียเลย  และคำบ่นว่าอื่นๆอีกหลายคำ
            มู่หรงหยุนชูแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน   จัดการเกล้าผมเป็นมวยที่ดูคล้ายมวยผมของผู้หญิงที่ออกเรือนแล้ว   เสียบด้วยปิ่นปักผม  
            ลู่จีหันมามองนายหญิงของตน  โดยไร้ซึ่งคำพูดไดๆ  ไม่ใช่ว่าจะไม่มีผ้าโพกหัวให้ใช้เสียหน่อย  คุณหนูของนางมักเกล้ามวยผมแบบนี้เวลาอาบน้ำทุกครั้ง  ไหนว่าคุณหนูรังเกียจผู้หญิงที่ออกเรือนแล้วไง....
            ทว่ายามนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นรออยู่
            “คุณหนู ห่อสัมภาระของเราหายไปเจ้าค่ะ  และที่นี่เป็นดินแดนห่างไกล ซ้ำยังทุรกันดาร  ท่านจะไปหาซื้อเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ไดได้เล่า?”
            “เจ้าลองมองหาที่ใต้เตียงดูสิ”
            ลู่จีกระพริบตาอย่างงุนงง  ก้มตัวนอนราบคว่ำตามที่บอก  พลันร้องตะโกนออกมาอย่างประหลาดใจปนดีใจ “คุณหนูเจ้าคะ อยู่ใต้เตียงจริงๆด้วย!”
            “อืม  ไปเตรียมน้ำร้อนได้แล้ว
            ลู่จีหยิบห่อสัมภาระขึ้นมา แล้วหันหน้ามองกลับไปหาเจ้านายด้วยความสงสัยเป็นอันมาก  ท้ายที่สุดก็จำต้องกล้ำกลืนคำถามทั้งหมดลงคอไป  เก็บความสงสัยทั้งหลายไว้ในใจ  รีบเดินออกไปเพื่อไปเอาน้ำร้อน
     ***
            หลังจากผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม  มู่หรงหยุนชูผู้ซึ่งทำผมและล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว  สวมใส่อาภรณ์เป็นกระโปรงผ้าไหมสีขาวบริสุทธิ์  อันพาให้เลอะฝุ่นได้ง่าย  นวยนาดเดินลงมายังชั้นล่าง  บนศีรษะเกล้าผมเป็นมวยแบบหญิงสาวรุ่น  พร้อมกับปักปิ่นทองรูปหงส์  ผมซึ่งดำขลับปล่อยสยายดุจม่านน้ำตกทิ้งตัวไปทางด้านหลังอย่างพิถีพิถัน  ใบหน้ารูปไข่เนียนละเอียด  หาได้แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางใดๆไม่  กลายมาเป็นความอ่อนหวานสง่างามยากจะที่ผู้ใดจะทานทน   หญิงสาวค่อยๆเยื้องย่างทีละก้าวอย่างสง่างาม  คล้ายว่าหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนผู้งดงามปานนางสวรรค์ผู้นี้  กำลังพลัดหลงอยู่ในสถานที่อันวุ่นวายจอแจ
            เมื่อนางเดินตรงแน่วไปยังทิศทางของโต๊ะอาหารซึ่งนี่ฉิงและคนอื่นๆ นั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว   บรรดาผู้ที่มากินอาหารในโรงเตี๊ยม  ต่างพร้อมใจกันหันไปจับจ้องนางโดยพร้อมเพียงกัน
            “พี่มู่หรง  วันนี้ท่านช่างงดงามยิ่งนัก!” เฟิ่งหลิงกล่าวชม
            ลู่จีค้อมศีรษะราวกับกระเทียมถูกทุบหัว  นางบอกได้เลยว่า คุณหนูของนางช่างเหมาะกับชุดสีขาวบริสุทธิ์ยิ่งนัก
            ส่วนนี่ฉิงนั้น เอาแต่ก้มหน้าก้มตาจิบน้ำชา  ไม่มองภาพตรงหน้าแม้สักนิด
            “เจ้ายังมีเวลาอีกสองเค่อนะ”  ครั้นกล่าวจบมู่หรงหยุนชูจึงยกเท้า เยื้องย่างไปที่ประตูทางออก
            “คุณหนูจะไปไหน  ท่านไม่กินมื้อเช้าหรือเจ้าคะ?”
            มู่หรงหยุนชู เลิกคิ้วขึ้น ถามกลับ “เจ้าสามารถกินลงได้จริงๆรึ?”
            ลู่จีกระพริบตา  ไฉนจะไม่อาจกินลงได้เล่า?  พลันพอคิดถึงงูเมื่อวานขึ้นมา  ท้องไส้ก็เริ่มปั่นป่วนฉับพลัน  “ข้าก็กินไม่ลง”  ครานี้นางเริ่มเห็นหมั่นโถวตรงหน้าเป็นงูไปแล้ว....
            ส่วนนี่ฉิงลุกขึ้นยืนโดยพลัน  เป็นสัญญาณว่าเขาได้กินอิ่มเรียบร้อยแล้ว
            มีเพียงเฟิ่งหลิงเท่านั้นที่มีสีหน้าฉงนฉงาย  ยามนีัท้องของนางหิวโหยเป็นที่สุด  นางดันนอนหลับไปใต้เตียงเมื่อวาน  เลยทำให้พลาดอาหารมื้อเย็น  ตอนนี้นางหิวโซยิ่งนัก  การหาอาหารมาใส่ท้องย่อมเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด  “เฮ้ พวกท่าน ข้ายังไม่ได้เริ่มกินเลย  แถมพวกเรายังต้องนั่งรถม้าไปอีกนานเลยนะ  ก่อนอื่นมานั่งเป็นเพื่อนข้าก่อน ไว้รอข้ากินเสร็จแล้ว ค่อยเดินออกไปดีหรือไม่ พี่มู่หรง?”
            มู่หรงหยุนชูปรายตามองนาง “ข้าขอออกไปรอข้างนอกก็แล้วกัน “ นางได้กลิ่นอาหารโชยเข้าจมูกอีกครา  พาลให้กระเพาะนางเริ่มทำงานผิดปกติอีกแล้ว
            ลู่จีและนี่ฉิงเดินตามออกมาด้วย  ปล่อยให้เฟิ่งหลิงนั่งกินหมั่นโถวอย่างตั้งอกตั้งใจ พร้อมกับซดโจ๊กไปด้วยอยู่ผู้เดียว  มิหนำซ้ำนางยังกินด้วยความอะเร็ดอร่อยยิ่งนัก
            เมื่อคนทั้งสามออกมานอกประตู   คนขับรถม้าจึงรีบกุลีกุจอบังคับรถม้ามาเตรียมพร้อมรออยู่ที่ประตูทางเข้า  มู่หรงหยุนชูกำลังคิดว่าจะขึ้นไปนั่งบนรถม้า  พลันได้ยินเสียงลู่จีถามขึ้น “คุณหนู  เมื่อวาน งูพวกนั้น ท่านเป็นผู้เรียกมา ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
            “อืม”
            “ท่านมีความสามารถเช่นนั้นได้อย่างไร?”  ลู่จีคิดว่าเจ้านายของนาง ช่างเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเลิศล้ำยิ่งนัก  แม้แต่งูที่นายหญิงกลัวตั้งแต่ยังเด็กก็ยังเชื่อฟังนาง  ช่างน่ายกย่องสมเป็นประมุขของตระกูลมู่หรงอันทรงเกียรติจริงๆ
            เมื่อครั้งอดีต  มีคราหนึ่งข้าหวาดกลัวงูเป็นเวลาถึงสามวันสามคืน จนกินอะไรไม่ลง  ข้าจึงเริ่มหาวิธีตอบโต้  เพื่อกำราบพวกมัน"
            ลู่จีจึงนึกออกขึ้นมาทันที  เจ้านายของนางเมื่อตอนที่อายุได้สิบขวบปี  ทุกๆวันจะหอบหิ้วหนังสือประลาดกองหนึ่งหนีหายเข้าไปในป่าไผ่ที่ตั้งอยู่ด้านหลังเขา เป็นประจำทุกวัน  ภายหลังจึงใช้เงินจำนวนมาก  เพื่อจ้างคนมาประดิษฐ์พิณที่ไม่มีเสียงเปล่งออกมา 
            ทันใดนั้น ลู่จีจึงเข้าใจเรื่องราวอย่างถ่องแท้โดยฉับพลัน “พิณนั้น...ต่างหูนั้น...มีส่วนคล้ายกัน...”  นางคิดว่าพิณที่สร้างขึ้นดีดแล้วไม่มีเสียงเปล่งออกมา  แท้จริงแล้วไม่ใช่พิณนั้นดีดแล้วไม่มีเสียง  พิณนั้นสามารถส่งเสียงออกมาได้  เพียงแต่เสียงที่ออกมานั้น สั่นสะเทือนอย่างรวดเร็วจนหูมนุษย์ไม่สามารถได้ยินต่างหาก’   วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของนายหญิงก็คือสร้างพิณที่ –หูคนไม่ได้ยิน  ทว่าหูงูได้ยินนั่นเอง!
            สีหน้าของลู่จีราวกับถูกค้อนทุบและแสดงความประหวั่นพรั่นพรึงมากขึ้นเรื่อยๆ  คุณหนู...คุณหนูของนางทำให้ต่างหูที่สวมใส่เป็นอาวุธสังหารที่อันตรายร้ายแรง อย่างไม่น่าเชื่อ....
            “ดูท่าหัวสมองเจ้าคงจะทำงานหนักเสียแล้ว”  มู่หรงหยุนชูรู้สึกพึงพอใจมาก  ที่ไม่ต้องเสียเวลาอธิบาย  แท้จริงแล้วนางได้ศึกษาธรรมชาติของงูมาอย่างละเอียด  เพื่อทำให้นางมีอำนาจเหนืองูและทำให้งูทุกตัวเชื่อฟังและเคารพนางอย่างหมอบราบคาบแก้ว  สามวันที่นางต้องฝืนทนทุกข์ทรมานกับความรังเกียจขยะแขยงสัตว์เลื้อยคลานประเภทนี้  หลังจากสามวันนั้น  นางจึงหาคนมาทำต่างหู เพื่อเป็นเครื่องป้องกันตนเอง—และเพื่อปกป้องอันตรายจากงูอีกทางหนึ่ง  ต่างหูนี้ได้ช่วยชีวิตนางไปแล้วหนึ่งคราอย่างไม่คาดฝัน  อันที่จริงแล้วหากไม่ใช่เพราะเมื่อวานไม่มีทางเลือก  นางหาได้อยากใช้วิธีนี้ไม่  แม้ว่าตัวนางเองจะหลับตา และมองไม่เห็นภาพตรงหน้า  ทว่าแค่นึกถึงภาพงูเป็นฝูงก็ทำให้นางแทบเต้นเร่าด้วยความตกใจแล้ว  มิหนำซ้ำยังส่งผลให้นางต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคกระเพาะไปอีกหลายวัน
            “แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าแม่นางเฟิ่งหลิงอยู่ในห้องนอนของนางเล่า? “  คราแรกนี่ฉิงอยากถามเรื่องงูก่อน  ทว่าพอลู่จิงกล่าวถึงต่างหูและพิณ  ครั้นแล้วเขาจึงสังเกตุเห็นต่างหูรูปพิณที่หูของของนาง  จึงทำให้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด  เมื่อมองนางยามนี้แล้ว  ให้บังเกิดความหวาดหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมาแทน  จากนี้ไป จะหงุดหงิดอันใดก็หงุดหงิดไป  แต่อย่าได้ไปแหย่หญิงสาวแซ่มู่หรงผู้นี้ให้หงุดหงิดขึ้นมาเป็นอันขาด...
มู่หรงหยุนชูได้ยินประโยคคำถาม  จึงหันหน้ากลับไปมอง  พลันเห็นดวงตาลูกเกาลัดของเขาสั่นระริก  “คุณชายนี่..ท่านเป็นหวัดรึ?” นางถามขึ้นอย่างแปลกใจ
นี่ฉิงเอ่ยเสียงรอดไรฟัน “นิดหน่อย
ดวงตาหงส์ของมู่หรงหยุนชูเปลี่ยนไปเล็กน้อย  คล้ายยอมรับคำตอบนี้  ดังนั้นจึงเอ่ยว่า “เนื่องจากบุคคลที่สี่คนประหลาดแห่งเจียงโจวต้องการจัดการคือตัวข้า   พวกเขาคงไม่โง่งมมาลักพาตัวแม่นางเฟิ่งหลิงตั้งแต่คราแรก  เพื่อขู่ให้กลัวหรอก...”  พอกล่าวจบ ก็เห็นเพียงดวงตาลูกเกาลัดของนี่ฉิงสั่นไหว  มู่หรงหยุนชูพลันเข้าใจแล้วว่าเหตุไฉนสีหน้าของชายหนุ่มถึงได้ดูแปลกไปนัก  นางจึงเอื้อนเอ่ยต่อไป  “มิหนำซ้ำข้างนอกห้องของแม่นางเฟิ่งหลิงเป็นริมหน้าผ้า  ด้านข้างเป็นหุบเหวลึก  หากจะหาหนทางหลบหนี  หลังจากปล้นเสร็จคงไม่อาจกระโดดจากหน้าต่างเพื่อหลบหนีไปได้หรอก  และยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ที่จะอุ้มคนที่สลบเพื่อหลบหนีออกไปจากโรงเตี๊ยมทางประตูหน้า  เช่นนั้นเหตุผลที่เป็นไปได้สถานเดียวคือ  นางยังอยู่ในห้องพักของนางนั่นเอง”
“ทำเช่นนี้จะได้ประโยชน์อะไร  ไยฝ่ายตรงข้ามถึงได้ก่อกวนสร้างปัญหานักเล่า?”
ข้าเพิ่งบอกไปแล้วว่า  เพื่อข่มขู่ให้กลัว...”  มู่หรงหยุนชูพลันเห็นเขาตัวสั่นขึ้นอีกระลอก  ในที่สุดนางจึงอดกระซิบบอกเขาไม่ได้ “แต่ข้าไม่กลัวอะไรทั้งนั้น   อย่างเช่นจะจัดการชายผู้ยิ่งใหญ่กล้าหาญเช่นท่าน  ก็แค่ให้งูกัดซะ...”
ชายหนุ่มเริ่มตัวสั่นขึ้นมาอีกแล้ว
มู่หรงหยุนชูรู้สึกอารมณ์ดียิ่งนัก  เมื่อได้ข่มขู่เขาให้กลัวด้วยสายตาอันเยือกเย็นเหี้ยมเกรียม   ครั้นแล้วจึงเปลี่ยนท่าทีเป็นการเป็นงานขึ้นมา “ท่าทีของฝ่ายตรงข้ามที่ทำกับตัวเฟิ่งหลิง หรือห่อสัมภาระไม่ต่างกัน  เพียงเพื่อข่มขู่ให้กลัวเท่านั้น...คนพวกนี้  ย้ำเตือนให้ข้าฉุกคิดได้ว่า  ที่จริงสิ่งที่เกิดขึ้นนับเป็นเรื่องดีต่อข้า"
“ดังที่เจ้าบอกใช่หรือไม่ว่า ฝ่ายตรงข้ามคือ สหาย หาใช่ศัตรูไม่?”
มู่หรงหยุนชู เหลือบสายตาที่มีริ้วรอยความสงสัยจางๆ ไปที่โต๊ะๆหนึ่งในโรงเตี๊ยมอย่างไม่ตั้งใจ พลางเอ่ยว่า “ไม่อาจบอกได้
ระหว่างที่พวกเขาสนทนากัน  เฟิ่งหลิงเพิ่งอิ่มหนำสำราญกับอาหารและสุรามา  หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส พลางกระโดดผลุงออกมา “ไปกันได้แล้ว!
คนทั้งกลุ่มนั่งบนรถม้า  ที่ขับออกไปอย่างช้าๆ  มุ่งหน้าไปยังปลายทางถัดไปคือเมืองฉิงหยวน
ภายในโรงเตี๊ยม มีโต๊ะกลางตัวหนึ่งนั่งไว้โดยชายสามคนที่แต่งกายแบบคนในเมืองหลวง  หนึ่งในสามสวมรัดเกล้าทองแบบคนระดับเชื้อพระวงศ์  รูปลักษณ์ช่างน่าประทับใจนัก  มีเพียงตำหนิหนึ่งเดียว นั่นคือ แผลรอยบากจากคมมีดที่ไม่สั้นไม่ยาวตรงบริเวณแก้มซ้าย  ทำให้ใบหน้าที่เคร่งขรึมนั้นค่อนข้างดูน่ากลัว  บุคคลผู้นี้แท้จริงแล้วคือโอรสของท่านอ๋องฉู่จงเหลียง  ท่านอ๋องเสี่ยวเหลียง  มีนามว่าหัวเย่วหลี
“ฝ่าบาทช่างมีวิสัยทัศน์ดียิ่ง  มู่หรงหยุนชูเป็นหญิงสาวที่มีปัญญาปราดเปรื่องเป็นที่สุด  ทั้งยังกล้าหาญและมีไหวพริบเป็นเลิศ   หากสามารถนำนางมาใช้เพื่อประโยชน์ของฝ่าบาทได้  ก็ไม่ต้องหวั่นเกรงเรื่องใดๆแล้ว”
ดวงตาของหัวเย่วหลีวาบขึ้นดังแสงของคบไฟ  เพ่งมองไปยังทิศทางที่รถม้าที่เพิ่งจากไป  พลางเอ่ยว่า “หญิงสาวเช่นนาง  ต่อให้สิ้นไร้หนทาง  เกรงว่าอาจไม่ยอมรับคำสั่งใครได้”
            “ฝ่าบาทหมายความว่า...”
            หัวเย่วหลียังคงนิ่งอยู่ในท่าเดิม  ดวงตาทอดมองไปยังเบื้องหน้าไกลๆ
            “ฝ่าบาท อันที่จริงพระองค์อาจลองพิจารณาอภิเษกนางมาเป็นชายา  หากปล่อยให้นางแต่งเข้าไปในวังหลวง  เกรงว่านางอาจไม่สามารถให้ความช่วยเหลือใดๆกับพระองค์ได้?
            “ขนาดนางยังไม่อยากเป็นชายาขององค์รัชทายาท  ไฉนนางจะยอมมาเป็นชายาของข้าง่ายๆเล่าสีหน้าของหัวเย่วหลีดิ่งลง ดวงตาเรืองวาบ พลางเอ่ยขึ้น “มิหนำซ้ำการแย่งชิงสตรีกับฉู่ฉางเกออย่างโจ่งแจ้ง มีจุดจบเช่นใด  เจ้ายังไม่เคยเห็นรึองค์รัชทายาทยามนี้ไม่เพียงโดนทำร้ายโดยมารร้ายที่มีจิตใจดำมืดที่สุดแล้ว  ยังโดนพวกสมุนพรรคมารแอบจับตาดูอย่างใกล้ชิดด้วย  หากต้องการไกล้ชิดกับมู่หรงหยุนชูเพื่อหวังจะได้ขึ้นครองบังลังก์  คาดว่าคงทำได้ยากลำบากแล้ว”
            การกระทำของฉู่ฉางเกอ ช่วยพวกเขาได้มาก  ครานี้ชีวิตขององค์รัชทายาทตกอยู่ในความเสี่ยงแล้ว  ยามนี้มีขุนนางบางส่วนในราชสำนักเริ่มสนับสนุนองค์ชายอื่นๆ  เพื่อช่วงชิงอำนาจกับองค์รัชทายาทแล้ว
            “เขาเป็นโอรสของฮ่องเต้  คงจะไม่มีการเปลี่ยนไปแต่งตั้งผู้อื่นกระมัง? “  หัวเย่วหลีวางถ้วยชาลง ลุกยืนขึ้นพลางกล่าวว่า “ครานี้...กลับไปยังซี่ฉวนตอนกลางได้แล้ว”
            “จะไม่สะกดรอยตามมู่หรงหยุนชูแล้วหรือพะยะค่ะ?”
            “ทุกๆเมืองที่นางไป จะมีคนของพรรคมารคอยดูแลอยู่   บิดาของบุคคลผู้นั้นไม่อาจทำอันตรายนางได้หรอก” หัวเย่วหลีเดินออกไปข้างนอก พลางเอ่ยขึ้น “ยามนี้ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปก่อน  ครานี้ข้าเพียงแค่มายืนยันคุณค่าของนางเท่านั้น  หากนางพบปัญหาเดือดร้อน  แล้วยังไม่สามารถพาตัวเองให้รอดพ้นได้  ก็ไม่คู่ควรที่จะมายืนเคียงข้างกายข้า”
            **
            ในขณะเดียวกัน ที่ภาคตะวันตกอันเป็นพื้นที่รอบนอก เขตป่าแดนภูเขา ณ แผงขายน้ำชาแห่งหนึ่ง ฉู่ฉางเกอกำลังนั่งจิบชาอย่างผ่อนคลายไร้กังวล   นี่เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะได้รับรายงานข่าวทั้งหลายจากผู้คุมกฏทิศทั้งสี่
            “ไม่เคยเห็นสี่คนประหลาดแห่งเจียงโจวเปิดตัวต่อสาธารณชนสักครา  ข่าวที่ว่าในวันที่ที่ 15 เดือน 8 ท่านจะพักอยู่ในโรงเตี๊ยมยุทธจักร  ได้แพร่สะพัดไปทั่วโลกยุทธภพแล้ว”
            ฉู่ฉางเกอเลิกคิ้วขึ้น  ถามอย่างไม่ใส่ใจนัก “ข่าวนี้รึ?”
            “ท่านประมุข ศัตรูของท่านมีเป็นอันมาก” ผู้คุมกฏทิศบูรพาเตือนด้วยความหวังดี
            “ทว่ามีน้อยคนนักที่หาญกล้าเข้าพักในโรงเตี๊ยมยุทธจักร”
            “พวกเขาอาจเตรียมซุ่มรอโจมตีอยู่ข้างนอกก็เป็นได้”
            “นั่นยิ่งดีไปใหญ่” ฉู่ฉางเกอหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง  ใบหน้าที่หล่อเหลาเนียนละเอียดดังภาพวาด เผยให้เห็นรอยยิ้มที่อบอุ่นอย่างถึงที่สุด พลางเอ่ยว่า “จะได้ขุดหลุมฝังพวกมันให้หมด”
            เรื่องขุดหลุมคืองานของเรา  ผู้คุมกฏทั้งสี่คนต่างกระซิบกับตนเองในใจ
            หลังจากเงียบกันไปสักพัก  ผู้คุมกฏทิศบูรพา เอ่ยต่อไปว่า “ท่านไม่อยากรู้ว่าใครเป็นผู้ปล่อยข่าวนี้ออกมารึขอรับ?” น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นดูไม่สบอารมณ์
            ฉู่ฉางเกอยกถ้วยชาขึ้นจิบนิดหนึ่ง  มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเป็นสัญญาณว่ากำลังยิ้ม “หากไม่ใช่นางแล้ว  แล้วจะเป็นใครได้เล่า?”
            “ท่านประมุขช่างหยั่งรู้ในรายละเอียดได้ลึกถึงที่สุดจริงๆ”  ผู้คุมกฏทิศบูรพารู้สึกผิดหวังยิ่งนัก  ท่านประมุขคือผู้ที่หาได้หวั่นไหวกับสิ่งใดไม่
            “ได้ยินว่าฮูหยินอวยพรให้สี่คนประหลาดแห่งเจียงโจวสังหารท่านสำเร็จในเร็ววัน “  ผู้คุมกฏทิศทักษิณยังเอ่ยอย่างไม่ย่อมแพ้
            โดยไม่คาดคิด คิ้วดาบของประมุขหนุ่มเลิกขึ้นและจมลง  ยังผลให้ดวงตาดำเข้มอันงดงามเผยไอสังหารขึ้นมารางๆแล้วเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว  มือที่กำถ้วยชาของฉู่ฉางเกอสั่นเล็กน้อย พลางเอ่ยว่า “นางรู้แน่แล้วว่าสี่คนประหลาดแห่งเจียงโจว ถึงอย่างไรก็ต้องจบชีวิตลง  ดังนั้นจึงอวยพรให้พวกเขาบรรลุความสำเร็จในเร็ววัน”
            “ท่านประมุขช่างปราดเปรื่องยิ่งนักขอรับ! ฮูหยินได้ฝากให้พวกเขาส่งสารไปถึงท่านด้วย ว่าให้ท่านจงตระหนี่ให้มากขึ้น!” เมื่อผู้คุมกฏทิศพายัพเกรงว่าเมื่อเจ้านายหันมาแล้ว ตนเองจะไม่มีอะไรรายงาน  จึงคว้าตัวผู้คุมกฏทิศปัจจิมมายืนรายงานอยู่เบื้องหน้าของผู้คุมกฏทั้งสามที่เหลือ  ในที่สุดเขาเอ่ยประโยคที่ทำให้ผู้คุมกฏทั้งสามด้านหลังมองมาด้วยสายตาเสียดแทง  ทันใดนั้นทั้งสามพลันนึกได้ว่าที่มารายงานข่าวนี้  มีจุดมุ่งหมายเพื่อโจมตีท่านประมุข  เช่นนั้นควรรายงานแต่ข่าวร้าย  ไม่ใช่รายงานข่าวดี.....
            ฉู่ฉางเกอรู้สึกชอบใจนักที่จะหุบริมฝีปากบางกลับมา พลางเอ่ยว่า “ถ้อยคำเหล่านี้พวกเขาขวัญกล้าที่จะแพร่ข่าวออกไปหรือ?”
            “ข้าน้อยได้ยินมาว่า  ฮูหยินไม่มีความหวาดกลัวคราที่โดนโจรปล้นเลยขอรับ “  ผู้คุมกฏทิศประจิมกล่าว  โดยไม่ลืมหันกลับไปจ้องหน้าผู้คุมกฏทิศพายัพอีกครั้ง  เอาให้ล่มจมกันไปข้างหนึ่งเลย!
            ฉู่ฉางเกอไม่ใส่ใจกับสี่ผู้คุมกฏ ที่กำลังใช้สายตาต่อสู้กัน พลางกลิ้งถ้วยชาในมือช้าๆ  ดวงตาทอดมองไปยังเทือกเขาเบื้องหน้าที่อยู่ไม่ไกล  พลางยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไร
            “ท่านประมุขกำลังยิ้มเรื่องอันใด?” ผู้คุมกฏทิศพายัพซึ่งกำลังเอาศอกไปถองเอวผู้คุมกฏทิศประจิม กระซิบถามเพื่อน
            “เจ้าถามข้า แล้วข้าจะไปถามผู้ใดเล่า?  ผู้คุมกฏทิศประจิมพอเห็นคนที่เอ่ยปากคนแรกพูดผิด ก็ให้รู้สึกว่าพวกเขาต่างพลาดพลั้งเท่าเทียมกันแล้ว
            ผู้คุมกฏทิศบูรพาคิดว่าผู้คุมกฏประจิมและทิศพายัพน้องชายเล็กๆสองคนประพฤติตัวราวกับเด็กไร้เดียงสา  ดังนั้นจึงไม่ใส่ใจ  ยังคงตั้งหน้ารายงานต่อไป “ท่านประมุข ข้าน้อยได้รับข่าวจากพ่อครัวฟา  มีความว่าเขานำจดหมายส่วนตัวของฮูหยิน ติดตัวมาจากเมืองหลวงด้วย และมีเรื่องสำคัญที่จะมารายงานขอรับ  ท่านโปรดพิจารณาดูว่า จะให้ชะลอเรื่องไว้และรั้งรอไว้ก่อนหรือไม่ขอรับ?
            เมื่อได้ยินเช่นนั้น  มุมปากฉู่ฉางเกอเผยอขึ้นหลายส่วนอย่างมีนยสำคัญ อารมณ์พลันเบิกบานอย่างรวดเร็ว  พลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นเรียกเขาเข้ามาเลย...ค่อยให้เขาหยุดพักยาวๆที่เมืองถัดไปก็แล้วกัน”

            จดหมายส่วนตัวหรือ...ไม่รู้ว่านางจะเขียนอะไรที่ทำให้เขาบันเทิงใจอีกนะ.....
  ------------------------------------------------------------------------------
  ขอบคุณสำหรับการติดตาม และคอมเมนต์
  ดีใจที่ยังมีรีดติดตามอ่านอยู่บ้าง
  ไรท์ยังคงแปลต่อไป เพราะรู้สึกว่าเนื้อหาลึกลับซับซ้อนกว่าที่คิดค่ะ ^-^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น