วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 73 ได้พบญาติ

          เหลียนฟางโจวรู้สึกใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  เดิมทีเธอรู้สึกกังวลกับสายตาที่จ้องเขม็งมาของคนเฝ้าประตูประจำจวนสกุลเศรษฐียิ่งนัก  ร่องรอยแห่งความดูแคลนฉายชัดบนหน้าผากของเขา  เธอเตรียมพร้อมกับการถูกเข้าใจว่าเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอก  และไม่คาดหวังว่าจะได้รับความเป็นมิตรเลย
            “ไม่ทราบว่า..ฮูหยินน้อยอยู่ที่จวนหรือไม่?  ข้ามีเรื่องมาขอพบนางรบกวนพี่ชายช่วยไปแจ้งนางให้ที!” เหลียนฟางโจวเอ่ยอย่างสุภาพ

            “ขอพี่ชายช่วยเป็นธุระให้ด้วย!” อาเจี่ยน หยิบเงินที่มีอยู่ครึ่งตำลึงยัดใส่มือคนเฝ้าประตู
            คนเฝ้าประตูเพียงมองของที่อยู่ในมือเฉยๆ   ขยับมือเบาๆ เพื่อกะน้ำหนักเงินที่ได้รับ  พลันความประหลาดใจต่อคนทั้งสามพาดผ่านนัยน์ตาของคนเขา  เมื่อเห็นอยู่ว่า คนทั้งสามแต่งกายด้วยอาภรณ์เรียบๆธรรมดา  กลับใจคอกว้างขวางมากทีเดียว!
            “พวกท่านมาหาฮูหยินน้อยของเราหรอกหรือไม่ทราบว่าแม่นางท่านนี้เป็นอะไรกับฮูหยินน้อยของเรามีเรื่องอันใดที่ต้องการพบรึ?  ยามนี้ฮูหยินน้อยของเรามีกิจธุระยุ่งมาก  ไม่ใช่ว่าจะให้ผู้ใดเข้าพบได้ง่ายๆนัก!”  คนเฝ้าประตูกล่าว
            เหลียนฟางโจวรู้สึกอึดอัดใจที่จะเอื้อนเอ่ยออกมา  หากบอกว่าเธอเป็นญาติของฮูหยินน้อย  มิคาดว่าถ้าไม่ได้เห็นสายประหลาดใจ  เธออาจจะได้เห็นสายตาดูแคลนจากคนเฝ้าประตูเป็นแน่?
            “ท่านช่วยไปแจ้งว่ามีคนสกุลเหลียนจากหมู่บ้านฟางในเมืองยู่เหอมาขอเข้าพบ  ฮูหยินของท่านจะเข้าใจเอง!” เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
            “เมืองยู่เหอรึ?” คนเฝ้าประตูปรายตามอง แล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  “บ้านเดิมของฮูหยินน้อยก็อยู่ที่เมืองยู่เหอ  ทว่าเรื่องคนสกุลเหลียนจากหมู่บ้านฟาง ข้ายังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ! เอาล่ะ ข้าจะช่วยนำถ้อยคำของพวกท่านไปแจ้งให้ละกันทว่าฮูหยินน้อยจะยอมให้เข้าพบหรือไม่  ข้าคงไม่กล้ารับรองให้นะ!”
            “ข้าเข้าใจดี   แค่เพียงท่านช่วยเราฝากถ้อยคำไปให้ ก็เป็นพระคุณอย่างที่สุดแล้ว!”  เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
            “พวกท่านโปรดคอยอยู่ที่นี่ก่อน!”  คนเฝ้าประตูเห็นเหลียนฟางโจวพูดจาด้วยถ้อยคำสุภาพอ่อนน้อม  ยามได้ยินแล้วให้รู้สึกพอใจ  ครั้นแล้วจึงยิ้มให้   พลางปิดประตู เพื่อไปเรียกบ่าวชายอีกสองคนที่อยู่ใกล้ๆ ให้นำความไปแจ้ง
            คนทั้งสามรออยู่ราวสองเค่อ   พวกเขาหาได้ยินเสียงภายในเล็ดลอดออกมาด้านนอกเลยแม้แต่นิดไม่  เหลียนเซ่อจึงพูดขึ้นเบาๆ “พี่ใหญ่ ไม่ใช่ว่า คนเฝ้าประตูให้พวกเราคอยอยู่ที่นี่หรอกหรือ?  พวกเราจะไม่โดนคนเฝ้าประตูหลอกใช่ไหม?”
            “มาถึงขนาดนี้แล้ว อย่างไรก็ต้องคอยมิเช่นนั้นก็คงจะมาเสียเที่ยวแล้ว!” เหลียนฟางโจวกล่าว
            อาเจี่ยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้ความกังวล “อย่าได้วิตกให้มากจนเกินไปเลย  คนผู้นั้นไม่ได้บอกพวกเราหรอกรึว่า  ฮูหยินน้อยสกุลซู่กำลังจัดการกิจธุระอยู่ที่จวนดูท่าแล้วนางคงไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกจวนบ่อยนักหรอก  หากนางยังไม่ออกไป  ซ้ำยามนี้พวกเรารออยู่ด้านนอก  หากพวกเราอดทนรอไปเรื่อยๆ ย่อมได้พบตัวเป็นแน่!”
            “อืม!” เหลียนฟางโจวพลันรู้สึกใจชื้นขึ้น  ยามเห็นอาเจี่ยนพยักหน้ายิ้มให้กับเธอ      
            พอพูดจบประตูใหญ่ก็เปิดออก  ผู้ที่ยืนข้างๆคนเฝ้าประตู  เป็นสตรีวัยกลางคนแต่งกายด้วยชุดกระโปรงกรอมเท้าสีเขียวหม่น  แขนเสื้อไม่บานมากสีม่วงแดงลายดอกไม้ผสมกริช  ทรงผมเกล้าเป็นมวยแบนๆเสียบปิ่นเงิน 
            คนเฝ้าประตูช่วยแนะนำ โดยผายมือไปที่สตรีวัยกลางคน พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าโชคดียิ่งนัก  คนผู้นี้คือแม่นมหลี่ของฮูหยินน้อย!”
            “แม่นมหลี่!” เหลียนฟางโจวค้อมศีรษะให้นางพลางแย้มยิ้ม
            แม่นมหลี่ประเมินพวกเขาด้วยตาอยู่หลายรอบ  อาภรณ์ที่คนทั้งสามสวมใส่เป็นแบบเรียบๆธรรมดา  ทว่ากลับดูสะอาดสะอ้าน  สีหน้าบนใบหน้าของคนทั้งสามแสดงถึงความมั่นใจและตรงไปตรงมานัก  แม้ว่าพวกเขาจะยังเยาว์ กลับมีความวิตกกังวลปรากฏบนใบหน้าเพียงเล็กน้อย  ท่าทางดูเป็นธรรมชาติ  ไม่มีท่าทีลื่นไหลทำตัวประจบประแจง หรือ ยกยอปอปั้นให้เห็นแม้สักนิด
            แม่นมหลี่แอบพยักหน้ายอมรับในใจ  ครั้นแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอ่อ...ได้ยินว่ากูเหนียง(คำใช้แทนผู้หญิงที่ยังไม่ออกเรือน) คือคนสกุลเหลียนจากเมืองยู่เหอใช่หรือไม่?  ไม่ทราบว่าสตรีสกุลหลิวที่อยู่ในเมืองใหญ่ ที่ชื่อหลิวซู่เหมยเป็นอะไรกับกูเหนียง?”
            ดวงตาของเหลียนฟางโจวพลันมืดหม่นลง “คนผู้นั้นคือท่านแม่ของข้าเอง”
            “เช่นนั้นตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง!  แม่นมหลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นแล้ว กูเหนียงก็คือญาติของฮูหยินน้อย!  ฮูหยินน้อยของเราระลึกถึงมารดาของท่านอยู่เสมอ!”
            เหลียนฟางโจวยิ้มขื่น “ท่านแม่ข้า....ถึงแก่กรรมแล้ว!”
            สีหน้าของแม่นมหลี่บิดเบี้ยวและสลดลงเล็กน้อย รีบเอ่ยว่า “เกิดเรื่องขึ้นตั้งแต่เมื่อได?”
            เหลียนฟางโจวเอ่ย “มากกว่าครึ่งปีมาแล้ว  นางและบิดาของข้าได้ขึ้นไปทำงานบนภูเขา โชคร้ายประสบกับน้ำป่าบนภูเขา ทำให้ทั้งสองท่านเสียชีวิต!”
            แม่นมหลี่ถอนหายใจเบาๆ ในใจนางไม่สงสัยเลยว่าไฉนพวกเขาจึงเดินทางมา! ยิ่งเห็นพวกเขาแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่สะอาดเรียบร้อย  ให้รู้สึกลำบากใจยิ่งขึ้น
            แม่นมหลี่ให้คนทั้งสามนั่งพักในห้องโถง  บอกหญิงรับใช้ตัวเล็กๆ ให้ยกน้ำชาและขนมมาเลี้ยง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอให้กูเหนียงนั่งรออยู่ที่นี่สักครู่!”
            เหลียนฟางโจวค้อมศรีษะพลางยิ้มให้นาง ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอันใด  ในใจรู้ว่านางคงไปแจ้งข่าวแก่ญาติผู้นั้นเป็นแน่ 
            ไม่แน่เดิมทีญาติผู้นี้คงหาได้คิดอยากจะพบพวกเขาไม่  เพียงเมื่อพวกเขามา  คงให้แม่นมหลี่เป็นผู้เข้ามาทักทาย ให้การต้อนรับตามมารยาท  ทว่าพอทราบว่าบิดามารดานางได้ถึงแก่กรรมแล้ว  คิดว่านางคงอยากจะพบหน้าค่าตาพวกเขาสักครั้ง
            เพียงไม่นาน แม่นมหลี่ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง  เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณชายท่านนี้ โปรดนั่งพักดื่มน้ำชาอยู่ที่นี่ก่อน  แม่นางเหลียน คุณชายเหลียนโปรดตามข้ามา! ฮูหยินน้อยต้องการพบพวกท่าน!”
            “พวกท่านไปเถิด ข้าจะรออยู่ที่นี่เอง!”  อาเจี่ยนรีบเอ่ยขึ้น
            เหลียนฟางโจและเหลียนเซ่อค้อมศีรษะ เอ่ยเสียงไม่เบานัก กับแม่นมหลี่  “รบกวนท่านแล้ว
            ทั้งสองพี่น้องเดินตามแม่นมหลี่เข้าไป นางพาพวกเขาเดินเข้าไปในบริเวณสวนหย่อมในบ้าน  มีประตูกั้นบริเวณสวนหย่อมที่กว้างใหญ่ไพศาล  ทางเดินปูด้วยอิฐสีฟ้า ทางเดินตรงกลางวางโอ่งน้ำกระเบื้องใหญ่สีฟ้าขาวอยู่สองสามจุด  หากได้เข้ามาเดินตอนหน้าร้อนจะเห็นดอกบัวพร้อมใบบัวสีเขียวชูช่อ  ดูงดงามน่ามอง บนพื้นสนามปลูกต้นทับทิม ต้นพุดและต้นยี่เข่ง และดอกไม้อื่นๆที่เป็นไม้ลงหัว  ที่อยู่ข้างใต้อิฐทรงสี่เหลี่ยมจัตตุรัส  ทางเดินในร่มสองข้างทาง  ประดับประดาด้วยการแขวนโคมแปดเหลี่ยมมีพู่ห้อยที่ชายคา  ซ้ำยังปลูกดอกกุหลาบทั้งสองข้างของทางเดินในร่ม  ยามนี้มีดอกกุหลาบบางส่วนกำลังเบ่งบาน อวดดอกสีเหลือง สีขมพูสดใสไปทั่ว
            ทางเดินในร่มทำให้เห็นทัศนียภาพของสวนหย่อมกว้างใหญ่ไพศาล  ทั้งทางด้านซ้ายและด้านขวา มีจุดชมวิวเจาะเป็นวงกลม เป็นประตูรูปพระจันทร์เชื่อมกับสนามในสวน  เพื่อให้ผู้มาเยือนได้ชื่นชมดอกไม้  ต้นไม้  และภูเขาหินจำลอง ที่จัดแต่งประดับประดาไว้อย่างประณีตหรูหรา รวมทั้งเรือนที่ปลูกสร้างไว้มากมายหลายหลัง
ตัดข้ามสนามมา  มีขั้นบันไดทอดยาวข้ามไปยังโถงเรือน  ตรงข้ามกับสนามคือ หน้ามุขสูงทรงห้าเหลี่ยมที่อยู่ตรงกลาง  ขนาบข้างด้วยเรือนหลังใหญ่  อาคารทั้งสองล้วนตกแต่งประดับประดาอย่างเลิศหรู  หน้าต่างและประตูทาสีเขียวหยกและสีแดงชาดอย่างประณีตบรรจงมาก แม่นมหลี่พาทั้งสองเดินเวียนเป็นวงกลมจากซ้ายไปขวา แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกท่านอาจเดาได้ว่าวันนี้ ฮูหยินน้อยนอนกลางวันอยู่  หาได้ออกไปข้างนอกไม่!”
            ที่ทางเข้า ยืนไว้ด้วย หญิงสาวรับใช้ตัวเล็กๆ ที่สวมเสื้อสีน้ำเงินและกระโปรงผ้าต่วนสีขาว 3-4 คน   เมื่อเห็นว่ามีแขกมา  หนึ่งในนั้นเลิกมู่ลี่กั้นสีเขียวเข้ม เพื่อรายงาน สามคนที่เหลือทำการทักทาย และเรียกแม่นมหลี่ว่า “ป้าหลี่!”
            แม่นมหลี่พยักหน้ารับ หญิงสาวตัวเล็กคนที่ได้เข้าไปรายงานด้านในก่อนหน้านั้น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ป้าหลี่ ฮูหยินน้อยให้ท่านพาแขกเข้ามาได้แล้วเจ้าค่ะ!”
            “เหลียนกูเหนียง คุณชายเหลียน เชิญ!” แม่นางหลี่แย้มยิ้มพลางผายมือให้ทั้งสอง
            “เชิญท่านป้าก่อน!” เหลียนฟางโจวยิ้มให้ เดินตามไปพร้อมกับเหลียนเซ่อ
            เมื่อไปถึง จึงเห็นสตรีงดงามอ่อนวัยที่ออกเรือนแล้วแต่งกายด้วยเสื้อตัวบนสีชมพู ชายเสื้อและคอปกปักลวดลายเป็นรูปผลองุ่น  รวมไปถึงรองเท้าด้วย  กระโปรงจีบสีแดงปักลวดลายเมฆา ยืนต้อนรับอยู่  โดยมีหญิงรับใช้ยืนขนาบทั้งสองข้าง ดวงตาของนางเป็นรูปเมล็ดซิ่ง แก้มสีลูกพลับ  ผิวพรรณบางใสดุจหิมะ   ผมเกล้าเป็นทรงเมฆเคลื่อนคล้อย  ประดับผมด้วยลูกปัดห้อยระย้าลงมา อย่างงดงาม  ดวงตากลมส่องเป็นประกาย  คล้ายกับน้ำในทะเลสาปที่ส่องประกายลึกล้ำมีชีวิตชีวา   เพียงแรกเห็นก็สัมผัสถึงพลังอำนาจที่แผ่ออกมาจากบุคคลผู้นี้
            เหลียนฟางโจวบังเกิดความลังเล เพราะยังไม่ทราบว่าจะเรียกญาติผู้นี้่ว่า “ฮูหยินน้อยซู่”  หรือ 'พี่ฟางฉิง' ดี   ส่วนฟางฉิงก้าวเดินมาข้างหน้าครึ่งก้าว  จับมือเหลียนฟางโจวไว้  พลางมองประเมินสองพี่น้องด้วยรอยยิ้ม  “เจ้าคือฟางโจวใช่หรือไม่เจ้าจำข้ามิได้รึ? เพลานั้นท่านป้าฝ่ายแม่พาข้าไปบ้านของเจ้าในตอนนั้น  เจ้ายังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ยังปัสสาวะรดที่นอนอยู่เลย! แล้วนี่คือน้องชายรองใช่ไหมข้าเพียงเคยได้ยินท่านป้าฝ่ายแม่เอ่ยถึงเท่านั้น  ไม่เคยเห็นตัวจริงสักทีดวงตาคู่นี้ช่างดูคล้ายท่านป้าหญิงยิ่งนัก!”

            เหลียนฟางโจวรู้สึกใจเต้นตึกตัก  ประสาทสัมผัสทั้งห้าตื่นตัว ครั้นแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพลานั้นข้ายังเล็กนัก  จึงไม่อาจจดจำได้วันนี้ได้มาเยี่ยมเยือน รู้สึกขอบคุณในการต้อนรับยิ่งนัก  ครั้งนี้ถือวิสาสะมาเยี่ยม....”
   --------------------------------
  ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ

12 ความคิดเห็น:

  1. เย้ ตอนใหม่มาแล้ว ฟางโจวเจอญาติแล้ว ญาติดูเหมือนจะนิสัยดีด้วย เย้

    ตอบลบ
  2. ดูเป็นคนดีคงใจกว้างให้ฟางโจวยืมเงินนะ

    ตอบลบ
  3. จะได้หรือไม่ได้นะ ฟางโจว สู้ๆ

    ตอบลบ
  4. ใครๆก็ดูว่าญาติเป็นคนดี แต่ทำไมเราตงิดใจ555

    ตอบลบ
  5. เหมือนจะมีหนุ่มๆมาชอบละ

    ตอบลบ
  6. เหมือนจะมีหนุ่มๆมาชอบละ

    ตอบลบ
  7. ขอให้นางเอกมีพวกเก่งๆดีๆบ้างเห๊ออออ

    ตอบลบ
  8. ญาตินี่ดีหรือเปล่า??

    ตอบลบ
  9. นางจะเจอญาติดีๆบ้างมั้ยนะ

    ตอบลบ
  10. นางจะเจอญาติดีๆบ้างมั้ยนะ

    ตอบลบ
  11. ไม่ระบุชื่อ11 เมษายน 2560 เวลา 15:41

    ตื่นเต้นแทน หวังว่าผู้หญิงทุกคนจะไม่ใช่ศัตรูของนางหรอกนะ

    ตอบลบ
  12. ขอให้เจอคนดี ๆ ทีเถิด

    ตอบลบ