เหลียนฟางโจวลังเลเล็กน้อย
ครั้นแล้วจึงพยักหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากอยู่ในวิสัยที่ข้าสามารถทำได้นะ”
“ทำได้แน่! ไม่เกินกำลังท่านเลย! บุคคลผู้นั้นยืนขึ้นอย่างตื้นเต้นล้นเหลือ มองเหลียนฟางโจวแล้วเอ่ยด้วยความจริงใจ
“แม่นางเหลียน ท่านสามารถให้ที่พักพิงแก่ข้าได้หรือไม่?”
“อะไรกัน!” เหลียนฟางโจวตัวสั่นสะท้าน รู้สึกตกใจยิ่งนัก
“ท่านให้ที่พำนักแก่ข้าได้หรือไม่?” คนผู้นั้นมองเธอ
เอ่ยถามอย่างจริงจัง “ข้าจะไม่กินโดยไม่ตอบแทน ข้าสามารถช่วยงานท่านได้! ร่างกายข้าแข็งแรงไม่เป็นปัญหาอันใด ต่อให้งานหนักหนาสาหัสแค่ไหนก็ไม่เกินความสามารถของข้า! ข้าคิดว่า...ขอแค่มีที่นอนคุ้มแดดคุ้มฝนก็พอแล้ว!
ท่านสามารถรับปากข้าได้หรือไม่?”
ชายผู้นั้นไม่รู้ว่า อีกหลายปีจากนี้ไป ความทรงจำเขาจะคืนกลับมาหรือไม่? เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าเหตุใดถึงได้ขอร้องออกไปเช่นนั้น
ในที่สุดจึงเพียงคิดแค่ว่า นี่คงเป็นชะตากรรมของตนเองกระมัง? เคราะห์ร้ายจึงมาเยือนไม่เว้นวาย!
ชายหนุ่มมีร่างกายที่แข็งแกร่ง
เป็นคนที่ดูซื่อสัตย์และจริงใจ ยามนี้อยู่ในสถานะผู้ลี้ภัย
ไม่รู้ว่ามีคนอีกเท่าใด ที่เกลี้ยกล่อมเขาให้พักอยู่ด้วย แต่กลับโดนเขาปฏิเสธไปอย่างช่วยไม่ได้ ทว่ากับบ้านสกุลเหลียนนี้ เขากลับไม่ต้องการจากไปแม้แต่ก้าวเดียว เขาไม่อยากออกเดินทางอีกแล้ว
ดวงตาคู่นั้นช่างเหมือนบ่อน้ำลึกดำมืดที่ส่องประกาย
จับจ้องนางส่งผ่านความจริงใจทั้งหมดที่มี สีหน้าและท่าทางนั้นเล่า ก็ล้วนมีแต่ความจริงใจ ทำให้เหลียนฟางโจวไม่กล้าสบตา
ไม่กล้ามองเขาโดยพลัน หากเธอปฏิเสธเขา เกรงว่าจะห้ามความรู้สึกผิดไม่ได้ เธอต้องผิดปกติเป็นแน่!
“พี่ใหญ่ ท่านให้พี่ชายท่านนี้อยู่ด้วยเถิด!”
เหลียนเซ่อทนไม่ได้ เดินออกมาจากห้อง พลางพูดขึ้น “ยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง
อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว แล้วพี่ชายจะไปอยู่ที่ไหนยามที่ฤดูหนาวมาถึงเล่า?”
“ใช่ พี่ใหญ่ ฤดูหนาว
อากาศหนาวเย็นมากเลย!”
“พี่ใหญ่ พี่ชายเป็นคนดี
ท่านให้เขาพักกับเราเถิด!”
เหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อก็เข้ามาช่วยพูดให้คนผู้นั้นด้วย
น้องชายและน้องสาวรวมสามคน
รวมทั้งคนผู้นั้นผู้ซึ่งมีสายตาอันแน่วแน่ ทำให้เหลียนฟางโจวปวดหัวนัก เธอลองคิดใคร่ครวญอีกทีและอีกที สุดท้ายก็ไม่อาจทัดทานคำขอร้องได้
ในใจของเหลียนฟางโจวนึกอยากรู้ขึ้นมาไม่ได้
หลังจากเหลียนเซ่อเห็นวีรกรรมของคนผู้นั้นในวันนั้น เธอเห็นดวงตาของน้องชายเป็นประกาย เหลียนฟางโจวอยากรู้ว่ามีสิ่งใดที่ประทับใจเขา ทว่าน้องอีกสองคนยังเล็กนัก เหตุใดถึงได้กระตือรือร้นช่วยพูดจนเกินงามนัก?
ที่ไหนเหลียนฟางโจวจะรู้ว่าเหลียนเซ่อเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด
“วรยุทธ์เขากล้าแกร่งมากเลยหากให้เขามาอยู่บ้านเรา ต่อไปจะไม่มีใครกล้ารังแกพวกเราพี่น้องอีกแล้ว ซ้ำยังไม่มีใครกล้ารังแกพี่ใหญ่อีกด้วย!” เหลียนเซ่อได้กล่อมเหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อให้เห็นด้วยไปเรียบร้อยแล้ว
น้องทั้งสามคนยังคงยืนกรานในคำขอนี้ ฝ่ายป้าสามที่อยู่ข้างนอกได้กระโจนเข้ามาในบ้าน อดพูดออกมาไม่ได้
“ฟางโจว เจ้าให้เขาอยู่กับเราเถิด! เขาแข็งแรงนัก พวกเรายังมีงานที่ต้องทำในภายหน้าอีกมากนะ!
ซ้ำเหลียนเซ่อและเจ้า ไม่อาจทำงานบางจำพวกเองได้ด้วย นี่ข้าไม่ได้พูดเองเออเองนะ แต่มันคือความจริง!”
ป้าสามเห็นเหลียนฟางโจวจ้องนาง ใจชักเริ่มขุ่นเคือง แต่ถึงอย่างไร
นางก็จำต้องพูด
เหลียนฟางโจวขอให้พวกเขาทั้งหลายอย่ากระจองอแงนักได้ไหม เพราะเธอปวดหัวมาก นอกจากนี้แล้ว คนผู้นั้นก็ช่างมีสีหน้าที่จริงใจยิ่งนัก ซึ่งทำให้หัวใจเธออ่อนยวบลง ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจำต้องพยักหน้ายอมรับ “ดี! เช่นนั้น...ครั้งแรกให้ผ่านฤดูหนาวไปก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่!”
แม้ว่าคนผู้นั้นดูเหมือนซื่อสัตย์
ทว่ายามนี้รู้จักกันแต่เพียงผิวเผิน ยังไม่ควรให้ความสนิทสนมมากนัก!
เรื่องนี้ต้องป้องกันไว้ดีกว่าแก้
ดังนั้นเหลียนฟางโจวจึงไม่ได้พูดจาให้ชัดเจนไปเลยทีเดียว
เพราะอย่างแรกรอให้อนาคตเป็นเครื่องพิสูจน์ อย่างที่สองจะได้ทำให้เขาตื่นตัวขึ้นอีกนิด
ว่าเธออาจไม่เก็บเขาเอาไว้!
เหลียนฟางโจวเหลือบมองป้าสาม
ในใจคิดว่าการยื่นมือเข้าช่วยให้ป้าสามมาอยู่ด้วยเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว! หากไม่มีป้าสาม ลำพังมีแต่พี่น้องสี่คน ไม่อาจใช้แต่ข้ออ้างที่ว่าคนผู้นั้นน่าสงสารได้
แล้วตัวเธอก็คงจะให้ที่พักแก่เขาไม่ได้!
ในบ้านที่ไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่ การให้ชายหนุ่มแปลกหน้ามาพักอาศัยอยู่ในบ้าน ขณะที่ตัวเธอเองมีอายุ15ปี ย่อมหนีไม่พ้น ข่าวลือซุบซิบและคำพูดให้ร้าย ที่สามารถฆ่าคนให้ตายได้แน่!
พอมีป้าสามเข้ามา
สถานการณ์จึงเปลี่ยนไป
เหลียนฟางฉิง เหลียนเช่อยังเล็ก
ไม่เข้าใจความหมายในถ้อยคำของเหลียนฟางโจว
จึงยังช่วยพูดต่อไป ไม่เอะใจเลยว่าเหลียนเซ่อเอาแต่ยิ้มเหมือนอย่างเคยแล้ว
ป้าสามปรบมือพลางหัวเราะ แล้วพูดขึ้น “พวกเจ้านี่ช่างไร้เดียงสาจริงๆ
ยังจะขอร้องอะไรอีกรึ? พี่สาวเจ้าเห็นด้วยแล้วนะ!”
“จริงๆหรือ?” เหลียนฟางฉิง เหลียนเช่อประหลาดใจ พวกเขาดีใจยิ่งนัก เงยหน้ามองพี่สาวคนโต
เหลียนฟางโจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แค่ชั่วคราวก่อนนะ!”
น้องชายและน้องสาวทั้งสามต่างส่งเสียงโห่ร้องดีใจ ส่วนคนผู้นั้นรู้สึกแปลกใจปนตื่นเต้นยินดี แสดงความขอบคุณหญิงสาวครั้งแล้วครั้งเล่า
ป้าสามฉีกยิ้มกว้างจนถึงใบหู แหมมีแรงงานมาให้ใช้ฟรีๆทั้งที ! ช่างดีจริงๆ!
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ บุคคลผู้นี้สุภาพกับนางมาก เต็มใจรับฟังสิ่งที่นางพูดเป็นอย่างดี นี่อาจจะดีเสียยิ่งกว่าดีก็เป็นได้!
เหลียนฟางโจวรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ไม่จำเป็นต้องมีมรรยาทไป” เห็นทุกคนมีความสุขเช่นนี้ ในใจเธออดรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาไม่ได้
“เอาล่ะ เนื่องจากเจ้าโย่งตัวใหญ่คนนี้อยู่ที่บ้านเราแล้ว
คงต้องมีชื่อใช่ไหม?” ป้าสามโพล่งขึ้นทันใด
เจ้าโย่งตัวใหญ่รึ?
คิ้วเหลียนฟางโจวขมวดเล็กน้อย ครานี้นางเห็นภาพผุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เห็นป้าสามผู้เย่อหยิ่งกำลังเรียกขานเขาว่า “เจ้าโย่งตัวใหญ่”
แล้วสั่งเขาให้ทำงาน ภาพที่ออกมาทำให้เธอรู้สึกนิดหนึ่งว่าป้าสามปฏิบัติกับคนผู้นี้ไม่ถูกต้องนัก
“ควรต้องตั้งชื่อนะ!” เหลียนฟางโจวพยักหน้าพลางยิ้ม
ป้าสามเห็นเหลียนฟางโจวไม่ปฏิเสธวาจาของนาง จึงมีกำลังใจขึ้น เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ “ข้าคิดว่าชื่อ อืม เรียกว่า ‘หยวนเป่า’(ก้อนเงิน)!”
เหลียนฟางโจวไอขึ้นมาทันใด เนื่องจากสำลักน้ำลาย!
“ไม่ดีเลย! มันดูห้วนเกินไป!” เหลียนฟางโจวชำเลืองมองป้าสาม ที่ตอนนี้อารมณ์บูด นอกจากจะบอกปฏิเสธนางแล้ว ชื่อนี้ยังมีความหมายอื่นแฝงอีก สำเนียงของคำชวนให้ไม่กล้าเปิดปาก!
ชื่อนี้! ถ้าถามเธอ เธอไม่ชอบเลย มันน่าอับอาย
เจ้าโย่งตัวใหญ่ไม่ได้กังวลเกินไปนัก
ทว่า อืม หากจะเอาลึกๆแล้วพูดได้เลยว่า เขาไม่ชอบชื่อนี้เอาเสียเลย
ครั้นแล้วเขาหันไปหาเหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างค่อนข้างกระดากใจ
“หรือให้แม่นางเหลียนเป็นผู้ตั้งชื่อให้ข้า! ไม่ต้องไปพ้องกับสิ่งดีๆก็ได้ ตราบเท่าที่เรียกแล้วรู้สึกพูดได้คล่องปาก”
การตั้งชื่อเป็นเรื่องที่สำคัญ
แน่นอนว่าหัวหน้าครอบครัวมีความเหมาะสมทีเดียวที่จะเป็นผู้กระทำ ไม่ต้องพูดให้มากความ เหลียนเซ่อ
น้องชายและน้องสาวทั้งสาม ต่างหันมามองเหลียนฟางโจว
หญิงสาวนิ่งคิดสักพัก จึงเอ่ยขึ้น “งั้นเรียกว่า
‘อาเจี่ยน’ ก็แล้วกัน!”
“ดี
เริ่มตั้งแต่วันนี้เลย เรียกข้าว่า ‘อาเจี่ยน’!” ชายร่างยักษ์พยักหน้าพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เหลียนเซ่อและน้องอีกสองคนเห็นตามด้วย
ครั้นแล้วจึงยิ้มพลางเรียก “พี่เจี่ยน!”
ป้าสามก็เรียกด้วยเสียงอันดังด้วย
“อาเจี่ยน!” พลางบ่นอุบอิบ “ข้าคิดว่าชื่อหยวนเป่า(เจ้าก้อนเงิน)เรียกแล้วน่าฟังมากกว่า....”
เหลียนเซ่อไม่ได้ยิน เขาทักทายอาเจี่ยนด้วยรอยยิ้ม
เหลียนฟางโจวได้ยิน ทว่าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“ดีแล้ว มากินข้าวกันก่อนเถิด!” เจ้าสองคน
ไม่หิวรึ!” เหลียนฟางโจวยิ้มพูดเสียงดุ
“กินข้าว! กินข้าวกัน!” ครั้นแล้วเด็กๆไปหยิบถ้วยชาม จัดเก้าอี้
รีบช่วยกันจัดชาม ภายใต้แสงไฟสีเหลืองซีด สะท้อนเงาคนที่เคลื่อนไหวไปมา สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันอบอุ่น
อาเจี่ยนยังคงอยู่ที่บ้านสกุลเหลียนต่อไป
โดยพักอยู่ห้องเดียวกับเหลียนเซ่อและเหลียนเช่อ เวลาคุยกับคนข้างนอก ก็จะบอกว่าอาเจี่ยนคือญาติห่างๆทางฝั่งมารดา ที่บ้านไม่มีที่นาเป็นของตัวเอง จึงมาหาที่พักพิงเป็นเหตุผลแรก เหตุผลที่สองคือมาช่วยเรื่องงานกับสี่พี่น้อง
หลังจากฮูหยินเฉียวรู้ข่าว จึงแอบมาดูตัวอาเจี่ยนลับๆ
เห็นรูปร่างเขาสูงใหญ่กำยำ ท่าทางผึ่งผายแข็งแกร่ง มองทั่วทั้งตัวแล้ว ดูเป็นคนที่ขยันขันแข็ง
สู้งานหนักไม่ถอย
ดูไม่เหมือนคนประเภทที่เหยาะแหยะคอยแต่จะฉกฉวยสิ่งของของผู้อื่นเลย
ฮูหยินเฉียวไม่สบายใจขึ้นมาฉับพลัน ในใจนึกอิจฉาริษยาอย่างรุนแรง
ดังนั้นพอลับหลัง จึงปล่อยข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริง
ไม่ต้องคิดให้มากเลย คงไม่มีถ้อยคำที่น่าชื่นชมเป็นแน่!
เหลียนเซ่อโกรธมาก
อยากไปบ้านลุงเพื่อถามความจริงให้กระจ่างในทันที
ภายในใจเสียใจและรู้สึกผิด
หากรู้ว่าให้อาเจี่ยนอยู่ แล้วจะสร้างปัญหาเช่นนี้ บางทีจริงๆแล้วเขาไม่ควรพูดออกไปตั้งแต่แรกเลย! ทว่า...
อาเจี่ยนเมื่อรู้เรื่อง
ค่อนข้างเสียใจมาก จึงเงียบไปหนึ่งวัน ครั้นแล้วจึงมากล่าวคำอำลากับเหลียนฟางโจว
ก่อนที่เขาจะออกจากบ้านเหลียนฟางโจวไป
------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์และการติดตามค่ะ
สงสารอาเจี่ยนนน ไปแล้วจะไปอยู่ไหน กลับมาช่วยไถนาก่อน เดี๋ยวๆๆๆ
ตอบลบไม่นะไม่อาเจี่ยนอย่าไปนะ//นังฮูหยินเฉียวน่าตายนัก
ตอบลบแล้วชื่ออาเจี่ยนแปลว่าอะไร สงสารอาเจี่ยนทีสูญเสียความจำแล้วยังถูกกลั่นแกล้งอีก แต่ฟาวโจคงหาทางช่วยได้มั้ง ขอบคุณค่ะ
ตอบลบทำไมอ่ะ อย่าไปนะอาเจี่ยน
ตอบลบกำลังเข้าที่เข้าทางแล้ว ถ้าอาเจี่ยนจะไปก็ขอให้อยู่ในฐานะสามีแต่งเข้าไปเลยไม่มีใครว่าแน่ๆ
ตอบลบอาเจี่ยน น่ารักจัง
ตอบลบย่าลืมเติม ไม้เอก ชื่ออาเจี่ยนะคะ อิอิ
ไม่ให้ไปน้าาาา T^T
ตอบลบฮูหยินเฉียว ใครก็ได้เอานางไปเก็บที
ตอบลบอาเจี่ยนนนน กลับมาก่อน...
ตอบลบสงสารอ่ะ รีบไปตามกลับมาเร็วๆ
ตอบลบมารอไรท์ทุกวัน
ตอบลบ