วันพุธที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 75 พบกันอีก(2)

           ซู่จิงเหอเหลือบตามองชุยเฉ่าซีด้วยความประหลาดใจ   ครั้นแล้วจึงหันไปหาฟางฉิง เอ่ยว่า “ไยข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย? เงิน 10,000 ตำลึงนับว่าไม่น้อยเลยนะ  ฉิงเอ๋อร์เจ้าเตรียมการจะทำอันไดหรือ?” พอกล่าวจบ จึงส่งยิ้มออดอ้อน  “ช่างเถิด เจ้าจะสิ่งใดข้าล้วนสนับสนุนเต็มที่”
            ฟางฉิงค้อนตากลับ  พลางกระซิบกระซาบกับเขา “ท่านจะสนับสนุนข้า  ไม่ว่าข้าจะนำเงินไปใช้ทำอันใดก็ได้งั้นหรือ!”
            ซู่จิงเหอหัวเราะเบาๆ  คล้ายกับว่ายิ่งทุ่มเทให้ภรรยาเท่าไร  เข้าก็ยิ่งได้รับความสุขกลับมาเท่านั้น
            ตัวฟางฉิงเองแอบถอนหายใจออกมาเงียบๆ  ถึงแม้นางยังไม่พร้อมจะคุยเรื่องนี้ในเวลานี้   ทว่าในเมื่อชุยเฉ่าซีได้ยินกับหู  ซ้ำยังโพล่งถามออกมาแล้ว   แม้นางไม่อยากจะเอื้อนเอ่ยออกมา  ก็ไม่มีทางเลือกแล้ว  “ข้าไม่ได้เอาเงินก้อนนี้ไปใช้ลงทุนอะไรหรอก  คือญาติของข้าขอยืมน่ะ”
            ชุยเฉ่าซีและซู่จิงเหอต่างตะลึงงัน  ดวงตาพลันเบิกตากว้าง
            ฝ่ายซู่จิงเหอเพียงเอามือลูบหน้าผากยิ้มๆ  ได้แต่ร้อง โอ้”  เพียงเท่านั้น
            เหลียนฟางโจวพยายามจับตาดูสีหน้าบนใบหน้าของซู่จิงเหอไว้ตลอด  โดยไม่ให้คลาดสายตา  หากสีหน้าเขาเปลี่ยนไปแม้เพียงนิด  ย่อมแสดงว่าเขาไม่เห็นด้วย  บางทีเรื่องที่นางต้องการขอกู้ยืมเงินคงจะยากเอาการทีเดียวเพราะเรื่องของเรื่อง ก็คือเงิน 10,000 ตำลึงนี้  หาใช่เงินจำนวนเล็กน้อยไม่  ถึงคราแรกเขาจะยังไม่รู้   แต่ฟางฉิงย่อมต้องปรึกษาหารือกับเขาให้กระจ่างก่อนเป็นแน่  บางทีอาจถึงกับต้องขออนุญาตเอากับนายท่านและฮูหยินสกุลซู่กันเลยทีเดียว!
            เมื่อเห็นซู่จิงเหอไม่ได้เผยท่าทีไม่เห็นด้วย  ในขณะที่ชุยเฉ่าซีมีเพียงสีหน้าสะดุ้งตกใจ  ใจของเธอที่เครียดเขม็ง ก็คลายลงไปกว่าครึ่ง
            เหลียนฟางโจวแอบถอนหายใจลับๆ  การขอยืมเงินผู้คน มันเป็นงานที่เหน็ดเหนื่อยอย่างนี้เอง!
            เธอสาบานในใจว่า นับจากนี้ไป  เธอจะไม่ขอยืมเงินใครอีกเลย
            ฟางฉิงส่งยิ้มให้เหลียนฟางโจว เอ่ยเสียงนุ่ม “ที่นั่งกันอยู่ที่นี่หาใช่คนนอกไม่  เช่นนั้นเราก็มาหารือกันต่อเถิด เจ้ามีแผนการเอาเงินไปทำอะไร  ก็จงบอกอธิบายมาเถิด ไม่เป็นไรหรอก !”
            ซู่จิงเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่  เปี๋ยวเจี๋ยของพวกเจ้าพูดถูกแล้ว!  หากพวกเจ้าพร้อมแล้ว ก็จงปรึกษาหารือกับนางได้เลย!”
            เหลียนฟางโจวให้รู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก “ขอบคุณมากพี่เขย!”  แล้วหันไปหาฟางฉิง “เปี๋ยวเจี๋ย..ตามที่ท่านได้ไตร่ถามข้ามาเมื่อครู่ก่อน  ข้าต้องการใช้เงินก้อนนี้  เพื่อนำไปซื้อที่ดิน  จ้างคนงาน  และปลูกฝ้าย  ไม่ทราบว่าเปี๋ยวเจี๋ยเคยได้ยินข่าวมาบ้างหรือไม่  ปีนี้เมืองยู่เหอได้ถูกทางราชสำนักเลือกให้ทดลองปลูก ถูเต้าและฝ้าย  ข้าจึงอยากลองดู!”
            เรื่องใหญ่เช่นนี้ ฟางฉิงย่อมเคยได้ยินเป็นธรรมดา พลันพยักหน้า เอ่ยว่า “เรื่องนี้ ข้าเคยได้ยินมาเหมือนกัน! อย่างไรก็ตาม ถูเต้าและฝ้ายนี้  ข้าเองก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน  ทำให้ข้ามีข้อสงสัย แต่ยังไม่เคยได้ลองไปสอบถามหาคำตอบ  ข้าจึงพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน  และไม่ได้สนใจอีก  หลังจากนั้นมา สกุลเราก็ไม่ได้ไปข้องเกี่ยวอีกเลยเจ้าเคยได้ยินมาแล้วหรือ? ไฉนจึงมีความคิดอยากลองเช่นนั้นเล่า?”
            เหลียนฟางโจวเอ่ย “ข้าเองก็ไม่เคยได้ยิน  ทว่าถูเต้าหวานไม่ใช่ว่าได้รับการส่งเสริมให้เพาะปลูกกันมาแบบค่อยเป็นค่อยไป ตั้งแต่สองสามปีก่อนหรอกหรือทว่าการส่งเสริมการปลูกถูเต้าไม่ใช่หัวข้อบังคับ! ข้ากำลังคิดว่า ทางราชสำนักคงไม่ได้หลอกลวงไพร่ฟ้าประชาชนเป็นแน่สำหรับถูเต้าหวานนั้น อาจไม่สามารถทำเงินได้  ส่วนฝ้าย ข้าได้ยินมาว่าสามารถนำมาทอเป็นผ้า  บางทีนี่อาจเป็นโอกาสอันดี  ดังนั้นข้าจึงอยากลองดูสักครั้ง!”
            “ความกล้าหาญของสาวน้อย  ช่างใหญ่โตยิ่งนัก  ทว่าเจ้าคิดว่ามันทำได้ง่ายๆเช่นนั้นหรือหากล้มเหลวขึ้นมา  เจ้าจะทำฉันใด?”  ชุยเฉ่าซีอดกล่าวออกมาไม่ได้
            พอเหลียนฟางโจวได้ยินเขาเรียกเธอว่า สาวน้อยพลันอยากจะวิ่งไปกระทืบเขาให้จมธรณีนัก  คนอะไรช่างยั่วโทสะเสียเหลือเกิน “ข้าคิดว่าเรื่องนี้คุ้มค่าให้ลองทำดู  แม้นว่าเกิดไม่สำเร็จขึ้นมา  หนี้ที่ค้างอยู่ย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด!  ผืนดินที่ซื้อไว้เพาะปลูกอย่างน้อยหากนำออกขาย ย่อมได้เงินกลับคืนมา 10,000 ตำลึงภายในไม่เกิน 2-3 ปีแน่  ข้าจึงอยากลองทำดู”
            “ข้าหาได้หมายความเช่นนั้นไม่! อย่าได้เข้าใจผิด!” ชุยเฉ่าซีไม่คาดคิดว่าเหลียนฟางโจวจะกล่าวออกมาเช่นนี้  จึงทำให้เขารู้สึกค่อนข้างกลัดกลุ้มและกระดากอาย  ใบหน้าเริ่มมีสีแดงขึ้นมาเป็นริ้วๆ   ยามสบตาหญิงสาวให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างเห็นได้ชัด
            ส่วนเหลียนฟางโจว หมายความตามที่พูดนี้จริงๆ  นั่นเป็นเพราะกลัวอีกฝ่ายกล่าวหาว่า เธอไม่มีปัญญาหาเงิน 10,000 ตำลึงมาคืนได้ จึงได้พยายามอธิบายเสียยกใหญ่เธอไม่ได้ขอยืมเงินเขาเสียหน่อย  ที่ได้อธิบายพูดไป ก็เพราะต้องการประชดที่เขาทำเกินหน้าที่  บังอาจเข้ามาสอดมือยุ่งกับเรื่องราวของผู้อื่น
            ปกติแล้วอารมณ์วุ่นวายลำบากใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง  ไม่เคยได้กล้ำกรายมารบกวนจิตใจของชุยเฉ่าซีเลย  เขามักควบคุมตัวเองได้ดีมาตลอด  ไม่เคยเห็นเขามีเวลาที่กระอักกระอ่วนไม่หยุดไม่หย่อนเช่นนี้เลย  ซู่จิงเหอมองภาพตรงหน้าด้วยความทึ่งแล้วทึ่งอีก  ส่วนฟางฉิงอดหัวเราะพรืดออกมาไม่ได้ จากนั้นจึงหันไปถามเหลียนฟางโจว “เพราะเปี๋ยวเม่ยได้ ลองคิดใคร่ครวญดูดีแล้ว  ถึงได้อยากลองทำดูอย่างจริงจังใช่หรือไม่เจ้าอาจคิดสนใจฝ้าย  เพราะไม่เคยเห็นมันมาก่อน  ข้าเองก็ไม่ทราบว่าตอนเพาะปลูกต้องใช้กรรมวิธีพิเศษหรือเปล่า แล้วเจ้าจะสามารถจัดการมันได้หรือ  เมื่อถึงคราต้องลงมือทำเข้าจริงๆ?”
            ชุยเฉ่าซีครานี้กำลังยิ้มสมน้ำหน้าให้ตัวเอง  ในใจบังเกิดความอับอาย  และทุรนทุราย  ความมั่นใจลดหายไปสองส่วน  น่ากลัวว่าสาวน้อยผู้นี้คงจะเกลียดขี้หน้าเขาเข้าจริงๆเสียแล้ว  จากนี้ไปสองสามีภรรยาคู่นี้คงจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ เพื่อล้อเลียนเขาไม่เลิกเป็นแน่!
            เขาทั้งอึดอัดใจและกลัดกลุ้มนัก  ต้องรีบปั้นหน้าแทบตาย  สมองพยายามรีบหาทางออกเร็วจี๋ จึงรีบเอ่ยว่า “เงิน 10,000 ตำลึงนี้  อย่าได้ถือว่าข้าให้ยืมเลยหากทำแล้วเจ้าได้กำไร ก็เหมือนกับข้าได้ด้วย  ข้าไม่ถือว่าเจ้าเป็นหนี้ข้าหรอก!”
            เหลียนฟางโจวปรายตามองเขา มีคลื่นน้ำแข็งพาดพ่านมาแวบหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ข้าหาได้เป็นญาติสนิท หรือมิตรสหายกับท่านชายชุยไม่  แล้วข้าจะสามารถยืมเงินท่านชายชุยได้เยี่ยงไรข้าคงต้องขอปฏิเสธน้ำใจอันดีของท่านชายชุยเสียแล้ว!”
            ชุยเฉ่าซีไม่เคยคิดว่า  เขาถูกบังคับให้ช่วยเหลือนาง  ในทางตรงกันข้าม พอเปิดปากพูดอีกครั้ง  กลับทำให้นางเกลียดเขามากยิ่งขึ้น  ช่างน่าเศร้านักที่ไม่สามารถพูดอธิบายให้นางเข้าใจได้
            ตั้งแต่เด็กจนเติบโตเป็นหนุ่ม  ไม่มีครั้งใดเลยที่เขาได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
            ซู่จิงเหอหัวเราะ  ด้วยความรื่นรมย์  รู้สึกดีใจบนความโชคร้ายของผู้อื่น  พลางพูดไปหัวเราะไป “ข้าบอกได้เลยว่า วันนี้ท่านช่างดูอ่อนไหวยิ่งนัก!”
            เขาคิดว่าญาติของภรรยาเขาผู้นี้  ช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ  แล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มกับภรรยา “ฉิงเอ๋อร์ ข้าคิดว่าที่ญาติของเราพูดมาช่างมีเหตุมีผลยิ่งนัก  จงเอาเงิน 10,000 ตำลึงให้เขายืมเถิด!”
            ฟางฉิงแย้มยิ้ม ไม่ได้ตอบรับเขา  นางมองเหลียนฟาโจวที่กำลังรอคอยคำตอบของนางอยู่
            เหลียนฟางโจวไม่เพียงไม่โกรธ  ที่นางไม่ตอบรับโดยรวดเร็ว  แต่กลับแอบประทับใจและขอบคุณนางในใจแทน  ฟางฉิงหาได้ตกลงใจแบบเด็กๆเล่นขายของไม่  ที่นางทำเช่นนี้เพื่อเป็นการให้เกียรติเธอ
            เหลียนฟางโจวจึงค้อมศรีษะ แล้วเอ่ยว่า “เปี๋ยวเจี๋ย  พี่เขย  ที่พวกท่านกังวลนั้น ข้ากระจ่างแจ้งแก่ใจดี  ข้าได้คิดละเอียดถี่ถ้วนดีแล้ว  ข้าจึงต้องการลองดู!”
            “อืม หากเป็นเช่นนั้น เงิน 10,000 ตำลึงนี้  เราจะให้เจ้ายืมตามที่เจ้าต้องการ!” ฟางฉิงมองตาซู่จิงเหอ ขณะที่เอ่ยกับเหลียนฟางโจวด้วยรอยยิ้ม
            เหลียนฟางโจวพลันบังเกิดความสุขตื้นตันล้นขึ้นมาโดยพลัน  ดวงตาของเหลียนเซ่อผู้น้องชายส่องประกายเจิดจ้า  ทั้งสองพี่น้องชายหญิงต่างรีบลุกขึ้นแสดงความคารวะขอบคุณซูจิงเหอด้วยความซาบซึ้งใจเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม
            “รีบลุกขึ้นเถิด ไม่ต้องมากพิธีไป!” ฟางฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  “เนื่องจากพวกเจ้าบอกว่าต้องการขอยืม  พวกเราจึงให้ยืม  พวกเราเป็นญาติพี่น้องกัน  เจ้าจะได้ผลกำไรเท่าใด ก็ไม่ต้องบอกข้า ขอบอกสั้นๆเท่านี้ เจ้าจงจำไว้ให้ดี!”
            “เปี๋ยวเจี๋ย และพี่เขย ได้โปรดวางใจเถิด  พวกเรารู้สึกสำนึกในบุญคุญพวกท่านยิ่งนักเงินก้อนนี้จะนำคืนให้พวกท่านเมื่อถึงเวลาที่กำหนด!” เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
            ฟางฉิงยิ้มและพยักหน้าให้  แล้วจึงไม่พูดเรื่องนี้อีกต่อไป  เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นานๆพวกเจ้าจะมาเยี่ยมที  ก็พักอยู่ที่นี่สักสองวันก่อน แล้วจึงค่อยเดินทางกลับเถิด!”
            เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อหันมามองหน้ากัน  พลางส่ายหน้า แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เปี๋ยวเจี๋ยช่างมีเมตตายิ่งนัก พวกข้าขอเป็นครั้งหน้าก็แล้วกัน!  เนื่องจากน้องฉิงและน้องเช่ออยู่เฝ้าบ้าน ข้าเกรงว่าพวกเด็กๆจะเป็นห่วงเอา !”
            “วันนี้ถือว่าเย็นมากแล้ว หากพวกเจ้าเดินทางกลับ  ไปถึงเมืองยู่เหอก็คงมืดค่ำแล้ว!  พักอยู่ที่นี่คืนหนึ่งก่อน รุ่งเช้าข้าจะให้รถม้าไปส่งพวกเจ้ากลับ  น่าจะเป็นการดีกว่านะ?”  ฟางฉิงทำหน้ายิ้มดุๆ แล้วพูดขึ้น “เห็นแก่ข้าเปี๋ยวเจี๋ยของพวกเจ้าด้วย  หากปฏิเสธอีกล่ะก็ แสดงว่าพวกเจ้ามองข้าเป็นคนอื่นคนไกลแล้ว!”
            เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อไม่สามารถบอกปัดได้ จำต้องยอมรับด้วยความเกรงใจ

            ฟางฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มกับแม่นมหลี่ “ประเดี๋ยวช่วยไปจัดเตรียมห้องพักรับรองแขกให้ด้วย  แล้วจะได้พาพวกเขามาร่วมกินมื้อเย็นด้วยกันเป็นการภายในเอาล่ะ แม่นมหลี่จะพาพวกเจ้าไปที่พัก..”
   -----------------------------------------------------------------
   ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ
   มีรีดบางท่าน ถามว่าจะรู้ฐานะท่านแม่ทัพเมื่อไร อันนี้บอกได้ว่ารอนานเลยค่ะ เป็น 5-6 ร้อยตอน
   ส่วนตอนที่ 75 นี้ท่านแม่ทัพก็ไม่มีบทอีกล่ะ  น่าสงสาร
    ส่วนพระรองคนนี้ ออกตัวแรงค่ะ ท่าทีชัดเจนตั้งแต่แรก ขนาดมาขัดขวางงานแต่งงานนางเอกไม่ทัน นี่ถึงกับกระอักออกมาเป็นเลือดเลย เลยครองตัวเป็นโสดตลอดไม่ยอมแต่งงาน  น่าสงสารมาก
  สรุปน่าสงสารไปคนละแบบ ^-^

15 ความคิดเห็น:

  1. ทำไมพระรองน่าสงสารขนาดนี้//// โครงการปลูกฝ้ายของงนางเอกนี่สำเร็จใช่ไหมไรท์ถ้าสำเร็จนี่นางเอกคงรวยแน่ๆ

    ตอบลบ
  2. สปอย์แบบเห็นสภาพพระรองเลย

    น่าสงสารจริง T^T

    ตอบลบ
  3. โอ้ น่าสงสารพระรองจริงๆ ปักใจรักมั่นแบบนี้

    ตอบลบ
  4. โอ้ น่าสงสารพระรองจริงๆ ปักใจรักมั่นแบบนี้

    ตอบลบ
  5. พระรองอะไรจะน่าสงสารขนาดนี้
    ที่น่าวสงสารยิ่งกว่าคือพระเอกนี่ละ จืดจางจริงๆ
    ที่จริงแล้วเป็นองครักษ์เงาแน่ๆ

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ12 เมษายน 2560 เวลา 09:28

    อยากไปเยียวยาหัวใจให้ซูจิงเหอเสียจริง

    ตอบลบ
  7. พระรองบุลิกโดเด่น ออกจากตัวหนังสือเลย ชอบซุยเฉาซี ค่ะ

    ตอบลบ
  8. ไม่ระบุชื่อ12 เมษายน 2560 เวลา 10:21

    ขอบใจจ้า

    ตอบลบ
  9. ขอบคุณค่ะ เริ่มรวยแล้วนางเอกเรา

    ตอบลบ
  10. มีเเบบ eng ให้อ่านล่วงหน้ามั้ยครับ หรือเรื่องนี้มีเเต่จีน ถ้ามีeng รบกวนเเอดบอกชื่อเรื่องให้ผมที

    ตอบลบ
  11. ไม่ระบุชื่อ12 เมษายน 2560 เวลา 12:42

    พระรองน่าร๊ากกกกก อยากได้ทั้งพระรองและพระเอกเบย��

    ตอบลบ
  12. พระรอง 3บท พูดมากกว่าพระเอกพูดมาทั้งเรื่อง - -"

    ตอบลบ
  13. ใจแอบเอนไปทางพระรองหน่อยๆ

    ตอบลบ
  14. เป็นพระรองที่...เอาเป็นว่าได้โปรดมาแต่งงานกับข้านเถอะ

    ตอบลบ
  15. พระรองมาทางนี้ เจ้รอปลอบใจอยู่ 555

    ตอบลบ