“มาเถิด อย่างเพิ่งพูดอันใดเลย!” ฟางฉิงเอ่ยขัดจังหวะเหลียงฟางโจว “มารดาข้าเติบโตมาพร้อมกับท่านน้า ทั้งสองรักใคร่สนิทสนมกันเป็นที่สุด แม้ว่าคนรุ่นเราจะแทบไม่ได้พบหน้าค่าตากันเลย ทว่าความสัมพันธ์ฉันท์ญาติพี่น้อง บอกได้เลยว่า
ไม่อาจแตกทำลายได้!” เมื่อกล่าวจบ นางจึงถอนหายใจเบาๆ
เอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “ท่านแม่ข้าใช้ชีวิตอย่างลำบากยากแค้นมาโดยตลอด ข้าเองก็คอยอธิษฐานให้ท่านน้ามีอายุยืนยาวและมีชีวิตที่ร่มเย็นเป็นสุข ไม่คิดว่า...”
ดวงตาของเหลียนเซ่อพลันแดงก่ำ
แทบไม่อาจสะกดกั้นความสะเทือนใจไว้ได้
“เช่นนั้น
พวกเจ้าพี่น้องคงจะมีความเป็นอยู่อย่างลำบากยากเข็ญละสิ ที่จริงข้าไม่ควรพูดเรื่องเหล่านี้เลย! หลายปีมานี้ พวกเราทั้งสองฝ่ายหาได้ไปมาหาสู่กันไม่ พอเจ้ามาเยี่ยมข้า ข้าให้รู้สึกดีใจยิ่งนัก ในที่สุดพวกเราก็ได้พบปะพูดคุยกันอีกครั้งหนึ่งแล้ว!” พอฟางฉิงกล่าวจบ
ก็เชิญให้สองพี่น้องนั่งลง แล้วจึงไต่ถามสารทุกข์สุขดิบและสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวของสองพี่น้องในปัจจุบัน
อีกทั้งเรื่องบิดาและมารดาของคนทั้งสองเมื่อครั้งประสบเคราะห์กรรมในครานั้นด้วย
เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อได้เล่าความทุกอย่างให้ฟางฉิงฟังด้วยเสียงสะอื้น
“ข้ารู้สึกเสียใจกับพวกเจ้าสี่พี่น้องยิ่งนัก!
หากมีเรื่องคับข้องอันใด ที่ต้องการความช่วยเหลือจากข้า ตราบใดที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ข้าย่อมยินดีช่วยเหลือพวกเจ้าอย่างแน่นอน!” ฮูหยินน้อยสกุลซู่พูดขึ้นอย่างจริงใจ
เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อสองพี่น้องอุตส่าห์ดั้นดนมาไกล ฟางฉิงรู้ว่าต้องมีเรื่องขอความช่วยเหลือเป็นแน่
เหลียนฟางโจวจึงรับความปรารถนาดีด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ
“เปี๋ยวเจี๋ย (คำที่ใช้เรียกญาติผู้พี่ฝ่ายหญิง)
ข้าและน้องรองยามนี้ มีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือจากท่านจริงๆด้วย!”
ฟางฉิงพยักหน้า ลอบส่งสายตาให้แม่นมหลี่ แม่นมหลี่เข้าใจโดยพลัน จึงส่งสายตาให้สาวใช้ที่ยืนรับใช้อยู่ทั้งหลายออกไปนอกห้อง
ทั้งสองพี่น้องแอบซาบซึ้งในใจเงียบๆ รู้ดีว่าฟางฉิงไม่ต้องการให้พวกเขาเอื้อนเอ่ยออกมาต่อหน้าบรรดาคนรับใช้ทั้งหลาย ฟางฉิงแม้จะยังไม่รู้ว่าสองพี่น้องจะขอให้ช่วยเหลืออะไร แต่เดาว่าคงจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินเป็นแน่
“มีเรื่องอันใดพวกเจ้าก็จงกล่าวออกมาเถิด!” ฟางฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เหลียนฟางโจวจึงกล่าวขึ้นช้าๆ
“ข้าอยากขอยืมเงินก้อนหนึ่งจากเปี๋ยวเจี๋ย
และจะคืนให้ภายใน 2-3 ปีนี้แน่นอน”
“เจ้าช่างคิดการใหญ่จริงๆ!
จงบอกมาสิว่า เจ้าต้องการยืมเงินเป็นจำนวนเท่าใด?”
ฟางฉิงคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
เหลียนฟางโจวจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เปี๋ยวเจี๋ย
เช่นนั้นข้าขอพูดตรงๆนะ!
ข้าต้องการยืมเงินทั้งสิ้น 10,000 ตำลึง!”
ฟางฉิงเป็นสตรีที่รับผิดชอบบริหารกิจการค้าบางส่วนของสกุลซู่ ไม่ใช่สตรีธรรมดาทั่วไปที่เอาแต่ดูแลปรนิบัติสามีอยู่ในจวนเพียงอย่างเดียว พอได้ยินเหลียนฟางโจวพูดเช่นนั้น จึงไม่ได้ร้องตกอกตกใจอันใดออกมา มีเพียงสีหน้าที่เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แม่นมหลี่ที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหลัง อดเหลือบมองเหลียนฟางโจวอย่างพินิจพิจารณาไม่ได้ นางคิดในใจว่า กูเหนียงที่เป็นเครือญาติผู้นี้ ช่างใจกล้าเอ่ยขอออกมาได้
เงินตั้ง 10,000ตำลึงเชียวนะ!
นางรู้หรือไม่ว่าเงิน 10,000 ตำลึงนั้นมากมายขนาดไหน
10,000 ตำลึงหาใช่เงินจำนวนเล็กน้อยไม่ ฟางโจว
ไม่ทราบว่าเจ้าต้องการนำเงินเหล่านี้ไปทำอะไร?” ฟางฉิงถามขึ้น
เหลียนฟางโจวกำลังจะเล่าอธิบายในรายละเอียดอยู่แล้ว พลันได้ยินเสียงผู้ชายตะโกนดังลั่นอยู่หน้าประตู “พวกเจ้าทั้งสองมายืนเกะกะอะไรอยู่หน้าประตูเช่นนี้? ไฉนเด็กสาวตัวเล็กๆเช่นพวกเจ้าชอบแหย่ชอบเทลาะกันนักเล่า?”
แม่นมหลี่รีบพูดขึ้น “นายน้อยกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อต่างผุดลุกขึ้นยืน ฟางฉิงก็ผุดลุกขึ้นด้วย พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้เจอพี่เขยพอดีเลย!”
เสียงดังล้งเล้งเหล่านั้นเงียบหายไป
ในเวลาเดียวกันพลันเห็นบุรุษสองคนเดินเข้ามาด้านในแทน
เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามคือสามีของเปี๋ยวเจี๋ย
เหลียนฟางโจวเพียงรีบจัดอาภรณ์ให้ดูดี
แล้วเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงเบื้องหน้าด้วยสายตาปริบๆ นายน้อยซู่จิงเหอผู้นี้อายุน่าจะราวๆ 25-26 ปี
รูปร่างหน้าตาดีมาก สีหน้าบ่งบอกว่าเป็นคนเจ้าชู้ร้าย
หรือไม่ก็เป็นลูกเศรษฐีที่ชอบทำตัวเสเพลโดยไม่สนใจสายตาใคร
“ท่านพี่กลับมาแล้ว! โอ เปี๋ยวตี๋(คำใช้เรียกแทนญาติชายรุ่นน้อง)ก็มากับเขาด้วย!”
ฟางฉิงอดส่งสายตาบูดบึ้งให้ซู่จิงเหอไม่ได้ พลางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ไฉนท่านถึงไม่บอกให้ข้ารู้ก่อนเล่า?”
ผู้หญิงอย่างเหลียนฟางโจวลงท้ายก็เป็นสตรีที่หาได้เอาแต่อยู่ในห้องหอไม่
ยามได้พบกับพี่เขยที่เป็นเครือญาติผู้นี้ ก็เหมือนกับเห็นผู้ชายทั่วๆไป เธอไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือประหม่าอันใดเลย
“ไยข้าจะรู้ว่าตอนนี้เจ้ามีแขกเล่า!” ซู่จิงเหอยิ้มแยกเขี้ยวใส่ภรรยา
สายตามองเลยมาที่เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อเพียงแวบเดียว
แล้วหันกลับมาจับจ้องภรรยาใหม่ หาได้มีความสนใจแขกผู้มาเยือนไม่ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้เจ้ากำลังยุ่งอยู่ ข้ากับเจ้าหมิ่นไปก่อนก็แล้วกัน ไว้ค่อยกลับมาหาเจ้าใหม่!”
“ท่านพี่...ช้าก่อน!”
ฟางฉิงรั้งเขาไว้ เพื่อจะได้แนะนำสามีให้รู้จักกับเหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อผู้น้อง ฝ่ายญาติผู้น้องของซู่จิงเหอที่ติดตามมาด้วย หลังจากได้ยินเสียงพี่สะใภ้เรียกสามีของนาง จึงเอ่ยเสียงหยอกเย้าว่า “อา..แม่นาง เราพบกันอีกแล้ว!”
เหลียนเซ่ออดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้ เขาจับจ้องบุรุษหนุ่มผู้มาใหม่ด้วยสายตาเย็นชา
พี่สาวของเขาไม่เคยถูกบุรุษใดๆพูดจาล้อเล่นเช่นนี้
เหลียนฟางโจวได้ยินเสียงนี้รู้สึกคุ้นหูยังไงไม่รู้ จึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ พลันเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาบาดตาของชุยเฉ่าซีกำลังส่งยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้า
ใจนางหล่นไปที่ตาตุ่มโดยฉับพลัน เอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ
“ท่าน!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใครเล่า!” ชุยเฉ่าซีหัวเราะเริงร่า
เหลียนฟางโจวพลันทำสีหน้าเบื่อหน่าย มุมปากกระตุก ค้อนตากลับ ไม่รู้ว่าชายผู้นี้จะขบขันอะไรนักหนา!
“โอ้ พวกเจ้ารู้จักกันมาก่อนแล้วหรือ!”
ซู่จิงเหอหันมามองคนนั้นที
มองคนนี้ที ได้แต่กรอกตาไปมา ฝ่ายที่หัวเราะก็หัวเราะดังขึ้นเป็นสองเท่า ส่วนอีกฝ่ายก็ทำหน้าบึ้งตึงแค่นเสียงขู่ฟ่อ!
ฟางฉิงแอบหยิกเนื้อสามี ดวงตาเมล็ดซิ่งส่งสายตาดุจ้องชายหนุ่มเขม็ง ซู่จิงเหอชักอยากรู้เรื่องราวเบื้องหลังของภาพตรงหน้านี้แล้ว
ในที่สุดจึงหันมายิ้มประจบเอาใจภรรยา ส่วนฟางฉิงฮัมเพลงเบาๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ใช่!”
“ไม่รู้จัก!”
ทั้งฝ่ายชุยเฉ่าซีและเหลียนฟางโจวต่างเอ่ยคำพูดออกมาพร้อมกันราวกับนัดกันไว้ล่วงหน้า
ส่วนฟางฉิงและซู่จิงเหอให้ประหลาดใจไปชั่วครู่
ซ้ำยังงุนงงไปเล็กน้อย
จากนั้นฟางฉิงจึงเดินไปหาสองพี่น้องชายหญิง นางจับมือเหลียนฟางโจว แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สองคนนี้คือเปี๋ยวเม่ย(ญาติผู้น้องสาว)
และเปี๋ยวตี๋ (ญาติผู้น้องชาย)ของข้า!” จากนั้นฟางฉิงจึงหันไปทางซู่จิงเหอ
แล้วเอ่ยแนะนำว่า “นี้คือพี่เขยของพวกเจ้า! ท่านนี้ อืม...เป็นเปี๋ยวตี๋ของพี่เขยของเจ้า
พวกเจ้านับเขาเป็นญาติคนหนึ่งก็ได้”
เหลียนฟางโจวทำเป็นละเลยกับประโยคแนะนำอันละเอียดละออของอีกฝ่ายโดยทันที มีเพียงซู่จิงเหอเท่านั้น ที่เธอทำการคารวะ และเรียกอีกฝ่ายว่า “ท่านพี่เขย!”
พอหันไปทักทายชุยเฉ่าซีกลับเรียกว่า “ท่านชาย”
“ประเสริญแท้ ประเสริฐแท้! ฮ่าอ่า! นี่คือญาติมิตรของสกุลเราทั้งนั้น
ไฉนข้าไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงมาก่อนเลย!”
ซู่จิงเหอยิ้มแย้ม ยกมือขึ้น พลางถามฟางฉิง
“หลายปีมานี่พวกเราทั้งสองฝ่ายต่างไม่ได้ติดต่อกันเลย!”
อีกฝ่ายถอนหายใจเบาๆ ครั้นแล้วจึงดันหลังซู่จิงเหอ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะๆ ท่านมีธุระอันใดก็รีบไปจัดการก่อนเถิด!”
ซู่จิงเหอยังไม่ทันพูดอะไร
ชุยเฉ่าซีกลับนั่งลงอย่างถือวิสาสะ พลางกอดคอซู่จิงเหอ พร้อมกับหัวเราะไปด้วย “พวกเรายังไม่มีกิจธุระอันใด สามารถอยู่พูดคุยกับฮูหยินของญาติผู้พี่ของข้าก่อนได้!
พี่สะใภ้คงจะไม่ไล่เราออกไปใช่หรือไม่?”
ชุยเฉ่าซีคุ้นเคยสนิทสนมกับซู่จิงเหอมาก
เขาพูดด้วยท่าทีเป็นกันเอง ฟางฉิงจึงได้แต่แย้มยิ้ม
หมดหนทางที่จะไล่พวกเขาออกไป
ทว่าหลังจากกลายเป็นญาติกันไปแล้ว หัวข้อที่เจรจากันแต่ก่อนหน้า ครานี้นับว่าไม่สะดวกที่จะนำมาคุยต่อกันอีกครั้ง ฟางฉิงครุ่นคิด หาทางออกอยู่ในใจ เอาไว้ให้อยู่กันตามลำพังก่อนดีกว่า แล้วค่อยหาโอกาสเจรจาต่อ อย่างไรซะก็วางแผนให้พวกเขาพักอยู่ที่นี่สักสองวัน พอมีเวลาค่อยหาโอกาสคุยกันอีกครั้ง! เช่นนั้นแล้วจึงยิ้มออกมา แล้วชักชวนเหลียนฟางโจวผู้พี่และน้องชายให้นั่งลง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “งั้นก็เอาตามนี้ ทุกๆคนก็สนทนากันเถิด!”
โชคไม่ดีนัก ฟางฉิงคิดว่าหัวข้อเมื่อครู่ก่อนไม่สะดวกนักที่จะคุยกันต่อ
แต่มีบางคนกลับไม่คิดเช่นนั้น ครั้นทุกคนนั่งลงกันเรียบร้อยแล้ว ชุยเฉ่าซีก็โพล่งถามขึ้นด้วยรอยยิ้มในทันที “ข้าได้ยินเสียง
คุยกันเรื่องเงิน 10,000 ตำลึงโดยบังเอิญ ตอนที่ข้าอยู่ตรงหน้าประตูเมื่อครู่ก่อน ไม่ทราบว่าพี่สะใภ้มีธุรกิจใหญ่โตอันใด ที่ต้องการใช้เงินมากมายขนาดนั้นเล่า?”
ฝ่ายฟางฉิงถึงกับทำสีหน้าไม่ถูก
เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อแอบลอบส่งสายตากัน เหลียนฟางโจวแอบประณามชุยเฉ่าซีอยู่ในใจ บุรุษผู้นี้ช่างไม่ดูตาม้าตาเรือเอาเสียเลย ทำเป็นไม่รู้สักเรื่องจะได้ไหมเนี่ย!
------------------------------------------------------------
ขอบคุณทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ
ขอเปลี่ยนคำเรียกขาน ชุยเฉ่าซี เป็น 'ท่านชาย' ค่ะ เพราะไปอ่านเจอตอนหลังๆว่า ฮีเป็นหลานของเจ้าหญิงที่เป็นน้องของฮ่องเต้คนก่อน มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันค่ะ
ส่วนท่านแม่ทัพเราก็ไม่มีบทตามเคย อันนี้ต้องไปถามคนแต่งเอาเองนะคะ ^-^
ขอบคุณค่ะไรท์///งานเข้าฟางโจวอีกแล้ว
ตอบลบกว่าญาติแม่ทัพจะมาตามหา จนรู้ฐานะท่านแม่ทัพอีกนานไหมคะ?
ตอบลบอยากรุ้....ลุ้นๆๆๆ
พระรองน่าสนใจมาก
ตอบลบท่านแม่ทัพบทน้อยมากกกกก
ตอบลบขอบคุณคะ สุขกายเย็นใจปีใหม่คะ
ตอบลบรอต่อไปค่าาา ขอบคุณมากกก
ตอบลบคนเขียนนี่ลำเอียงกะพระเอกงัยก้ไม่รู้ ปั้นเป็นพระเอกแต่ไม่ส่งบทเลย
ตอบลบคนเขียนนี่ลำเอียงกะพระเอกงัยก้ไม่รู้ ปั้นเป็นพระเอกแต่ไม่ส่งบทเลย
ตอบลบชายรอง ดีงามขนาดนี้ โปรไฟท์เป็นพระเอกได้เลยนะคะ ไหนจะความบังเอิญ ที่เจอกันอีก นี่มันคู่กัด พระ-นาง ชัดๆ
ตอบลบโธ่ พระเอกของเรา นั่งคอยเงกแล้ว 555
แบบนี้ชุยเฉ่าซีจะคุ้นหน้าท่านแม่ทัพไม มีผู้ชายงานดีเข้ามาเริ่มเลือกไม่ถูกแล้ว
ตอบลบขอบใจจ้ะ
ตอบลบพระเอกเป็นแม่ทัพจริงๆใช่มั้ยไม่ใช่องค์รักษ์เงาเหรอทำไมถึงได้จืดจางเช่นนี้
ตอบลบอัยยะ ฮีโปรไฟล์เริดค่ะ เสียแต่กวนประสาทไปหน่อย 555
ตอบลบเราพึ่งได้มาตามอ่านและพึ่งมาเม้นด้วย เราได้ไปอ่านมาจากอีกเว็บนึงแล้วได้มาตามอ่านที่นี่ เราชอบที่ไรท์แปลได้ไหลลื่นอ่านแล้วไม่งงและไม่สะดุด เป็นกำลังให้ไรท์ต่อไปนะ สู้ๆ
ตอบลบ