วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 74 พบกันอีก(1)

        “มาเถิด อย่างเพิ่งพูดอันใดเลย!” ฟางฉิงเอ่ยขัดจังหวะเหลียงฟางโจว “มารดาข้าเติบโตมาพร้อมกับท่านน้า  ทั้งสองรักใคร่สนิทสนมกันเป็นที่สุด  แม้ว่าคนรุ่นเราจะแทบไม่ได้พบหน้าค่าตากันเลย  ทว่าความสัมพันธ์ฉันท์ญาติพี่น้อง  บอกได้เลยว่า ไม่อาจแตกทำลายได้!” เมื่อกล่าวจบ นางจึงถอนหายใจเบาๆ เอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “ท่านแม่ข้าใช้ชีวิตอย่างลำบากยากแค้นมาโดยตลอด   ข้าเองก็คอยอธิษฐานให้ท่านน้ามีอายุยืนยาวและมีชีวิตที่ร่มเย็นเป็นสุข  ไม่คิดว่า...”
            ดวงตาของเหลียนเซ่อพลันแดงก่ำ แทบไม่อาจสะกดกั้นความสะเทือนใจไว้ได้
            หลิวซู่เหมยได้จากไปตั้งแต่ครั้งที่เหลียนฟางโจวคนก่อนยังอยู่ในร่างเดิม  แม้ว่าในตอนนี้วิญญาณที่อยู่ในร่างของเด็กสาวผู้นี้หาใช่เหลียนฟางโจวคนก่อนไม่  ทว่าพอได้ยินฟางฉิงเอ่ยถ้อยคำออกมาออกมา ในใจเธอพลันรู้สึกเจ็บปวด  ขมขื่นจนเหลือที่จะกล่าว
            “เช่นนั้น พวกเจ้าพี่น้องคงจะมีความเป็นอยู่อย่างลำบากยากเข็ญละสิ  ที่จริงข้าไม่ควรพูดเรื่องเหล่านี้เลย!  หลายปีมานี้ พวกเราทั้งสองฝ่ายหาได้ไปมาหาสู่กันไม่  พอเจ้ามาเยี่ยมข้า  ข้าให้รู้สึกดีใจยิ่งนัก  ในที่สุดพวกเราก็ได้พบปะพูดคุยกันอีกครั้งหนึ่งแล้ว!”  พอฟางฉิงกล่าวจบ ก็เชิญให้สองพี่น้องนั่งลง  แล้วจึงไต่ถามสารทุกข์สุขดิบและสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวของสองพี่น้องในปัจจุบัน  อีกทั้งเรื่องบิดาและมารดาของคนทั้งสองเมื่อครั้งประสบเคราะห์กรรมในครานั้นด้วย
            เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อได้เล่าความทุกอย่างให้ฟางฉิงฟังด้วยเสียงสะอื้น
            “ข้ารู้สึกเสียใจกับพวกเจ้าสี่พี่น้องยิ่งนักหากมีเรื่องคับข้องอันใด ที่ต้องการความช่วยเหลือจากข้า  ตราบใดที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง  ข้าย่อมยินดีช่วยเหลือพวกเจ้าอย่างแน่นอน!”  ฮูหยินน้อยสกุลซู่พูดขึ้นอย่างจริงใจ
            เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อสองพี่น้องอุตส่าห์ดั้นดนมาไกล   ฟางฉิงรู้ว่าต้องมีเรื่องขอความช่วยเหลือเป็นแน่
            เหลียนฟางโจวจึงรับความปรารถนาดีด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ  “เปี๋ยวเจี๋ย (คำที่ใช้เรียกญาติผู้พี่ฝ่ายหญิง)  ข้าและน้องรองยามนี้  มีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือจากท่านจริงๆด้วย!”
            ฟางฉิงพยักหน้า  ลอบส่งสายตาให้แม่นมหลี่  แม่นมหลี่เข้าใจโดยพลัน  จึงส่งสายตาให้สาวใช้ที่ยืนรับใช้อยู่ทั้งหลายออกไปนอกห้อง
            ทั้งสองพี่น้องแอบซาบซึ้งในใจเงียบๆ  รู้ดีว่าฟางฉิงไม่ต้องการให้พวกเขาเอื้อนเอ่ยออกมาต่อหน้าบรรดาคนรับใช้ทั้งหลาย  ฟางฉิงแม้จะยังไม่รู้ว่าสองพี่น้องจะขอให้ช่วยเหลืออะไร  แต่เดาว่าคงจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินเป็นแน่
            “มีเรื่องอันใดพวกเจ้าก็จงกล่าวออกมาเถิด!”  ฟางฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
            เหลียนฟางโจวจึงกล่าวขึ้นช้าๆ “ข้าอยากขอยืมเงินก้อนหนึ่งจากเปี๋ยวเจี๋ย  และจะคืนให้ภายใน 2-3 ปีนี้แน่นอน
            “เจ้าช่างคิดการใหญ่จริงๆ!  จงบอกมาสิว่า เจ้าต้องการยืมเงินเป็นจำนวนเท่าใด?” ฟางฉิงคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
            เหลียนฟางโจวจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เปี๋ยวเจี๋ย  เช่นนั้นข้าขอพูดตรงๆนะข้าต้องการยืมเงินทั้งสิ้น 10,000 ตำลึง!”
            ฟางฉิงเป็นสตรีที่รับผิดชอบบริหารกิจการค้าบางส่วนของสกุลซู่  ไม่ใช่สตรีธรรมดาทั่วไปที่เอาแต่ดูแลปรนิบัติสามีอยู่ในจวนเพียงอย่างเดียว  พอได้ยินเหลียนฟางโจวพูดเช่นนั้น  จึงไม่ได้ร้องตกอกตกใจอันใดออกมา  มีเพียงสีหน้าที่เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
            แม่นมหลี่ที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหลัง  อดเหลือบมองเหลียนฟางโจวอย่างพินิจพิจารณาไม่ได้  นางคิดในใจว่า  กูเหนียงที่เป็นเครือญาติผู้นี้  ช่างใจกล้าเอ่ยขอออกมาได้
            เงินตั้ง 10,000ตำลึงเชียวนะนางรู้หรือไม่ว่าเงิน 10,000 ตำลึงนั้นมากมายขนาดไหน
            10,000 ตำลึงหาใช่เงินจำนวนเล็กน้อยไม่   ฟางโจว  ไม่ทราบว่าเจ้าต้องการนำเงินเหล่านี้ไปทำอะไร?” ฟางฉิงถามขึ้น
            เหลียนฟางโจวกำลังจะเล่าอธิบายในรายละเอียดอยู่แล้ว  พลันได้ยินเสียงผู้ชายตะโกนดังลั่นอยู่หน้าประตู  “พวกเจ้าทั้งสองมายืนเกะกะอะไรอยู่หน้าประตูเช่นนี้?  ไฉนเด็กสาวตัวเล็กๆเช่นพวกเจ้าชอบแหย่ชอบเทลาะกันนักเล่า?”
            แม่นมหลี่รีบพูดขึ้น “นายน้อยกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
            เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อต่างผุดลุกขึ้นยืน  ฟางฉิงก็ผุดลุกขึ้นด้วย พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้เจอพี่เขยพอดีเลย!”
            เสียงดังล้งเล้งเหล่านั้นเงียบหายไป  ในเวลาเดียวกันพลันเห็นบุรุษสองคนเดินเข้ามาด้านในแทน
            เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามคือสามีของเปี๋ยวเจี๋ย  เหลียนฟางโจวเพียงรีบจัดอาภรณ์ให้ดูดี แล้วเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงเบื้องหน้าด้วยสายตาปริบๆ  นายน้อยซู่จิงเหอผู้นี้อายุน่าจะราวๆ  25-26 ปี  รูปร่างหน้าตาดีมาก  สีหน้าบ่งบอกว่าเป็นคนเจ้าชู้ร้าย  หรือไม่ก็เป็นลูกเศรษฐีที่ชอบทำตัวเสเพลโดยไม่สนใจสายตาใคร
            “ท่านพี่กลับมาแล้ว! โอ เปี๋ยวตี๋(คำใช้เรียกแทนญาติชายรุ่นน้อง)ก็มากับเขาด้วย!” ฟางฉิงอดส่งสายตาบูดบึ้งให้ซู่จิงเหอไม่ได้  พลางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ไฉนท่านถึงไม่บอกให้ข้ารู้ก่อนเล่า?”
            ผู้หญิงอย่างเหลียนฟางโจวลงท้ายก็เป็นสตรีที่หาได้เอาแต่อยู่ในห้องหอไม่  ยามได้พบกับพี่เขยที่เป็นเครือญาติผู้นี้   ก็เหมือนกับเห็นผู้ชายทั่วๆไป  เธอไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือประหม่าอันใดเลย
            “ไยข้าจะรู้ว่าตอนนี้เจ้ามีแขกเล่า!” ซู่จิงเหอยิ้มแยกเขี้ยวใส่ภรรยา  สายตามองเลยมาที่เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อเพียงแวบเดียว  แล้วหันกลับมาจับจ้องภรรยาใหม่  หาได้มีความสนใจแขกผู้มาเยือนไม่  เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้เจ้ากำลังยุ่งอยู่  ข้ากับเจ้าหมิ่นไปก่อนก็แล้วกัน  ไว้ค่อยกลับมาหาเจ้าใหม่!”
            “ท่านพี่...ช้าก่อน!” ฟางฉิงรั้งเขาไว้ เพื่อจะได้แนะนำสามีให้รู้จักกับเหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อผู้น้อง  ฝ่ายญาติผู้น้องของซู่จิงเหอที่ติดตามมาด้วย  หลังจากได้ยินเสียงพี่สะใภ้เรียกสามีของนาง  จึงเอ่ยเสียงหยอกเย้าว่า  “อา..แม่นาง  เราพบกันอีกแล้ว!”
            เหลียนเซ่ออดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้  เขาจับจ้องบุรุษหนุ่มผู้มาใหม่ด้วยสายตาเย็นชา พี่สาวของเขาไม่เคยถูกบุรุษใดๆพูดจาล้อเล่นเช่นนี้
            เหลียนฟางโจวได้ยินเสียงนี้รู้สึกคุ้นหูยังไงไม่รู้  จึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ พลันเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาบาดตาของชุยเฉ่าซีกำลังส่งยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้า ใจนางหล่นไปที่ตาตุ่มโดยฉับพลัน  เอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ “ท่าน!”
            “ฮ่าฮ่าฮ่าไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใครเล่า!” ชุยเฉ่าซีหัวเราะเริงร่า
            เหลียนฟางโจวพลันทำสีหน้าเบื่อหน่าย  มุมปากกระตุก ค้อนตากลับ ไม่รู้ว่าชายผู้นี้จะขบขันอะไรนักหนา!
            “โอ้ พวกเจ้ารู้จักกันมาก่อนแล้วหรือ!” ซู่จิงเหอหันมามองคนนั้นที  มองคนนี้ที  ได้แต่กรอกตาไปมา  ฝ่ายที่หัวเราะก็หัวเราะดังขึ้นเป็นสองเท่า  ส่วนอีกฝ่ายก็ทำหน้าบึ้งตึงแค่นเสียงขู่ฟ่อ!
            ฟางฉิงแอบหยิกเนื้อสามี  ดวงตาเมล็ดซิ่งส่งสายตาดุจ้องชายหนุ่มเขม็ง  ซู่จิงเหอชักอยากรู้เรื่องราวเบื้องหลังของภาพตรงหน้านี้แล้ว  ในที่สุดจึงหันมายิ้มประจบเอาใจภรรยา  ส่วนฟางฉิงฮัมเพลงเบาๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
            “ใช่!”
            “ไม่รู้จัก!”
            ทั้งฝ่ายชุยเฉ่าซีและเหลียนฟางโจวต่างเอ่ยคำพูดออกมาพร้อมกันราวกับนัดกันไว้ล่วงหน้า
            ส่วนฟางฉิงและซู่จิงเหอให้ประหลาดใจไปชั่วครู่  ซ้ำยังงุนงงไปเล็กน้อย
            จากนั้นฟางฉิงจึงเดินไปหาสองพี่น้องชายหญิง  นางจับมือเหลียนฟางโจว  แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สองคนนี้คือเปี๋ยวเม่ย(ญาติผู้น้องสาว) และเปี๋ยวตี๋ (ญาติผู้น้องชาย)ของข้า!”  จากนั้นฟางฉิงจึงหันไปทางซู่จิงเหอ แล้วเอ่ยแนะนำว่า “นี้คือพี่เขยของพวกเจ้า! ท่านนี้ อืม...เป็นเปี๋ยวตี๋ของพี่เขยของเจ้า  พวกเจ้านับเขาเป็นญาติคนหนึ่งก็ได้”
            เหลียนฟางโจวทำเป็นละเลยกับประโยคแนะนำอันละเอียดละออของอีกฝ่ายโดยทันที  มีเพียงซู่จิงเหอเท่านั้น  ที่เธอทำการคารวะ และเรียกอีกฝ่ายว่า ท่านพี่เขย!” พอหันไปทักทายชุยเฉ่าซีกลับเรียกว่า “ท่านชาย”
            “ประเสริญแท้  ประเสริฐแท้! ฮ่าอ่า! นี่คือญาติมิตรของสกุลเราทั้งนั้น  ไฉนข้าไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงมาก่อนเลย!” ซู่จิงเหอยิ้มแย้ม ยกมือขึ้น  พลางถามฟางฉิง
            “หลายปีมานี่พวกเราทั้งสองฝ่ายต่างไม่ได้ติดต่อกันเลย!”  อีกฝ่ายถอนหายใจเบาๆ  ครั้นแล้วจึงดันหลังซู่จิงเหอ  แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะๆ ท่านมีธุระอันใดก็รีบไปจัดการก่อนเถิด!”
            ซู่จิงเหอยังไม่ทันพูดอะไร  ชุยเฉ่าซีกลับนั่งลงอย่างถือวิสาสะ  พลางกอดคอซู่จิงเหอ พร้อมกับหัวเราะไปด้วย “พวกเรายังไม่มีกิจธุระอันใด   สามารถอยู่พูดคุยกับฮูหยินของญาติผู้พี่ของข้าก่อนได้! พี่สะใภ้คงจะไม่ไล่เราออกไปใช่หรือไม่?”
            ชุยเฉ่าซีคุ้นเคยสนิทสนมกับซู่จิงเหอมาก เขาพูดด้วยท่าทีเป็นกันเอง  ฟางฉิงจึงได้แต่แย้มยิ้ม  หมดหนทางที่จะไล่พวกเขาออกไป
            ทว่าหลังจากกลายเป็นญาติกันไปแล้ว  หัวข้อที่เจรจากันแต่ก่อนหน้า  ครานี้นับว่าไม่สะดวกที่จะนำมาคุยต่อกันอีกครั้ง  ฟางฉิงครุ่นคิด หาทางออกอยู่ในใจ  เอาไว้ให้อยู่กันตามลำพังก่อนดีกว่า แล้วค่อยหาโอกาสเจรจาต่อ  อย่างไรซะก็วางแผนให้พวกเขาพักอยู่ที่นี่สักสองวัน  พอมีเวลาค่อยหาโอกาสคุยกันอีกครั้ง!  เช่นนั้นแล้วจึงยิ้มออกมา  แล้วชักชวนเหลียนฟางโจวผู้พี่และน้องชายให้นั่งลง  พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  “งั้นก็เอาตามนี้  ทุกๆคนก็สนทนากันเถิด!”
            โชคไม่ดีนัก  ฟางฉิงคิดว่าหัวข้อเมื่อครู่ก่อนไม่สะดวกนักที่จะคุยกันต่อ  แต่มีบางคนกลับไม่คิดเช่นนั้น  ครั้นทุกคนนั่งลงกันเรียบร้อยแล้ว  ชุยเฉ่าซีก็โพล่งถามขึ้นด้วยรอยยิ้มในทันที “ข้าได้ยินเสียง คุยกันเรื่องเงิน 10,000 ตำลึงโดยบังเอิญ ตอนที่ข้าอยู่ตรงหน้าประตูเมื่อครู่ก่อน  ไม่ทราบว่าพี่สะใภ้มีธุรกิจใหญ่โตอันใด ที่ต้องการใช้เงินมากมายขนาดนั้นเล่า?”
            ฝ่ายฟางฉิงถึงกับทำสีหน้าไม่ถูก  เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อแอบลอบส่งสายตากัน  เหลียนฟางโจวแอบประณามชุยเฉ่าซีอยู่ในใจ  บุรุษผู้นี้ช่างไม่ดูตาม้าตาเรือเอาเสียเลย  ทำเป็นไม่รู้สักเรื่องจะได้ไหมเนี่ย!
     ------------------------------------------------------------
    ขอบคุณทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ
    ขอเปลี่ยนคำเรียกขาน ชุยเฉ่าซี เป็น 'ท่านชาย'  ค่ะ  เพราะไปอ่านเจอตอนหลังๆว่า ฮีเป็นหลานของเจ้าหญิงที่เป็นน้องของฮ่องเต้คนก่อน  มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันค่ะ
   ส่วนท่านแม่ทัพเราก็ไม่มีบทตามเคย  อันนี้ต้องไปถามคนแต่งเอาเองนะคะ ^-^


             

14 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณค่ะไรท์///งานเข้าฟางโจวอีกแล้ว

    ตอบลบ
  2. กว่าญาติแม่ทัพจะมาตามหา จนรู้ฐานะท่านแม่ทัพอีกนานไหมคะ?

    อยากรุ้....ลุ้นๆๆๆ

    ตอบลบ
  3. พระรองน่าสนใจมาก

    ตอบลบ
  4. ท่านแม่ทัพบทน้อยมากกกกก

    ตอบลบ
  5. ขอบคุณคะ สุขกายเย็นใจปีใหม่คะ

    ตอบลบ
  6. รอต่อไปค่าาา ขอบคุณมากกก

    ตอบลบ
  7. คนเขียนนี่ลำเอียงกะพระเอกงัยก้ไม่รู้ ปั้นเป็นพระเอกแต่ไม่ส่งบทเลย

    ตอบลบ
  8. คนเขียนนี่ลำเอียงกะพระเอกงัยก้ไม่รู้ ปั้นเป็นพระเอกแต่ไม่ส่งบทเลย

    ตอบลบ
  9. ชายรอง ดีงามขนาดนี้ โปรไฟท์เป็นพระเอกได้เลยนะคะ ไหนจะความบังเอิญ ที่เจอกันอีก นี่มันคู่กัด พระ-นาง ชัดๆ
    โธ่ พระเอกของเรา นั่งคอยเงกแล้ว 555

    ตอบลบ
  10. แบบนี้ชุยเฉ่าซีจะคุ้นหน้าท่านแม่ทัพไม มีผู้ชายงานดีเข้ามาเริ่มเลือกไม่ถูกแล้ว

    ตอบลบ
  11. ไม่ระบุชื่อ11 เมษายน 2560 เวลา 15:41

    ขอบใจจ้ะ

    ตอบลบ
  12. พระเอกเป็นแม่ทัพจริงๆใช่มั้ยไม่ใช่องค์รักษ์เงาเหรอทำไมถึงได้จืดจางเช่นนี้

    ตอบลบ
  13. อัยยะ ฮีโปรไฟล์เริดค่ะ เสียแต่กวนประสาทไปหน่อย 555

    ตอบลบ
  14. เราพึ่งได้มาตามอ่านและพึ่งมาเม้นด้วย​ เราได้ไปอ่านมาจากอีกเว็บนึงแล้วได้มาตามอ่านที่นี่​ เราชอบที่ไรท์​แปลได้ไหลลื่นอ่านแล้วไม่งงและไม่สะดุด​ เป็น​กำลังให้ไรท์​ต่อไปนะ​ สู้​ๆ

    ตอบลบ