วันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 78 ญาติผู้พี่ ญาติผู้น้อง

                ครั้นแล้วชุยเฉ่าซีจึงถามขึ้น “เอาเป็นว่า  เจ้าคิดเรื่องปลูกฝ้ายดีแล้วใช่หรือไม่เรื่องนี้เป็นความคิดของบิดามารดาเจ้ารึ? ไยพวกเขาถึงไม่มาด้วยเล่า? พวกเขาวางใจจนปล่อยเจ้าและน้องชายออกมาตะลอนข้างนอกกันสองคนรึ? “  สำหรับตัวอาเจี่ยนนั้น  ชายหนุ่มจงใจข้ามไปเสีย ไม่พูดถึง
                  เหลียนฟางโจวชักสีหน้าขึ้นมาทันใด  ทว่าชุยเฉ่าซีกลับทำเป็นไม่สนใจ  เอ่ยขึ้น “เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่า  ข้าเองก็อยากลองทำดูบ้าง”

                  ในใต้หล้านี้มีคนประเภทที่ชอบเอาบาดแผลแห่งเคราะห์กรรมตนเองเผยให้ผู้อื่นดูเพื่อเรียกร้องความสงสารและเห็นใจ  ทว่าก็ยังมีคนอีกบางประเภทที่ไม่ยอมรับความสงสารและความช่วยเหลือเหล่านั้น  เมื่อไดก็ตามที่พบว่าตนเองเจอปัญหาเข้าแล้ว  ก็จะรีบแก้ไขให้ลุล่วงไปด้วยดีด้วยมือของตนเอง
                  เหลียนฟางโจวนั้นจัดเป็นคนประเภทหลังอย่างไม่ต้องสงสัย  ดังนั้นเธอจึงไม่ยอมตอบคำถามของชุยเฉ่าซี
                  ชุยเฉ่าซีไม่ใช่คนที่ชอบลงลึกในรายละเอียดอยู่แล้ว  หลายคำถามที่เขาเอ่ยถามเหลียนฟางโจว  ถามออกมาแล้วแต่จะนึกออก  แม้หญิงสาวไม่ยอมตอบ  เขาหาได้ใส่ใจไม่  พลางส่งยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “เงิน 10,000 ตำลึงพอใช้หรือไม่หากไม่พอ..”
                  “พอ!”  เหลียนฟางโจวไม่รอให้เขากล่าวจบประโยค  รีบโพล่งทะลุกลางปล้องขึ้นมา   ครั้นแล้วจึงปรับสีหน้าให้ดูเป็นมิตรมากขึ้น  พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “เอ่อ..เงินนี้  ถูกนำไปใช้ในหลายเรื่อง เช่น ซื้อที่ดิน จ้างคนงาน ซื้อเมล็ดพันธุ์ และอื่นๆจิปาถะ  ตัวข้าเองได้คำนวนมาอย่างละเอียดถี่ถ้วนดีแล้ว  เงิน 10,000 ตำลึงนี้นับว่าครอบคลุมทุกอย่างพอดี”
                  ชุยเฉ่าซีพอได้ยินคำพูดของนางเช่นนั้น พาลให้รู้สึกหงุดหงิดในใจ  เมื่อตระหนักว่าคำถามของเขาออกจะลำเส้นเกินไปหน่อย  ใบหน้าเขาพลันเห่อร้อน  รอยยิ้มจืดเจื่อน พูดเสียงอึกอัก “ข้า...ข้าหาได้หมายความเช่นนั้นไม่  เจ้าอย่าได้เข้าใจข้าผิด!”  
                  เหลียนฟางโจวเมื่อเห็นดังนั้น  เลยไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี  ตรงกันข้ามเธอกลับรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมา  ครั้นแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าหาได้เข้าใจท่านผิดไม่  ข้ารู้ว่าท่านมีเจตนาดี   แต่ข้าคงต้องขอปฏิเสธ  และขอรับเพียงน้ำใจท่านไว้เท่านั้น!”
                  “ได้!” ชุยเฉ่าซีค่อยรู้สึกสบายใจขึ้น  ครุ่นคิดสักครู่แล้วจึงเอ่ยว่า “จ้างคนมาทำงานไม่นับว่าเป็นความคิดที่ดีนัก  เจ้าควรใช้วิธีหาซื้อคนที่ขยันขันแข็งประเภทหนักเอาเบาสู้และซื่อสัตย์มาสักหลายคนหน่อย  แล้วให้เขามาเป็นทาส  โดยเราถือสัญญาไถ่ตัวไว้ในมือ  ถือว่าปลอดภัยรัดกุมกว่าวิธีอื่น
                  เหลียนฟางโจวทำหน้าตรึกตรองดู แล้วจึงส่งยิ้มให้ ที่ท่านพูดมานับว่ามีเหตุผลดี  ข้าจะลองใคร่ครวญดูอีกที!”
                  แม้ว่าเธอจะมั่นใจอย่างแน่นอนว่า ภายในสองสามปีข้างหน้า   ฝ้ายจะกลายเป็นพืชที่ได้รับการส่งเสริมให้เพาะปลูกกันอย่างแพร่หลาย  ทว่าหากสามารถรักษาช่วงเวลาแห่งความได้เปรียบ ให้ยาวนานขึ้นอีกนิดเท่าที่จะทำได้   เธอก็อยากจะลองพากเพียรสู้ดูสักตั้ง  ดังนั้นเรื่องเทคนิคกรรมวิธีในการเพาะปลูก  รวมถึงรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ  เป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่เธอต้องเก็บเป็นความลับสุดยอดให้ได้
                  ชุยเฉ่าซีครั้นได้ยินหญิงสาวยอมรับฟังความคิดเห็นของเขาแล้ว   ใจพลันรู้สึกแช่มชื่นขึ้นมาทันที  เขารีบฉีกยิ้มเตรียมจะบอกหญิงสาวว่าเขาสามารถช่วยนางหาคนงานได้   ใครจะรู้ว่าซู่ซินเอ๋อไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน  ร้องเรียกชายหนุ่มเสียงดังด้วยความดีใจแกมประหลาดใจ  “เปี๋ยวเกอ!” แล้วรีบปรี่เข้ามาขัดจังหวะ
                  เมื่อเหลียนฟางโจวเพ่งมองตามเสียง  จึงเห็นเด็กสาวหน้าตางดงามแต่งกายด้วยเสื้อที่มีแขนไม่กว้างนัก ประดับประดาด้วยผ้าลายกุหลาบสีสด ซึ่งนำมาประดับบนรองเท้าด้วย  สวมกระโปรงจับจีบรอบตัวสีเหลืองนวล  เป็นภาพหญิงสาวอ่อนวัยที่ดูงดงาม อ่อนหวาน และน่ารักน่าใคร่นัก   นางมีดวงตากลมโตแวววาวเจิดจ้า  กำลังแย้มยิ้มด้วยความดีใจ สายตาของนางจับจ้องเพียงชุยเฉ่าซีเท่านั้น  ตั้งแต่แรกเด็กสาวผู้มาใหม่หาได้รับรู้ถึงความมีตัวตนของเหลียนฟางโจวเลยแม้แต่น้อย
                  เมื่อเห็นดังนั้นแล้วเหลียนฟางโจวจึงฟื้นคืนจากภวังค์ แล้วรีบก้าวถอยหลังออกไปยืนหลบมุมเงียบๆ
                  เด็กสาวคนนั้นเปิดปากร้องเรียก “เปี๋ยวเกอ!” ความรู้สึกของนางนั้นไม่ต้องหาคำบรรยายใดๆเลย  ในดวงตานางมีแต่ชุยเฉ่าซีเท่านั้น  โดยหาได้ปิดบังความรักใคร่ไหลหลงที่นางมีต่อบุรุษรูปงามสง่าตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย  ทำให้เหลียนฟางโจวเห็นแล้ว  นึกอยากแว่บหายตัวไปเสียเดี๋ยวนี้นัก   
                  “หยุดอยู่ตรงนั้น!”  ชุยเฉ่าซีพูดออกมาช้าๆ  คิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย  เตรียมตัวจะเผ่นหนีแล้ว  “เจ้ามีธุระอันใดกับข้ารึ?”
                  เวลาซู่ซินเอ๋อเห็นชุยเฉ่าซี  ดวงตาของนางจะปักตรึงอยู่กับภาพของชายหนุ่ม ไม่สามารถเคลื่อนไปไหนได้อีก  แม้จะได้รับการตอบสนองอย่างไร้เยื่อใยจากเขา  ผู้ซึ่งดูคล้ายกำลังกล้ำกลืนฝืนทนอยู่   นางก็ปฏิเสธที่จะสนใจให้ตนเองฟุ้งซ่าน  ความดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่งฉายชัดบนดวงตาของนาง   พลางเผยรอยยิ้มอันอ่อนหวานหยดย้อย  “เปี๋ยวเกอ  ท่านไปอยู่ที่ใดมา  ข้าตามหาท่านไปทุกที่เลยนะ!”
                  อารมณ์ที่กำลังเบิกบานอยู่ดีๆของชุยเฉ่าซีพลันคล้ายว่าตกวูบลงจากยอดเหวทันใด  ญาติผู้น้องคนนี้เป็นคนที่จัดการได้ยากมาก  คล้ายว่านางฟังแต่ความคิดของตนเองเท่านั้น  คำพูดคำแนะนำของผู้อื่นที่ว่าไว้อย่างกระจ่างแจ้ง หรือที่ดีที่งามนางแทบไม่ได้สำเนียกรับรู้เอาเลย!
                  พอคิดขึ้นมาทำให้เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี  แต่ไหนแต่ไร พอนางเห็นตัวเขาเมื่อใดนางจะรีบปรี่เข้ามากอดกระชากลากแขนเขาเมื่อนั้น  โดยตัวเขาเองไม่อาจวิ่งหนีได้ทัน  ชุยเฉ่าซีพยายามหาทางหลบเลี่ยงด้วยเกรงกลัวคำครหา  อีกทั้งอับอายด้วย   บางครั้งเขาก็พยายามตะล่อมบอกนางอย่างนุ่มนวล  ให้นางทิ้งระยะให้ห่าง  เพราะเกรงจะส่งผลกระทบถึงชื่อเสียงของนางเอง   ใครจะรู้เล่าว่าเด็กสาวผู้นี้หาได้เข้าใจนัยของคำพูดนั้นเลยสักนิดไม่   ตรงกันข้ามนางไม่ได้รังเกียจคำครหานินทาไดๆเลยนางไม่รังเกียจก็จริง  แต่เขารังเกียจ!
                  ทันทีที่ได้ฟังซู่ซินเอ๋อพูดจบ  ชุยเฉ่าซีแทบจะพ่นลมออกจมูกด้วยความฉุนเฉียว
                  เด็กสาวผู้นี้เป็นคนไม่มีเหตุผล  หากเขาไม่พูดอะไรเป็นการขัดตาทัพไว้ก่อน   ประเดี๋ยวนางจะต้องวิ่งมาเกาะแขนเขาอีก   เขาจึงต้องส่งยิ้มเป็นทัพหน้าแล้วร้องออกมาว่า หยุดอยู่ตรงนั้น!’   ทำแบบนี้แล้วนางจะหยุดฟังเขาแต่โดยดี
                  บางทีชุยเฉ่าซีอาจไม่ทันสังเกตุว่า   ไม่ว่าเมื่อไร หากเป็นคำพูดของเขา  ซู่ซินเอ๋อจะรับฟังโดยดีทุกครั้ง
                  เหลียนฟางโจวเมื่อเห็นแล้ว ยิ่งรู้สึกว่าเธอไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงนี้อีกต่อไป  ครั้นแล้วจึง ค่อยๆเคลื่อนกายไปหาแม่นมหลี่ พลางยิ้มให้แล้วพูดขึ้น “ท่านป้า พวกเราไปกันเถิด!”
                  “ได้”  แม่นมหลี่แย้มยิ้ม แต่พอดูรูปการแล้ว คิดว่าคงดูน่าเกลียดนัก  หากพวกนางปลีกตัวจากไปเฉยๆ  ครั้นแล้วแม่นมหลี่จึงเดินตรงไปย่อตัวคำนับ พลางเอ่ยคำพูดออกมา “นายหญิงน้อย  ท่านชาย  เหล่าหนูขอตัวก่อน!”
                  เหลียนฟางโจวไม่ได้เอื้อนเอ่ยอันใด  เพียงรออาศัยติดตามแม่นมหลี่ไปด้วยเท่านั้น
                  ซู่ซินเอ๋อนั้นไม่ได้แม้แต่จะปรายตามองแม่นมหลี่เลย  ส่วนซุยเฉ่าซีดวงตาเขาจับจ้องเหลียนฟางโจวอย่างนึกเสียดาย   กำลังจะขยับปากเพื่อรั้งตัวนางไว้  แต่พอสำนึกได้ว่าซู่ซินเอ๋ออยู่ที่นี่  จึงเปลี่ยนใจ  ครั้นแล้วจึงพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “พวกเจ้า ไปก่อนเถิด!”
                  เมื่อมองตามสายตาของชุยเฉ่าซี  ซู่ซินเอ๋อจึงมองเห็นเหลียนฟางโจวเข้า  ดวงตาของสาวงามเบิกกว้างขึ้นทันใด   ใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดระแวง  ถามขึ้น “เจ้าเป็นใครไฉนข้าถึงไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน?”
                  หญิงสาวทั้งหลายไม่ว่าจะมาจากสกุลใหญ่หรือเล็ก  ซู่ซินเอ๋อล้วนรู้จักทั้งสิ้น  ไม่ใช่เพื่ออะไรหรอก  เพียงเพื่อกันพวกนางไม่ให้เข้ามาใกล้ชิดชุยเฉ่าซีเท่านั้น
                  แต่ก่อนแต่ไรเวลาที่ชุยเฉ่าซีมาเยือนจวนสกุลซู่  สาวใหญ่และสาวน้อยทั้งหลายมีผู้ใดบ้างไม่ตื่นเต้น  ลำพังแอบเก็บเอาไปฝันถือว่าไม่เท่าไร  ทว่าหากได้เห็นตัวจริงเป็นอาหารตาก็นับว่าโชคดียิ่งนัก!
                  หากผู้ใดได้รับมอบหมายให้ดูแลท่านชาย ในเรือนพักส่วนตัว  เพียงแค่ได้ช่วยทำความสะอาดห้องพักของท่านชาย  ก็แทบจะปลาบปลื้มใจจนนอนไม่หลับอยู่แล้วไม่ต้องพูดถึงหากได้รับคำสั่งให้คอยชงชา หรือรินน้ำชา
                  ทว่าไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด  เมื่อไดก็ตามที่บรรดาสาวใช้ปรนิบัติรับใช้ท่านชายผู้เป็นญาติของสกุลซู่ ต่อหน้านายหญิงน้อย  จะต้องโดนนางสั่งลงโทษทุกครั้ง  หากสาวใช้คนใดใจกล้าแอบลอบมองท่านชาย  แล้วนายหญิงน้อยเกิดรู้เข้า  ถึงกับโดนนางลงโทษกรีดหน้าเอาเลยทีเดียว!
                  ครานี้ชุยเฉ่าซีมาเยือนจวนสกุลซู่อีกครั้ง  สาวใช้วัยละอ่อนที่คอยอยู่รับใช้ใกล้ชิด  ได้เปลี่ยนไปกลายเป็นหญิงมีอายุและน่าตาขี้เหร่ดูไม่ได้  ตัวชุยเฉ่าซีเองแทบทนมองไม่ไหว  ต้องไล่พวกนางกลับไป!
                  สำหรับการมาแอบเฝ้าดูท่านชายอย่างลับๆ  มีเพียงสตรีที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเท่านั้น  ถึงจะกล้า!   พวกนางต้องดูเอาเองว่าอยากจะเห็นของสวยๆงามๆ หรืออยากจะรักษาชีวิตตนเองไว้  ซึ่งแน่ล่ะ... แต่ละคนย่อมรู้แน่ว่า พวกนางควรเลือกทางไหนดี
                  เรื่องพวกนี้ชุยเฉ่าซีพอจะรู้มาบ้างแต่ยังไม่แน่ใจนัก           ดังนั้นเขาจึงยิ่งขุ่นเคืองซู่ซินเอ๋อมากขึ้น  เขาหาใช่สมบัติส่วนตัวของใครไม่  การกระทำของนางเยี่ยงนี้ทำให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจมากนัก!
                  “เจ้ามีอะไรจะถามข้ามิใช่หรือไหนลองเล่ามาสิ!”  ชุยเฉ่าซีเห็นว่าซู่ซินเอ๋อกำลังชะเง้อมองหาตัวเหลียนฟางโจว  จึงรีบพูดเบี่ยงเบนความสนใจ
                  ซู่ซินเอ๋อวางเรื่องเหลียนฟางโจวลงทันที  สบตาชุยเฉ่าซีที่กำลังพูดกับนาง  ใช่...เขากำลังพูดกับนาง  ใบหน้าของหญิงสาวพลันแดงระเรื่อ  เอ่ยเสียงไพเราะอ่อนหวาน “หืม  ข้าไม่มีเรื่องอันใดหรอก คือ อยากจะถามไถ่เพื่อให้เปี๋ยวเกอพูดคุยกับข้า  และข้าอยากให้เปี๋ยวเกอไปเป็นเพื่อน จะได้ไปหาอะไรทำคลายเครียดกัน!
                  เปี๋ยวเกอพำนักอยู่ที่บ้านของตระกูลข้า  ครานี้คุ้นชินหรือยัง?  ท่านอย่าได้เกรงอกเกรงใจนะ  ให้คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของท่าน....”
                  ซู่ซินเอ๋อเอาพูดเป็นต่อยหอยไม่หยุดหย่อน  ในใจมีแต่ความตื่นเต้นดีใจราวกับบินได้!  ก็เปี๋ยวเกอครานี้เป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดกับนางก่อนนี่หมายความว่าเปี๋ยวเกอเริ่มมีใจให้นางแล้วใช่หรือไม่คงเพราะความจริงใจที่นางมีให้เขาอย่างไม่มีข้อแม้เป็นแน่  ความจริงใจนั้นคงมากพอจนทำให้คนที่นางรักเริ่มหวั่นไหวเข้าแล้ว!
   ----------------------------------------
 ขอบคุณสำหรับทุกคอมมเมนต์และการติดตามนะคะ
 แปลบทนี้ แล้วรู้สึกสงสารพระรองมากขึ้น 
ตอนหน้าจะเป็นฉากที่ทั้งสี่คนพบกันหมด ทั้งนางเอก พระเอก พระรอง และนางร้าย  คงจะอัพวันมะรืนนะคะ^-^


13 ความคิดเห็น:

  1. แม่ทัพมะไร่จะมาน้าาา

    ตอบลบ
  2. เอ่อญาติสาวรู้สึกจะขี้มโนหนักมากเลยนะคะเนี่ย

    ตอบลบ
  3. นางร้ายโรคจิตจริงๆ

    ตอบลบ
  4. เกาะตามติดสุดๆ ^ ^"

    ตอบลบ
  5. นางร้ายนี้ร้ายจริงๆสงสารพระรองต้องเจอผู้หญิงแบบนี้



    ตอบลบ
  6. คิดถึงท่านแม่ทัพ

    ตอบลบ
  7. ทำไมนางร้ายต้องขี้มโน 555 นางเอกน่าจะมียาสลายมโนพกไปด้วยจะได้ถือว่าทำบุญสักครั้ง

    ตอบลบ
  8. นางร้ายแบบนี้ยังดีนะ ร้ายซึ่งๆหน้าแผนการไม่ซับซ้อน

    ตอบลบ
  9. แม่ทัพก็ยังเป็นเงาต่อไป
    สงสารท่านชายผู้เป็นพระรองเองก็ลำบากไม่น้อย
    ส่วนนางร้ายเธอช่างเอ่มมมโนเก่งไปนิดวิ่งเข้าใส่อย่างนี้ต่อให้หน้าตาดีคนถูกวิ่งใส่ก็รังเกียจนะ

    ตอบลบ
  10. ไม่ระบุชื่อ19 เมษายน 2560 เวลา 23:52

    ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
  11. สาวน้อย ช่างทำตัวไม่น่าเอ็นดูเสียจริง

    ตอบลบ